มหาวิหารเซนต์บาซิล (St. Basil) หนึ่งในมหาวิหารที่มีชื่อเสี
มหาวิหารเซนต์บาซิล (Saint Basil’ s Cathedral) ภาษารัสเซีย : Собор Василия Блаженного) ได้ถูกสร้างขึ้นในสมัยของพระเจ้
โดยมีรูปแบบสถาปัตยกรรมที่
มหาวิหารนี้ได้รั
เนื่องจากมหาวิหารเซนต์บาซิลรอด
ผู้ช่วยที่ดีที่สุดด้านการท่องเที่ยว
เที่ยวต่างประเทศง่ายๆ ผู้ช่วยที่ดีที่สุดด้านการท่องเที่ยว
มหาวิหารเซนต์บาซิล (St. Basil) หนึ่งในมหาวิหารที่มีชื่อเสี
มหาวิหารเซนต์บาซิล (Saint Basil’ s Cathedral) ภาษารัสเซีย : Собор Василия Блаженного) ได้ถูกสร้างขึ้นในสมัยของพระเจ้
โดยมีรูปแบบสถาปัตยกรรมที่
มหาวิหารนี้ได้รั
เนื่องจากมหาวิหารเซนต์บาซิลรอด
วันนี้นำสถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิปที่เหมาะสำหรับครอบครัวและเด็กๆ ซึ่งกำลังจะเปิดให้บริการในปี 2020 มาฝากค่ะ เพื่อท่านไหนจะแพลนพาครอบครัวเดินทางเที่ยวญี่ปุ่นในอนาคต จะได้มีสถานที่ใหม่ๆไว้เช็คอิน และให้เด็กๆได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ๆกัน จะมีที่ไหนบ้างลองไปดูเลย
ซูเปอร์นินเทนโดเวิลด์ (Super Nintendo World) เป็นพื้นที่สร้างใหม่ภายในสวนสนุกยูนิเวอร์ซัล สตูดิโอส์ เจแปน (Universal Studios Japan) ที่เตรียมเปิดตัวในช่วงฤดูร้อนปี 2020 พร้อมกับมหกรรมกีฬาโอลิมปิก ภายในโซนจะจำลองบรรยากาศเมืองของมาริโอ้ที่ทุกคนเคยเห็นผ่านหน้าจอเกมส์ มีทั้งร้านค้า และร้านอาหาร ที่ตกแต่งด้วยคาแรคเตอร์ต่างๆ และเครื่องเล่นอีกมากมาย เช่น รถแข่งมาริโอ้คาร์ท ปราสาทเจ้าหญิงพีช ปราสาทคุปป้า พื้นที่ผจญภัยกับเจ้าไดโนเสาร์น้อยยชชี่ และอาณาจักรเห็ด เป็นต้น ซึ่งทางสวนสนุกได้ใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดพัฒนาขึ้น นอกจากนี้โซนซูเปอร์นินเทนโดเวิลด์ (Super Nintendo World) ยังมีเครื่องเล่นแบบอินเตอร์แอคทีฟ ที่ผู้เล่นจะได้สวมสายรัดข้อมือ Power Up Band และเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชั่นบนมือถือ เพื่อเก็บคะแนนผ่านการนั่งเครื่องเล่น รวมถึงการทำกิจกรรมในบริเวณต่างๆ เพื่อให้ผู้เล่นได้สนุกกับกับเกมเสมือนจริง
รายละเอียดเพิ่มเติม : www.usj.co.jp
สวนสนุกโตเกียวดิสนีย์แลนด์ (Tokyo Disneyland) ได้ขยายพื้นที่สร้างโซนนิวแฟนตาซีแลนด์ (New Fantasyland) ภายในธีม “Enchanted Tale of Beauty and the Beast” ตามภาพยนตร์ดิสนีย์เรื่อง “โฉมงามกับเจ้าชายอสูร” โดยจะเนรมิตปราสาทของเจ้าชายอสูร และหมู่บ้านของเบลล์ที่ปรากฏในต้นเรื่องให้มาอยู่บนโลกแห่งความเป็นจริง พร้อมกับมีเครื่องเล่นใหม่อย่าง Enchanted Tale of Beauty and the Beast ที่เป็นถ้วยหมุนตามจังหวะเพลง ให้อารมณ์เหมือนผู้เล่นกำลังอยู่ในงานเต้นรำ และโซนที่จำลองหมู่บ้าน Maurice’s Cottage จากในภาพยนต์มาสร้างเป็นจุดกดตั๋ว Fast Pass, ร้านอาหาร La Taverne de Gaston และร้านขายของที่ระลึก Village Shoppes เป็นต้น
นอกจากโซนเครื่องเล่นแล้ว ยังมีโรงละครในร่มแห่งแรกของโตเกียวดิสนีย์แลนด์ (Fantasyland Forest Theatre) ที่ทุกคนจะได้เพลิดเพลินไปกับการแสดงร้องเล่นเต้นรำจากเหล่าตัวการ์ตูนดิสนีย์อีกด้วย
รายละเอียดเพิ่มเติม : www.tokyodisneyresort.jp
ฝั่งโซนทูมอร์โรว์แลนด์ (Tomorrowland) ได้เตรียมนำเครื่องเล่นสุดระทึกตัวใหม่ชื่อ เดอะ แฮปปี้ ไรด์ วิท เบย์แม๊กซ์ (The Happy Ride with Baymax) จากธีมภาพยนตร์ Big Hero 6 มาเพิ่มความสนุก โดยผู้เล่นจะได้ขึ้นนั่งบนยานพาหนะรูปทรงคล้ายรถลาก ที่ด้านหน้าจะมีหุ่นยนตร์เบย์แม๊กซ์ตัวใหญ่นั่งประจำการพร้อมขับพาคุณหมุนวนไปรอบ ๆ ในแบบที่ไม่สามารถคาดเดาเส้นทางได้
นอกจากนี้ ภายในฝั่งโซนทูมอร์โรว์แลนด์ (Tomorrowland) ยังเพิ่มร้าน The Big Pop ร้านขายป๊อบคอร์นโดยเฉพาะ ที่ขนเอาความอร่อยของป๊อปคอร์นรสใหม่ในราคา 500 เยน ได้แก่รสคาราเมลชีส รสนมสตอเบอร์รี่ และรสคุกกี้ครีม มาไว้ที่นี่ที่เดียว ภายในร้านได้ตกแต่งสไตล์อวกาศ ให้นักท่องเที่ยวได้รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังท่องอยู่ในโลกแห่งจักวาล รวมถึงยังมีร้านขายของที่ระลึกที่มีสินค้ามากมาย โดยพื้นที่โซนใหม่เหล่านี้จะเปิดให้บริการในวันที่ 15 เมษายน ปี 2020 นี้ เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 37 ปีของสวนสนุกโตเกียวดิสนีย์แลนด์ (Tokyo Disneyland)
รายละเอียดเพิ่มเติม : www.tokyodisneyresort.jp
ช่วงปลายเดือนเมษายน ปี 2020 นี้ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำซุมิดะ (Sumida Aquarium) แห่งโตเกียวสกายทรี (Tokyo Sky Tree) ได้กลับมาให้บริการอีกครั้ง พร้อม 3 โซนใหม่อย่างอควาแล๊บ (Aqualab) และโซนอควาแกลอรี่ (Aqua Gallery) ที่เป็นโซนแท๊งค์น้ำขนาดใหญ่ 7 เมตร สามารถรับชมการเพาะพันธุ์ของแมงกะพรุนมากกว่า 500 ตัวได้อย่างใกล้ชิด โดยมีไฮไลท์คือพื้นกระจกใสที่ยื่นออกมาเหนือน้ำ ให้ความรู้สึกราวกับกำลังยืนอยู่บนผิวน้ำจริงๆ และโซนซุมิดะเสตจ (Sumida Stage) ที่เปิดเป็นพื้นที่เรียนรู้วิถีกระบวนการเพาะเลี้ยง และขยายพันธุ์ของแมงกะพรุนจากเจ้าหน้าที่ที่มีความเชี่ยวชาญ
รายละเอียดเพิ่มเติม : www.sumida-aquarium.com
“ตุ๊กตาแม่ลูกดก หรือที่เราเรียกว่า Matryoshkas ของฝากสุดฮิตจากรัสเซีย ซึ่งหลายๆคนที่ซื้อกลับมาจากรัสเซียก็มักพอรู้จักกับความหมายของตุ๊กตาแม่ลูกดกกันไปบ้างแล้ว วันนี้เราเลยจะพาทุกคนมารู้จักกับประวัติความเป็นมาของตุ๊กตาแม่ลูกดกกันบ้าง เผื่อเวลาซื้อไปฝากผู้หลักผู้ใหญ่เราจะได้อธิบายได้ครบถ้วน ว่าแต่เจ้าตุ๊กตานี้มันมีประวัติความเป็นมายังไงบ้างลองไปดูกันเลย”
ตุ๊กตาแม่ลูกดก เป็นตุ๊กตาที่ซ้อนกันหลายๆชั้น ทำจากไม้เนื้อนิ่ม เช่น ไม้เบิร์ช โดยตัวสุดท้ายของตุ๊กจะมีขนาดเล็กสุด และจะตัน ไม่มีแขน ขา แต่ช่างจะใช้วิธีการวาดแขน ขา ลงไปบนตัวของตุ๊กตา และเคลือบเงาให้มีความสวยงาม ส่วนความปราณีตของลวดลายและวิธีการทำตุ๊กตานั้นก็จะมีผลต่อราคาอีกด้วย ซึ่งจะมีตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักหมื่นรูเบิลเลยทีเดียว
ส่วนลวดลายที่เรามักเห็นบ่อยๆก็จะเป็นผู้หญิงรัสเซียใส่ผ้าคลุม เป็นเด็กผู้หญิงหน้าตากลมๆ น่ารักๆ แววตาดูสดใส สวมชุดที่สวมจะเรียกว่า “ซาราฟัน” มีทรงผมที่งดงามและทับด้วยผ้าคลุมผมอีกรอบ หรือแม้กระทั่งลวดลายที่ทำล้อเลียนนักการเมืองต่างๆก็มีด้วยเช่นกัน
ตามตำนานเชื่อกันว่าพระชาวรัสเซียเป็นคนนำวิชาทำตุ๊กตาไม้มาจากเกาะฮอนชูของญี่ปุ่น มื่อมาถึงรัสเซียแล้วจึงผสมผสานวิชาศิลปะท้องถิ่นเข้าไป เช่น แนวคิดการซ่อนตุ๊กตาของชาวรัสเซีย จนกระทั่งมีการผลิตในหลายพื้นที่ และลวดลายที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งชาวรัสเซียเชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์และความมีชีวิตยืนยาว และเครื่องหมายอันเป็นมงคลนั่นเอง
หลายคนที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวคงรู้จักกับ ประเทศจอร์เจีย กันไปบ้างแล้ว แต่ก็เชื่อว่ามีหลายคนที่ยังไม่ค่อยคุ้นหูเท่าไหร่ รอบนี้เลยอยากมาแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในจอร์เจีย ให้ทุกคนได้รู้จักมากขึ้นว่าสวยงามแค่ไหน และมีสถานที่ตรงไหนที่ไม่ควรพลาดบ้าง หากได้แพลนเดินทางไปเที่ยว
โบสถ์เก่าแก่และมีชื่อเสียงมากของประเทศจอร์เจีย ที่เป็นเหมือนหนึ่งในสัญลักษณ์ของประเทศจอเจียร์ไปแล้ว หากใครมาก็ต้องเดินทางมาถ่ายภาพที่โบสถ์แห่งนี้ ซึ่งตั้งอยู่บนเทือกเขาคัสเบกิ (Kazbegi) ใกล้ๆ กับเมืองคัสเบกิ (Kazbegi) ทางขวามือของแม่น้ำ Chkheri และด้านหลังของโบสถ์นั้นเป็นวิวเทือกเขาขนาดใหญ่ที่สวยงามมาก โบสถ์เกอร์เกตินี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อศตวรรษที่ 14 พร้อมกับหอระฆังที่อยู่ด้านข้าง และยังเป็นโบสถ์ที่สามารถมองเห็นเมืองคัสเบกิที่สวยงามมากๆได้ด้วย
อดีตอารามหลวงเก่าของเมือง Kutaisi ซึ่งถูกค้นพบในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 12 และได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี ค.ศ.1994 ภายในบริเวณอารามแบ่งเป็นสองส่วนคือโบสถ์เซนต์ นิโคลาส (St. Nicholas) และโบสถ์เซนต์ จอร์จ (St.George) โดยในโบสถ์เซนต์นิโคลัสนั้น มีภาพเขียนสีเฟรสโกที่สวยงามตระการตามากมายหลายภาพ บอกเล่าถึงเรื่องราวเกี่ยวกับคริสต์ศาสนา บริเวณโดมขนาดใหญ่ของโบสถ์เป็นภาพพระแม่มารีที่ใช้กระเบื้องโมเสกสีทองประดับตกแต่งกว่า 2 ล้านชิ้น ถือว่าเป็นภาพที่สวยงามมาก
เมืองถ้ำเก่าแก่ของจอร์เจียที่มีอายุมากกว่า 3,000 ปี ที่สร้างตั้งแต่ช่วงแรกๆของยุคหิน โดยเจาะหินภูเขาและใช้เป็นที่อยู่อาศัย และเป็นสถานที่สำคัญต่างๆในชุมชน ในอดีตใช้เป็นเส้นทางการค้าขายสินค้าจากอินเดียไปยังทะเลดำ และต่อไปถึงทางตะวันตก ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้แบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ ส่วนเหนือ ส่วนกลาง และส่วนใต้
เป็นสถานที่เก่าแก่ที่มีความสวยงามมากอีกแห่งของจอร์เจียโดยสันนิษฐานกันว่าที่นี่ได้ ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 13 ภายในสถานที่แห่งนี้ประกอบไปด้วยปราสาท โบสถ์และ ป้อมปราการที่สวยงาม รวมทั้งล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติทั้งแม่น้ำ ภูเขาที่สวยงามเช่นกัน
อนุสรณ์สถานที่สร้างขึ้นมาในปี ค.ศ. 1983 เพื่อเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความสัมพันธ์อันดีของประเทศจอร์เจียและประเทศรัสเซีย โดยอนุสรณ์สถานนี้ตั้งอยู่บน Devil’s Valley ระหว่างเมืองกูดาอูรีและคาซเบกี เป็นอนุสรณ์สถานขนาดใหญ่ที่มีความสวยงาม ภายในมีการวาดภาพประวัติศาสตร์ของประเทศจอร์เจียและประเทศรัสเซียไว้ ซึ่งหอนุสรณ์สถานนี้ตั้งอยู่บนเทือกเขาที่มีความสวยงามอย่าง คอเคซัส อีกด้วย
งานสถาปัตยกรรมโลหะสมัยใหม่รูปคู่รักชายชาวอาเซอร์ไบจานและหญิงสาวชาวจอร์เจียในนวนิยายท้องถิ่น มีขนาดสูง 8 เมตร ตั้งอยู่ริมทะเลดำ เมืองบาทูมี ถูกสร้างขึ้นเพื่อแสดงถึงความรักของหนุ่มสาวต่างเชื้อชาติและศาสนา และยังแสดงถึงสันติภาพระหว่างประเทศจอร์เจีย และอาร์เซอไบจานด้วย ถือว่าเป็นงานสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจเลยทีเดียว
เป็นวิหารที่สร้างราวศตวรรษที่ 11 เป็นศูนย์กลางทางศาสนาที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของจอร์เจียร มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศ รวมทั้งยังเป็นศูนย์กลางที่ทำให้ชาวจอร์เจียเปลี่ยนความเชื่อ หันมานับถือศาสนาคริสต์ และให้ศาสนาคริสต์มาเป็นศาสนาประจำชาติของจอร์เจียเมื่อปี ค.ศ.337 รวมทั้งยังเป็นสิ่งก่อสร้างโบราณที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของจอร์เจีย
มหาวิหารที่ตั้งตามชื่อของพระเจ้าบากราติที่ 3 กษัตริย์ผู้ทรงรวมจอร์เจีย สร้างขึ้นในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 10 ตั้งอยู่ที่เมืองคูไตซี เป็นมหาวิหารที่สวยงามมากแห่งหนึ่ง ซึ่งสะท้อนถึงสถาปัตยกรรมของยุคกลางได้อย่างชัดเจน
สะพานหลังคาโค้งสวย โดดเด่นด้วยกระจกสีเขียว ตัวสะพานมีความยาว 150 เมตร เป็นสะพานคนเดินที่ข้ามแม่น้ำคูราเพื่อเชื่อมระหว่างตัวเมืองเก่า และตัวเมืองใหม่ทบิลิซี โครงสร้างหลักของสะพานทำมาจากเหล็กและกระจกใส เปิดใช้งานครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2010 เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ไม่ควรพลาดเลย ถ้ามีโอกาสเดินทางไปประเทศจอร์เจีย
ที่นี่เป็นป้อมปราการที่ถูกสร้างขึ้นในช่วงคริสต์วรรษที่ 4 มีการเปลี่ยนมือผู้ปกครองมากมาย ทั้งช่วงอาหรับ มองโกล เปอร์เซีย เติร์ก รัสเซีย ภายในมีโบสถ์นักบุญนิโคลาสให้ได้ชมความสวยงามอีกด้วย ซึ่งที่นี่จะมีบริการกระเช้าไฟฟ้าจากด้านล่างขึ้นสู่ด้านบน และระหว่างนั่งกระเช้าก็ยังไม่ชมวิวทิวทัศน์ของเมืองทบิลิซีอีกด้วย
“จอร์เจีย” เป็นประเทศเล็กๆที่น่ารักมีความผสมผสานระหว่างเอเชีย และยุโรปเข้าด้วยกัน เพราะ “จอร์เจีย” นั้นเป็นประเทศที่อยู่เกือบสุดพรมแดนของทวีปเอเชีย และอยู่ใกล้กันกับทวีปยุโรป โดยทิศเหนือจะติดกับประเทศรัสเซีย มีเทือกเขาคอเคซัสเป็นตัวแบ่งพรมแดนระหว่างทวีปยุโรปและทวีปเอเชีย ทิศใต้ติดกับประเทศอาร์มีเนียและตุรกี ทิศตะวันออกติดกับประเทศอาเซอร์ไบจาน ส่วนทิศตะวันตกติดกับชายฝั่งทะเลดำ
จอร์เจีย ประเทศนี้นับว่ามีประวัติศาสตร์ยาวนานมากว่า 2500 ปี มีวัฒนธรรมที่เก่าแก่ มีเอกลักษณ์ และเต็มไปด้วยธรรมชาติที่งดงาม ที่สำคัญคนไทยสามารถเที่ยวได้โดยไม่ต้องขอวีซ่าได้ถึง 365 วัน รวมทั้งค่าครองชีพยังถูกเหมือนบ้านเรา จึงไม่แปลกที่เราจะสามารถแพลนเที่ยวได้สบายๆ
ประเทศจอร์เจียใช้สกุลเงินที่ชื่อว่า ลารีจอร์เจีย (GEL) 1 ลารีจอร์เจีย (GEL) = ประมาณ 11.21 (เรทแล้วแต่ช่วง) ที่สำคัญไม่มีร้านแลกเงินในไทยเปิดแลกสกุลเงิน ลารีจอร์เจีย หากจะเดินทางไปท่องเที่ยวที่จอร์เจียนั้นแนะนำให้แลกสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) และหรือยูโร (EUR) ไปจากเมืองไทยก่อน และเมื่อเดินทางไปถึงจอร์เจียแล้วค่อยไปแลกเป็นสกุลเงิน ลารีจอร์เจีย
เราสามารถเลือกท่องเที่ยว จอร์เจียได้ 4 ฤดู ซึ่งแต่ละช่วงฤดูก็มีความสวยงามที่แตกต่างกันออกไป
ฤดูใบไม้ผลิ (เดือนมีนาคม-พฤษภาคม) อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 10-24 องศาเซลเซียส เป็นช่วงที่อากาศเย็นสบายเหมาะกับการออกเดินทางท่องเที่ยวมากที่สุด ต้นไม้ใบไม้จะมีสีเขียว สามารถแต่งตัวชิวๆใส่แค่เสื้อกันหนาวแขนยาวก็อยู่ได้แล้ว ถือว่าเป็นช่วงที่เหมาะกับการท่องเที่ยวมากๆ
ฤดูร้อน (เดือนมิถุนายน-สิงหาคม) อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 16-31 องศาเซลเซียส อุณหภูมิจะสูงขึ้นมาอีกหน่อย หากใครที่ขี้หนาว หรือไม่ชอบอากาศเย็นๆสามารถมาเที่ยวช่วงนี้แทนได้ วิวก็สวยงามไปอีกแบบหนึ่ง
ฤดูใบไม้ร่วง (เดือนกันยายน-พฤศจิกายน) อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 4-20 องศาเซลเซียส ช่วงนี้ที่จอร์เจียจะเข้าสู่ฤดูใบไม้เปลี่ยนสี บรรยากาศจะเหลืองๆ ส้มๆ แต่งแต้มเมืองให้มีสีสันดูสวยงามมากขึ้น แต่อากาศก็จะเย็นนิดนึง หรืออาจจะมีลมแรงๆหากอยู่ที่สูงๆ หากใครขี้หนาวควรเตรียมเสื้อกันลมไปด้วย
ฤดูหนาว (เดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์) อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ -3 ถึง 8 องศาเซลเซียส ช่วงนี้อากาศก็จะหนาวมากๆ และมีหิมะตกจนขาวโพลนไปหมด ใครที่ชอบหิมะและสภาพอากาศแบบนี้ก็แนะนำฤดูหนาวเลย แต่อาจจะต้องเตรียมเสื้อผ้าเยอะหน่อย และหากขึ้นเขาหรืออยู่ที่สูงๆอาจจะหนาวและลมแรงมากๆ แต่บอกเลยว่าฤดูหนาวจอร์เจียก็สวยงามไม่แพ้ยุโรปประเทศอื่นๆเลย
เอาใจสายหวานกันบ้าง พอพูดถึงของหวานก็ต้องเป็นที่โปรดปรานของหลายๆ คนแน่นอน ครั้งนี้เลยอยากมาแนะนำของหวานขึ้นชื่อที่ “อิตาลี” ว่ามีอะไรบ้างที่น่าทาน และอร่อยบ้าง หากเพื่อนๆคนไหนมีโอกาสได้ไปเที่ยว จะได้ลองกันชิมกันว่าอร่อยสมคำร่ำลือแบบที่หลายๆคนพูดกันจริงไหม และถือว่าเป็นการสัมผัสรสชาติสุดแปลกที่ต่างแดนอีกด้วย
ไอศครีมสุดโด่งดังของอิตาลี มีหลากหลายรสชาติให้เลือกเลย ไม่ว่าจะเป็นรสชาติแบบดั้งเดิม ทั้งวนิลา ช็อคโกแล็ต หรือรสผลไม้ เช่น เชอร์รี่ เมล่อน องุ่น หรือแม้กระทั่งรสที่เราไม่เคยได้ยิน และไม่ว่าจะมุมไหนๆของอิตาลีก็มักจะมีร้านขายไอศรีมอิตาเลียนเต็มไปหมด หาลองแบบไม่ยากเลย หากไปเจอต้องลองชิมรสชาติแบบที่บ้านเราไม่มีขายนะ ลองดูสิว่าอร่อย ฟิน แค่ไหน
เป็นเค้กที่หลายคนพูดว่าไม่มีเค้กอะไรที่อร่อยเท่าเค้กทีร่ามิสุนุ่มๆอีกแล้ว เพราะเนื้อเค้กชุ่มฉ่ำไปด้วยกาแฟสลับกับครีมสด และผสมด้วยชีสสลับไปมาหลายๆชั้น โรยหน้าด้วยผงโกโก้สุดเข้มข้น แค่นึกถึงก็ฟินสุดๆแล้ว และเค้กทีรามิสุนี้ถือว่าเป็นของหวานสุดอร่อยประจำชาติของอิตาลีเลย ชื่อเสียงขนาดนี้ไม่ลองไม่ได้แล้วว
ขนมหวานนี้ คือ พุดดิ้งที่ทำจากครีม ที่มักจะเสิร์ฟพร้อมกับคาราเมล ซอสช็อคโกแลต หรือผลไม้พวกเบอร์รี่ หรือบางร้านอาจจะดัดแปรงให้มีความน่าทานมากขึ้น โดยดัดแปลงเนื้อพุดดิ้งให้มีความหลากหลาย เพิ่มความแปลกใหม่และน่าทานขึ้นไปอีก เป็นอีกหนึ่งขนมหวานที่น่าลองสุดๆ
ขนมอบหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับพายทำด้วยแป้งบางๆ กรอบๆ มีรสชาติหลากหลาย ส่วนรสชาติที่ฮิตที่สุดก็คือ ผลไม้ โดยเฉพาะมะนาว รสครีม และตกแต่งด้วยสตรอว์เบอร์รี่ด้านบน แบบน่าทานมากๆ
อิตาลีนอกจากจะมีขนมหวานอร่อยๆหลายอย่างแล้ว ยังมีคุกกี้อีกที่อร่อยไม่แพ้กัน โดยเฉพาะคุกกี้ชิ้นเล็กๆที่ขายตามคาเฟ่ ทานคู่กับกาแฟ หรือโกโก้ร้อนจะอร่อยมากๆ ขอแนะนำรสชาติ คานโนลี เป็นครีมนุ่มๆ รสวนิลา ห่อด้วยแป้งกรอบๆ หรือจะเป็นคุกกี้กลมๆรสอัลมอนด์ก็อร่อยมากๆ
ยอดใช้จ่าย / เซลล์สลิป | รับเครดิตเงินคืน |
30,000 – 74,999 บาท | 300 บาท |
75,000 – 149,999 บาท | 1,500 บาท |
ตั้งแต่ 150,000 บาทขึ้นไป | 3,000 บาท |
(รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 15,000 บาท/ท่าน ตลอดระยะเวลาส่งเสริมการขาย) *จำกัดมอบเฉพาะยอดแบ่งจ่าย 0% 4 เดือนขึ้นไปเท่านั้น*
ลงทะเบียนรับสิทธิ์ ส่ง SMS ลงทะเบียนครั้งเดียวรับสิทธิ์ตลอดรายการ
ระยะเวลาโปรโมชั่น : ตั้งแต่ 1 ก.พ. 63 – 30 เม.ย. 63
เงื่อนไข
สิทธิ์ที่ 1 รับเครดิตเงินคืน
สิทธิ์ที่ 2 รับส่วนลด
เงื่อนไขทั่วไป
……………………………………………………………………
ระยะเวลาในการรับสิทธิ์ : 15 – 23 มกราคม 63 เท่านั้น
เงื่อนไขโปรโมชั่น
ดูทัวร์ที่ร่วมรายการทั้งหมด คลิก >> Early Bird 2020
ผ่อนชำระ / เซลล์สลิป | รับเครดิตเงินคืน |
10,000 – 29,999 บาท | 100 บาท |
30,000 – 59,999 บาท | 400 บาท |
60,000 – 99,999 บาท | 1,000 บาท |
100,000 บาทขึ้นไป | 1,800 บาท |
ลงทะเบียน SMS : พิมพ์ UTI เว้นวรรค ตามด้วยหมายเลขบัตร 10 หลักสุดท้าย ส่งมาที่ 4545111 (ค่าบริการครั้งละ 3 บาท)
#โปรบัตรเครดิต #เที่ยวก่อนผ่อนทีหลัง #ติดโปร #siamorchard #ผู้ช่วยที่ดีที่สุดด้านการท่องเที่ยว #ทัวร์ญี่ปุ่น #ทัวร์ยุโรป #ทัวร์ต่างประเทศ #ทัวร์ญี่ปุ่น #ทัวร์ยุโรป
Sakura Japan – เมื่อใกล้ถึงช่วงฤดูกาลของเทศกาลซากุระ มันก็เป็นธรรมดาที่จะต้องตื่นเต้นกับเทศกาลนี้ เพราะทั่วทั้งญี่ปุ่นจะกลายเป็นสีชมพู สวยสดใสมากๆ รวมทั้งอากาศที่เย็นสบายในช่วงเดือนมีนาคม – พฤษภาคม ก็เหมาะกับการไปเที่ยวญี่ปุ่นในวันหยุดยาวอย่างช่วงสงกรานต์ และหลายๆครอบครัวคงเริ่มแพลนเที่ยวช่วงเทศกาลนี้กันแล้ว ครั้งนี้เลยอยากมาแนะนำจุดชมซากุระทั่วญี่ปุ่นตั้งแต่ใต้ ไล่ขึ้นมาทางเหนือสุดของญี่ปุ่นว่ามีที่ไหนน่าสนใจบ้าง พร้อมช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการ ทัวร์ญี่ปุ่น 2566 ลองไปชมกันเลยค่ะ
ด้วยลักษณะความสวยงามของสะพานที่ไม่เหมือนใคร สะพานคินไตเคียวจึงถูกจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 3 สะพานที่สวยที่สุดในญี่ปุ่นเลย และเมื่อบริเวณนี้เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ เดือนเมษายน บริเวณรอบๆสะพานจะเต็มไปด้วยดอกซากุระ ซึ่งเทศกาลชมซากุระจะถูกจัดขึ้นในช่วงต้นเดือนเมษายนของทุกปี รวมทั้งในช่วงกลางคืนก็จะมีการประดับตกแต่งไปด้วยแสงไฟ ส่วนกิจกรรมที่พลาดไม่ได้ของที่นี่คือ การล่องเรือชมสะพานที่ถูกล้อมรอบไปด้วยดอกซากุระที่บานสะพรั่ง
ปราสาทฮิเมจินี้เป็นสถานที่ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลกแห่งแรกของญี่ปุ่น และยังได้ชื่อว่าเป็นปราสาทที่สวยที่สุดของญี่ปุ่นอีกด้วย ในช่วงต้นเดือนเมษายนของทุกปี จะมีการจัดเทศกาลชมซากุระ พร้อมกับการบรรเลงเครื่องคนดนตรีโกโตะ และกลองไทโคะของคนญี่ปุ่น ไปพร้อมกับดอกซากุระที่กำลังเบ่งบานอย่างงดงามเลยทีเดียว
โรงกษาปณ์นี้ทำหน้าที่ดูแลเรื่องการผลิตเหรียญและเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างๆ ซึ่งด้านในมีพิธภัณฑ์เหรียญต่างๆเปิดให้เข้าชมฟรี แต่สิ่งที่ทำให้ที่นี่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวมากๆกลับไม่ใช่ด้านในอาคารแต่เป็นด้านนอกอาคาร เพราะมีต้นซากุระกว่า 300 ต้นหลากหลายสายพันธุ์แข่งกันบาน และเมื่อบานเต็มที่แล้วจะมีลักษณะเหมือนอุโมงค์ซากุระอย่างงดงาม โรงกษาปณ์แห่งนี้จึงกลายเป็นสถานที่ถูกจัดอันดับให้เป็น 1 ในจุดชมซากุระสวยที่สุดแห่งหนึ่งของโอซาก้า
ปราสาทโอซาก้าแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมามากถึง 400 กว่าปีแล้ว ซึ่งภายในปราสาทเต็มไปด้วยต้นซากุระกว่า 600 ต้น และเมื่อเข้าสู่เทศกาลชมซากุระคนญี่ปุ่นจะชอบพาครอบครัวลูกหลานออกมาเที่ยวในบริเวณนี้กันอย่างมาก ส่วนในตอนกลางคืนที่นี่ก็จะมีการตกแต่งด้วยโคมไฟกระดาษ เพื่อให้นักท่องเที่ยวอย่างเราได้ชมทั้งตัวปราสาทและซากุระในยามค่ำคืนอย่างงดงาม เรียกได้ว่าดูซากุระไปพร้อมปราสาท อีกทั้งยังได้ชื่นชมวัฒนธรรมอันน่ารักของคนญี่ปุ่นไปพรางๆอีกด้วย
ที่นี่เป็นวัดเก่าแก่ถึง 1,200 ปีก่อน เป็นสัญลักษณ์สำคัญของเกียวโต เมืองหลวงเก่าแก่ของญี่ปุ่น ปัจจุบันได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกด้วยนะ ในบริเวณวัดนี้มีต้นซากุระมากถึง 1,000 ต้น ในช่วงซากุระบานทางวัดจะประดับไฟในตอนกลางคืนให้เข้ากับเทศกาลซากุระนี้เป็นเวลา 1 เดือน ซึ่งทุกคนสามารถเดินชมซากุระในบริเวณวัดได้อย่างเพลิดเพลิน ส่วนหอคอยชั้น 3 นั้นยังซ่อมอยู่แต่ก็สามารถเข้าชมได้ตามปกติค่ะ
ภูเขานี้มีซากุระ 3,000 ต้น และมากถึง 200 สายพันธุ์ ถือว่าเป็นสถานที่ๆมีต้นซากุระเยอะที่สุดในญี่ปุ่นเลย เราสามารถชมความสวยงามของดอกซากุระที่บานสลับสีกันอย่างสวยงามบนภูเขาแห่งนี้ได้ตลอดทั้งเดือนเมษายนของทุกปี และพื้นที่ของภูเขาโยชิโนะนั้นจะถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วน ตามระดับความสูง คือ (ชิโมะ เซ็นบง, นากะ เซ็นบง, คามิ เซ็นบง, โอคุ เซ็นบง) ซึ่งแต่ละส่วนนั้นซากุระจะบานไม่พร้อมกัน แต่จะบานไล่ตั้งแต่ตีนเขาไปถึงยอดเขาตามระดับความสูง
หม่บ้านชิราคาวาโกะ หมู่บ้านมรดกโลกแห่งที่ 6 ของญี่ปุ่นที่สวยงาม และมีเสน่ห์มากๆ เพราะด้วยเอกลักษณ์การสร้างบ้านให้มีรูปทรง กัสโช่ ที่สามารถรองรับน้ำหนักหิมะได้ในช่วงฤดูหนาว ถึงที่นี่จะไม่ได้มีดอกซากุระเยอะมาก แต่ด้วยบรรยากาศของหมู่บ้านที่จุดชมวิวชิโรยาม่า และดอกซากุระที่กำลังบ้านนั้น ดูเข้ากันกับหมู่บ้านอย่างน่ารัก และสวยงาม
เจดีย์ชูเรโตะ เจดีย์สีแดงสุดฮิตที่มีความสูง 5 ชั้น และเป็นหนึ่งในเขตพื้นที่ของ ศาลเจ้าอาราคุระ เซ็นเก็น ศาลเจ้าเก่าแก่ที่คนญี่ปุ่นนิยมไปกราบไหว้ขอพรกัน จากตัวศาลเจ้าต้องเดินขึ้นบันไดไปอีกประมาณ 400 ขั้น ถึงจะเจอจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้ และตลอดทางเดินทางศาลเจ้าไปด้านบนเจดีย์นั้นก็จะเต็มไปด้วยดอกซากุระที่แข่งกันบานสะพรั่งอย่างสวยงาม
เมกุโระ แม่น้ำเล็กๆ ที่ไหลลงสู่อ่าวโตเกียว และมีความยาวราว 8 กิโลเมตร อยู่ใกล้กับย่านชิบูย่า เป็นอีกหนึ่งจุดชมซากุระยอดฮิตในโตเกียวเลย โดยริมสองฝั่งแม่น้ำจะเรียงรายไปด้วยต้นซากุระกว่า 830 ต้น เมื่อดอกซากุระริมสองฝั่งแม่น้ำบานก็จะโค้งเข้าหากันเหมือนกับอุโมงค์ซากุระอยู่เหนือแม่น้ำ ส่วนในตอนกลางคืนก็จะมีการประดับไปด้วยโคมไฟอย่างสวยงาม ถือว่าเป็นจุดชมซากุระ ที่โรแมนติกที่สุดแห่งหนึ่งของโตเกียวเลย
อีกหนึ่งจุดชมซากุระที่สวยที่สุดอีกแห่งของโตเกียว ซึ่งอยู่ใกล้กับพระราชวังอิมพีเรียล ในช่วงเทศกาลซากุระที่นี่จะมีการประดับไฟ และสะท้อนกับดอกซากุระอย่างสวยงาม ส่วนกิจกรรมที่ไม่ควรพลาด คือ การล่องเรือชมซากุระ หรือชมซากุระในช่วงกลางคืนที่ประดับไปด้วยแสงไฟก็โรแมนติกแบบสุดๆ
หมู่บ้านซามูไรแห่งนี้มีซากุระที่ชื่อว่า ซากุระพันธุ์ดอกย้อย ให้เราได้เดินเที่ยวชมกัน ซึ่งตามริมถนนเราจะเห็นซากุระย้อยห้อยกิ่งลงมาอวดอย่างสวยงาม ว่ากันว่าในสมัยเอโดะ ตระกูลของซามูไรเมืองนี้ได้นำต้นซากุระดอกย้อยหลายต้นจากเกียวโตมาปลูก เพื่อแข่งกันว่าซากุระของใครจะออกดอกสวยงามกว่ากัน ปัจจุบันเลยกลายเป็นต้นซากุระที่ออกดอกอย่างสวยงามให้เราได้ชื่นชม
สวนฟุนะโอกะแห่งนี้ได้รับการโหวตให้เป็น 1 ใน 100 จุดชมซากุระที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น และช่วงกลางเดือนเมษายนของทุกปีที่สวนนี้จะมีการจัดเทศกาลชมซากุระ (Shibata Sakura Matsuri) ซึ่งไฮไลท์ที่นิยมมากๆของช่วงซากุระ คือการนั่งรถราง ลอดผ่านอุโมงค์ซากุระระหว่างทางขึ้นไปไหว้เจ้าแม่กวนอิมที่อยู่บนยอดเขาด้วยระยะทางราว 300 เมตร ซึ่งเราจะได้เจอกับบรรยากาศที่รายล้อมไปด้วยดอกซากุระอย่างสวยงาม รวมทั้งบนยอดเขายังสามารถชมวิวแม่น้ำชิโรอิชิงะวะ ที่มีต้นซากุระเรียงรายตลอดริมสองฝั่งแม่น้ำอย่างสวยงาม
หรือที่เรียกว่า “ซากุระ 1,000 ต้น” นั่นเอง ซึ่งอยู่บริเวณริมแม่น้ำชิโรอิชิซึ่งไม่ไกลกับสวนฟุนะโอกะ ความพิเศษของซากุระที่นี่จะอยู่ที่ต้นซากุระกว่า 1,200 ต้น ทอดตัวเป็นแนวยาวประมาณ 8 กิโลเมตร บริเวณริมแม่น้ำชิโรอิชิ และยิ่งในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสเรายังสามารถมองเห็นเทือกเขาซาโอที่ปกคลุมไปด้วยหิมะอยู่ด้านหลังตัดกันกับสีสันของดอกซากุระ ซึ่งให้วิวที่งดงามมากๆ และในตอนกลางคืนที่นี่ก็จะมีการประดับไฟให้เราชมความสวยงามในบรรยากาศที่ดูแตกต่างในช่วงกลางวันอีกด้วยนะ ในช่วงเดือนเมษานี้หากใครมีแพลนเที่ยวชมซากุระ ที่นี่ก็เป็นอีก 1 สถานที่ที่สวยงามอยากแนะนำให้ลองไปชมสักครั้ง
ภายในสวนแห่งนี้นอกจากจะมีปราสาทฮิโรซากิที่เปิดให้ชมแล้ว ในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่นี่ยังเป็นจุดชมซากุระที่สวยที่สุดในญี่ปุ่นอีกด้วย ซึ่งจะมีการจัดเทศกาล Hirosaki Cherry Blossom Festival เป็นประจำทุกปี ซึ่งดอกซากุระภายในสวนล้อมรอบตัวปราสาทฮิโรซากิอย่างงดงาม รวมทั้งดอกซากุระภายในสวนนี้ที่ล่วงโรยลงผืนน้ำทำให้ทำให้กลีบซากุระปกคลุมแม่น้ำอย่างสวยงาม เหมือนแม่น้ำเป็นสีชมพูเลย
หรือที่เราเรียกกันว่า “ป้อมดาว 5 แฉก” 1 ในสถานที่ชมซากุระสุดฮิตของเมืองฮาโกดาเตะ ซึ่งไอไลท์อยู่ที่ จุดชมวิวบนหอคอยเมื่อเรามองลงมาด้านล่างจะเห็นสวนสาธารณะเป็นรูปดาว 5 แฉก และเมื่อถึงฤดูชมซากุระก็จะให้วิวทิวทัศน์อย่างงดงาม และในตอนกลางคืนที่นี่ก็มีการประดับไฟให้สวยงามมากขึ้นอีกด้วย
ถ้าพูดถึงกิฟุแล้วอาจจะยังไม่ได้เป็นที่รู้จักของหลายคนเท่าไรนัก แต่ถ้าบอกว่า หมู่บ้านชิราคาวาโกะ หลายคนต้องรู้จักอย่างแน่นอนเพราะว่าเป็น 1 ในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง ซึ่งจริงๆ แล้วหมู่บ้านชิราคาวาโกะนี้ อยู่ในเขตพื้นที่ของจังหวัดกิฟุซึ่งมีสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากมาย รวมถึงกิจกรรม และวัฒนธรรมที่บ่งบอกถึงเอกลักษณ์ความเป็นญี่ปุ่นได้อย่างน่าสนใจเลยทีเดียว
วันนี้เราเลยอยากมาแนะนำจังหวัดกิฟุ ให้ทุกคนได้รู้จักกันว่าอยู่ตรงไหนของญี่ปุ่น และมีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรที่น่าสนใจบ้าง
กิฟุเป็นจังหวัดที่อยู่ใจกลางของญี่ปุ่น เมื่อเราดูจากแผนที่จะแบ่งออกเป็นเขต กิฟุ ตอนเหนือ พื้นที่จะเต็มไปด้วยภูเขาสูงใหญ่กว่า 3,000 ม. เป็นพื้นที่ที่มีหิมะทับถมสูงในช่วงฤดูหนาว และเขต กิฟุ ทางตอนใต้ เป็นแถบที่ราบมีแม่น้ำใสสะอาดไหลผ่าน และอากาศจะค่อนข้างเย็นน้อยกว่าทางภาคเหนือ ด้วยความแตกต่างนี้จึงทำให้กิฟุมีสถานที่ท่องเที่ยวสวยงามแตกต่างกันออกไปในแต่ละพื้นที่ แต่ละฤดูกาล รวมถึงเป็นแหล่งรวบรวมวัฒนธรรม และประเพณีที่น่าสนใจไว้อย่างมากมาย
หมู่บ้านนี้ตั้งอยู่ในหุบเขาสร้างด้วยสถาปัตยกรรมรูปแบบ “กัสโช” (กัสโช หมายถึง การพนมมือ) ตัวบ้านทำด้วยไม้ และหลังคาที่ทำด้วยฟางข้าวหนาหลายชั้นเพื่อรองรับน้ำหนักช่วงหิมะตกในฤดูหนาวตามสไตล์ภูมิปัญญาของคนท้องถิ่น ที่นี่เป็นหมู่บ้านที่เงียบสงบและได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลก มีบ้านเรือนกว่า 110 หลังคา เรียงรายกันอย่างเป็นเอกลักษณ์ สวยงาม เป็นหมู่บ้านที่มีวิถีชีวิตของคนญี่ปุ่นหลงเหลือไว้ให้ชมกันอีกด้วย จากจุดชมวิวชิโรยาม่าเราสามารถมองวิวทั้งหมดของหมู่บ้านได้อย่างสวยงามราวในฝัน และยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมสูงมากๆ จากนักท่องเที่ยวในบ้านเรา
ชินโฮทากะกระเช้าไฟฟ้า 2 ชั้น 1 เดียวของญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากๆ เราจะได้เห็นวิวเทือกเขาแอลป์ตอนเหนืออย่างงดงาม ในขณะที่กระเช้ากำลังแล่นอยู่บนหุบเขา ที่สำคัญที่นี่ยังสวยในทุกฤดูและเป็น 1 ในสถานที่ไฮไลท์ของกิฟุที่พลาดไม่ได้เลย
1 ใน 3 ออนเซ็นขึ้นชื่อของญี่ปุ่น ซึ่งอยู่ใจกลางเมืองเกโระ ส่วนเอกลักษณ์อันโดดเด่นของออนเซ็นนี้ก็คือ น้ำบริสุทธิ์มีคุณสมบัติเป็นด่าง มีความอ่อนโยนต่อผิว ช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น, ฟื้นฟูความเหนื่อยล้า และช่วยให้สุขภาพดี รวมทั้งผิวพรรณก็จะนุ่มลื่นหลังจากการแช่ออนเซ็นแล้ว คนญี่ปุ่นจึงยกให้เป็น ออนเซ็นแห่งความงาม
เทศกาลที่จัดขึ้นในฤดูใบไม้ผลิ (ช่วงซากุระ) ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 14 -15 เมษายน ของทุกปีที่ศาลเจ้าฮิเอะ ในงานจะมีซุ้มเทศกาล 12 หลัง ที่ได้รับการแกะสลักสุดหรูพร้อมลวดลายอันสวยงาม ที่สำคัญซุ้มแห่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมเชิงคติชนวิทยาชิ้นสำคัญแห่งชาติ ซึ่งชาวญี่ปุ่นจะแห่ซุ้มนี้วนรอบเมืองอย่างมีเอกลักษณ์ให้เราได้ชมกัน และเทศกาลนี้ยังงดงามจนได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 3 เทศกาลงดงามที่สุดในญี่ปุ่น
น้ำตกที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นซึ่งมีน้ำตกเล็กใหญ่กว่า 200 แห่งอยู่บริเวณล้อมรอบเชิงเขาองตาเกะ และในฤดูใบไม้ผลิที่นี่ยังเป็นแหล่งชมซากุระที่สวยงามที่สุดเพราะมีต้นซากุระกว่า 3,000 ต้น รวมถึงในฤดูใบไม้เปลี่ยนสีต้นไม้ก็ยังแข่งกันเปลี่ยนสีอย่างงดงามเช่นกัน
เมืองเก่าแห่งทาคายาม่าที่ยังคงอนุรักษ์บ้านเรือนในสมัยเอโดะไว้เป็นอย่างดี ซึ่งในเมืองเก่านี้ยังเป็นที่ตั้งของสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆของทาคายาม่าที่น่าจะสนใจอีก เช่น ย่านเมืองเก่าซันมะจิ ซึ่งเป็นย่านที่เต็มไปด้วยบ้านเรือนของเหล่าพ่อค้าที่มีอายุเก่าแก่ยาวนานกว่า 100 ปี และตามข้างถนนยังเรียงรายไปด้วยร้านขายของอีกมากมาย รวมทั้งบ้านที่นำมาดัดแปลงเป็นทั้งคาเฟ่ร้านอาหารให้เราได้เลือกใช้บริการ เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ยังคงอนุรักษ์กลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่นยุคโบราณไว้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว
ถึงกิฟุจะเป็นจังหวัดที่อยู่ใจกลางประเทศญี่ปุ่นก็ตาม แต่ก็มีพื้นที่ที่เต็มไปด้วยภูเขามากมายพอเข้าสู่ฤดูหนาวตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคมถึงปลายเดือนมีนาคมเป็นต้นไปเราก็สามารถเพลิดเพลินไปกับกิจกรรมที่ลานสกีได้โดยเฉพาะที่เมือง “ลานสกีฮิรุกาโนะ” ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองกูโจมีกิจกรรมหลากหลาย เช่น การทดลองเล่นสกี, สไลด์เดอร์, บานาน่าโบ๊ท, ราฟติ้ง และเครื่องเล่นอื่นๆอีกหลากหลาย นอกจากนี้ยังมีลานสกีอื่นๆที่เราสามารถเข้าใช้บริการได้เช่น “ไดน่าแลนด์” และ “ทะคะสุ สโนว์พาร์ค” เป็นต้น
1 ในสัญลักษณ์ที่สวยงามของจังหวัดกิฟุ มีประวัติความเป็นมาราว 800 ปี จากจุดชมวิว เราสามารถชมความสวยงามของบริเวณรอบๆปราสาทได้ รวมถึงแม่น้ำนะงะระที่อยู่ด้านล่างตัดกับทิวภูเขาที่อยู่ด้านหลังอ่าวอิเซะทางทิศใต้อย่างสวยงาม นับว่าเป็นปราสาทที่สวยงาม และมีวิวทิวทัศน์ที่น่าชื่นชมอีกมากๆ อีกแห่งในกิฟุ
ประเพณีนี้เป็น 1 ในประเพณีที่ดั้งเดิมและน่าสนใจมากๆของจังหวัดกิฟุตอนใต้ที่สืบทอดกันมายาวนานกว่า 1,300 ปี และยังเป็นประเพณีดั้งเดิมที่หาดูได้ยากในปัจจุบัน ทุกคนสามารถชมการสาธิตการจับปลาด้วยนกกาน้ำของชาวประมง โดยจะมีการออกเรือ 6 ลำไปด้วยกันโดยมีการจุดโคมไฟเพื่อนำทาง พร้อมกับควบคุมนกกาน้ำ 10 – 12 ตัวในการหาปลา
เป็นถนนสมัยเก่าที่สร้างขึ้นเพื่อเชื่อมต่อระหว่างเมืองเอโดะ และเมืองเกียวโตตั้งแต่ยุคสมัยเอโดะ ถนนสายนี้สร้างอยู่ทางลาดบนภูเขานะกะเซ็นโด ถือว่าเป็นถนนที่หาดูได้ยากในญี่ปุ่นเลย และตลอดทางเดินยังมีบ้านเรือน ร้านน้ำชา ร้านขายของที่ระลึก ที่เรียงรายอยู่ตลอดสองข้างทางให้เราได้แวะกันอีกด้วย
อีก 1 ในสถานที่ที่มีวิวอันสวยงามของกิฟุตอนใต้ วิวสองฝั่งเต็มไปด้วยหน้าผาสูง และรูปร่างหินที่ดูแปลกตา แต่ละฤดูที่นี่ก็จะให้วิวทิวทัศน์สวยงามแตกต่างกันออกไป เราสามารถชมวิวที่หุบเขานี้อย่างใกล้ชิดได้จากการล่องเรือไปตามหุบเขา
เมืองเซกิเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงเรื่องการตีดาบระดับโลก ดาบญี่ปุ่นจะใช้วิธีการตีดาบแบบโบราณ พิพิธภัณฑ์การตีดาบเซกินี้มีการจัดแสดงให้เห็นถึงเทคนิคการตีดาบของช่างโบราณที่มีมานานกว่า 700 ปี ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่น่าสนใจของเมืองกิฟุ
จริงๆแล้วกิฟุมีสถานที่ท่องเที่ยวอันสวยงามมากมายที่บ่งบอกความเป็นเอกลักษณ์ของญี่ปุ่นซ่อนอยู่ หากเพื่อนๆคนไหนสนใจเดินทางเที่ยวญี่ปุ่นในเร็วๆนี้ กิฟุ ก็เป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่น่าสนใจไม่แพ้สถานที่อื่นๆในญี่ปุ่นเลย
ดูข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวเพิ่มเติม คลิก http://travel.kankou-gifu.jp/th/
ดูทัวร์ญี่ปุ่นทุกเส้นทาง คลิก www.siamorchardgroup.com/ทัวร์ญี่ปุ่น
การเดินทางท่องเที่ยวทัวร์ญี่ปุ่นในช่วงซากุระนับเป็นช่วงเวลาที่หลายคนอยากเดินทางไปเห็นด้วยตัวเองสักครั้ง นับเป็น Seasons ที่หมายปองของบรรดานักท่องเที่ยวชาวไทยเลยทีเดียว ปกติแล้วทัวร์ต่างๆ ก็จะขายเรื่องการชมซากุระในช่วงหน้าร้อน เพราะที่ประเทศญี่ปุ่นซากุระจะเริ่มบานในฤดูใบไม้ผลิ ไล่เรียงเริ่มมาจากทางเกาะใต้สุดของญี่ปุ่น ขึ้นไปยังเกาะเหนือสุดของญี่ปุ่น
แต่ซากุระแห่งเมือง Kawazu นี้พิเศษกว่าใคร เพราะเค้าจะเริ่มบานเป็นที่แรกๆ ของญี่ปุ่น ตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – ต้นเดือนมีนาคม ของทุกปี
เพราะว่าซากุระแห่งเมืองนี้เป็นซากุระสายพันธ์ุพิเศษที่มีลักษณะการบานเร็วกว่าพันธุ์อื่นๆประมาณ 1 เดือน นั่นเอง
ซึ่งไฮไลท์ของที่เมืองนี้จะอยู่ที่ต้นซากุระขนาดใหญ่อายุกว่า 60 ปี รวมถึงทั่วทั้งเมืองก็จะปกคลุมไปด้วยต้นซากุระกว่า 8,000 ต้น ที่แข่งกันผลิดอกสร้างความสวยงามให้กับเมืองแห่งนี้กลายเป็นสีชมพูสดใส
โดยเฉพาะความสวยงามของซุ้มดอกไม้กว่า 800 ต้น ที่เป็นแนวยาวเรียงรายกันบริเวณเลียบแม่น้ำ Kawazu ในช่วงนั้นเค้าก็จะมีการจัดเทศกาลชมดอกซากุระที่ชื่อว่า Kawazu Sakura Festival ซึ่งเป็นเทศกาลที่มีชื่อเสียง และดึงดูดนักทั่วเที่ยวให้มาเยี่ยมชมที่นี่อย่างไม่ขาดสายในทุกปี
นอกจากนี้แล้วในช่วงเวลากลางคืนที่นี่ยังมีการเปิดไฟประดับที่ต้นซากุระให้ได้บรรยากาศที่สวยงามไปอีกแบบด้วย (18.00-21.00 น.)
เมือง Kawazu, จังหวัด Shizuoka, ภูมิภาค Chubu (เข้าชมฟรี)
โปรแกรมที่ร่วมรายการส่วนลดทั้งหมด
ทัวร์ยุโรป (ม.ค – ก.พ. 63) ลดท่านละ 2,000
ญี่ปุ่น (ม.ค.63) ลดท่านละ 2,000
ญี่ปุ่น (ก.พ.63) ลดท่านละ 2,000
ทัวร์ไต้หวัน (ม.ค.-ก.พ. 63) ลดท่านละ 1,000
ทัวร์เกาหลี (ม.ค.-ก.พ. 63) ลดท่านละ 1,000
ทัวร์สิงคโปร์ (ม.ค.-ก.พ. 63) ลดท่านละ 1,000
เงื่อนไขการรับส่วนลดตามโปรโมชั่นเพิ่มเติม**
ญี่ปุ่น (ลดพิเศษท่านละ 1,500)
ผ่อนชำระ / เซลล์สลิป | รับเครดิตเงินคืน |
15,000 – 29,999 บาท | 200 บาท |
30,000 – 59,999 บาท | 500 บาท |
60,000 – 99,999 บาท | 1,000 บาท |
100,000 บาทขึ้นไป | 2,000 บาท |
ลงทะเบียน SMS : พิมพ์ DES เว้นวรรค ตามด้วยหมายเลขบัตร 10 หลักสุดท้าย ส่งมาที่ 4545111 (ค่าบริการครั้งละ 3 บาท)
โปรแกรม ทัวร์ญี่ปุ่น เที่ยวญี่ปุ่น
โปรแกรมที่ร่วมรายการส่วนลดทั้งหมด
ญี่ปุ่น
ระยะเวลาการรับสิทธิ์ : 1-9 กันยายน 2562 นี้เท่านั้น
เงื่อนไขการรับโปรโมชั่น
ดูทัวร์ที่ร่วมรายการทั้งหมด คลิก ▷ ทัวร์ญี่ปุ่น – ยุโรป ลดสูงสุด 2,OOO
การที่เราจะตัดสินใจออกเดินทางไปเที่ยวที่ไหนสักแห่ง เชื่อว่าแรงบัลดาลใจของแต่ละคนนั้นเกิดขึ้นไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะเห็นจากรีวิว รูปถ่าย หรือบางคนอาจเกิดจากการดูหนัง แต่เชื่อเถอะไม่ว่าจะเกิดจากอะไร แต่จุดหมายปลายทางของแต่ละคนนั้นจะไม่ต่างกันเท่าไร..เพราะแค่ได้ก้าวออกไปในประเทศที่เราอยากไปเชื่อว่าทุกคนก็แฮปปีัสุดๆ แล้ว
วันนี้เลยอยากมาแนะนำ 1 ใน ประเทศแถบยุโรปที่เชื่อว่าต้องเป็น Destination ของคนที่อยากจะไปดูแสงเหนือสักครั้งในชีวิต นั่นก็คือ “Ice Land” ดินแดนของนักล่าแสงเหนือ รวมถึงธารน้ำแข็งที่งดงาม ทะเลสาบ น้ำตก และธรรมชาติสุดแปลกที่ดูน่าสนใจ แบบสุดๆไปเลย
ส่วนเดือนที่เหมาะสมสำหรับการชมแสงเหนือของ Iceland ขอแนะนำในช่วง เดือน ตุลาคม – มีนาคม ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เราสามารถเห็นแสงเหนือได้ดีที่สุด เพราะเป็นช่วงฤดูหนาวนั่นเอง เพราะจะมีช่วงกลางคืนยาวนานกว่ากลางวัน
ไปเที่ยว Iceland กับ Siam Orchard คลิกเลย ▷ https://siamorchardgroup.com/Iceland
ถ้ำน้ำแข็งที่เกิดจากการก่อตัวของหิมะทับถมกันจนเป็นภูเขาน้ำแข็งเป็นเวลานาน ว่ากันว่าที่นี่เป็นถ้ำน้ำแข็งที่สวยและใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของไอซ์แลนด์เลย น้ำแข็งในถ้ำจะมีสีฟ้าใสดุจคริสตัล ซึ่งถือว่าเป็นความสวยงามที่มหัศจรรย์ และบรรยากาศน่าถ่ายรูปมากๆ
น้ำพุร้อนที่มีชื่อเสียงที่สุดของไอซ์แลนด์ นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวไอซ์แลนด์จะต้องไม่พลาดกับการมาแช่บ่อน้ำร้อนแห่งนี้ เพราะเป็นสถานที่เพื่อสุขภาพระดับโลก และโด่งดังที่สุดของไอซ์แลนด์เลย และในวันที่บรรยากาศเป็นใจเราอาจเห็นแสงเหนือไปพร้อมกับการแช่น้ำแร่ที่นี่อีกด้วย แค่คิดก็ฟินแล้ว แช่ไปดูแสงเหนือไป อะไรจะดีขนาดนี้ทุกคนนน
ทะเลสาบน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดของไอซ์แลนด์ เกิดจากการสระสมของธารน้ำแข็งที่ละลายจากภูเขาน้ำแข็ง และไหลลงสู่ทะเล จึงทำให้พื้นที่ถูกขยายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และยังเป็นอีกหนึ่งทำเลถ่ายทำภาพยนตร์ดังๆระดับโลก เช่น Game of Thrones รวมทั้งที่นี่ยังนับว่าเป็นธรรมชาติที่มีอยู่เพียงไม่กี่แห่งในโลก
หาดทรายสีดำที่สวยที่สุดในโลก ซึ่งเกิดจากการสึกกร่อนของหินลาวาและแนวหินบะซอลต์ ที่ถูกพัดพาไปสะสมตัวบริเวณชายหาด ซึ่งบนหาดเต็มไปด้วยกรวดและทรายสีดำที่ดูสวยแปลกตามากๆ
ที่นี่เป็นอีก 1 น้ำตกที่มีชื่อเสียงที่สุดของไอซ์แลนด์ ก็ด้วยบรรยากาศที่งดงามของน้ำตก ปนกับแสงแดด และสายรุ้ง ทำให้ได้บรรยากาศที่สวยจับใจมากๆ และด้วยความสวยงามน้ำตกแห่งนี้จึงกลายเป็นทำเลหลักในการถ่ายทำภาพยนตร์หลายเรื่องเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น Thor 2, The Secret Life of Walter Mitty เป็นต้น
ทุ่งน้ำแข็งเมียร์ดาลส์โจกูล เป็นดินแดนที่อยู่จุดสูงสุดของโลก มีความกว้างใหญ่เป็นอันดับ 4 มีพื้นที่กว่า 596 ตารางกิโลเมตร ซึ่งมีกิจกรรมให้เราเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ มากมายไม่ว่าจะเป็น ขับรถสโนว์โมบิลตะลุยไปในทุ่งน้ำแข็ง หรือชมถ้ำน้ำแข็งสีสันสดใส
น้ำตกที่อยู่ในอุทยานแห่งชาติสกาฟตาเฟลล์ (Skaftafell National Park) เป็นอีกหนึ่งน้ำตกที่สวยงาม แปลกตา และไม่เหมือนที่ใด
หรือไนแองการ่าแห่งไอซ์แลนด์ อีกหนึ่งน้ำตกที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆของไอซ์แลนด์ 1 ใน 3 ของเส้นทาง “วงแหวนทองคำ” และ 1 ในความมหัศจรรย์ของธรรมชาติระดับโลกที่เกิดจากการละลายของธารน้ำแข็ง ซึ่งเป็นความสวยงามที่หาดูได้ยากมากๆ เหมือนกัน
หาดทรายสีดำที่มีก้อนน้ำแข็งน้อย ใหญ่ ลอยจากธารน้ำแข็งมาเกยบนชายหาด เมื่อน้ำแข็งบนหาดแห่งนี้ตกกระทบกับแสงก็จะสะท้อนแวววาวเหมือนเพชรที่วางเรียงรายอยู่เต็มชายหาด เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่งดงามแปลกตาที่สุดในไอซ์แลนด์ ซึ่งหาดทรายแห่งนี้อยู่ในบริเวณของธารน้ำแข็งโจกุลซาลอน
โบสถ์ที่สูงที่สุดในไอซ์แลนด์ ซึ่งสร้างตามแบบสถาปัตยกรรมแนวอิมพราสชั่นนิส ซึ่งใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างถึง 38 ปี ถือว่าเป็นจุดชมวิวที่งดงามแห่งหนึ่ง ซึ่งด้านล่างเราสามารถชมวิวเมืองเรกยาวิคได้อีกด้วย
เที่ยวญี่ปุ่นชมใบแปะก๊วยสีเหลืองทองอร่ามนี้ จะมาช่วยแต่งแต้มบรรยากาศในแต่ละสถานที่ที่ญี่ปุ่น ให้มีสีสันสวยงาม สดใส ในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีที่จะถึงนี้ วันนี้เลยมาแนะนำ 5 พิกัดสวยๆ ที่เราจะได้เจอต้นแปะก๊วยสวยๆแบบนี้ ลองดูกันเลยค่ะว่ามีที่ไหนบ้าง
นอกจากจะเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง ด้านการศึกษาแล้ว ที่นี่ยังเปิดให้ชาวเมืองและนักท่องเที่ยว ได้เข้าไปเดินเล่น พักผ่อนหย่อนใจ โดยเฉพาะในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ตลอดทางเดินจะสวยงาม โรแมนติก และเต็มไปด้วยใบแปะก๊วยเหลืองอร่าม
จุุดดชมวิวสวยๆของต้นแปะก๊วย เมื่อถึงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ใบแป๊ะก๊วยก็จะพากันเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองอร่ามอย่างงดงามตลอดแนวทางเดิน
บริเวณสวนทางทิศใต้มุ่งหน้าไปยัง พิพิธภัณฑ์ Seitoku Memorial สองข้างทางจะมีต้นแป๊ะก๊วยปลูกไว้ตลอดแนวสองข้างทางกว่า 400 เมตร ช่วยแต่งแต้มให้สวนนี้มีสีสันสดใสสวยงามมากๆ ในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีนี้
ที่นี่เป็นหนึ่งในสถานที่ชมใบแปะก๊วยที่สวยที่สุดของโตเกียวเลย และใบแปะก๊วยยังเป็นสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยแห่งนี้อีกด้วย จึงไม่แปลกที่เราจะพบเห็นต้นแปะก๊วยขึ้นเรียงรายอยู่เต็มบริเวณพื้นที่ของมหาวิทยาลัยแห่งนี้
อีกจุดชมใบแปะก๊วยที่สวยที่สุดอีกแห่งหนึ่งของโตเกียวเลยค่ะ เป็นสวนที่มีขนาดใหญ่มีต้นแปะก๊วยจำนวนมากขึ้นเรียงรายกันเป็นอุโมงค์ต้นแปะก๊วยแสนสวยที่มีระยะทางยาวกว่า 300 เมตร
สวิส..เป็นประเทศแถบยุโรปที่ขึ้นชื่อว่าโรแมนติกที่สุดอยู่แล้ว จะดีกว่าไหมถ้าเรามานั่งรถไฟชมวิว มันจะยิ่งทำให้รู้สึกว่าโรแมนติก และชิวมากกว่าเดิมอีกหลายเท่า วันนี้ Siam Orchard เลยอยากมาแนะนำรถไฟชมวิว Glacier Express Train ของสวิสที่จะพาเรา กินลม ชมวิว ท่องบรรยากาศ ที่เหนื่อยล้าจากการทำให้ให้เฟรชมากยิ่งขึ้น
Glacier Express รถไฟที่ด่วนที่ช้าที่สุดในโลก และยังเป็นรถไฟชมวิวที่มีทิวทัศน์ที่สวยติดอันดับต้นๆของโลกอีกด้วย จนกลายเป็นเส้นทางที่นักท่องเที่ยวหลายๆ คนใฝ่ฝัน อยากจะไปนั่งสัมผัสบรรยากาศดูสักครั้ง
ในบรรดารถไฟของสวิสที่ใช้คำลงท้ายด้วย Express นี้ Glacier Express ถือว่าเป็นสายที่ด่วนน้อยที่สุด หรือจะเรียกว่าช้าที่สุดก็ว่าได้ แถมค่าโดยสารของรถไฟสายนี้ก็แพงเอาเรื่องกว่ารถไฟสายอื่นๆ อีกด้วย
ส่วนเส้นทางการเดินทางของรถไฟสาย Glacier Express นี้จะเริ่มต้นที่หุบเขาของเมือง Zermatt วิ่งย้อนออกมาตามทางเดิมของ Matterhorn Gotthard Bahn ที่แยกเข้าไป Zermatt จนถึงเมือง Visp ที่เป็นเมืองปลายทางของอุโมงค์ Lotschberg base tunnel (อุโมงค์ที่มาถึง Interlaken ได้ไม่นาน) ไปทางหุบเขาแม่น้ำโรนผ่านเมือง Brig มุ่งหน้าสู่ Andermatt และมุ่งหน้าสู่เมือง Chur และ St. Moritz
และหากจะใช้เวลานั่งรถไฟสายนี้จากต้นทาง Zermatt ไปยัง สถานีปลายทาง St.Moritz ต้องใช้เวลานั่งทั้งหมดประมาณ 8 ชั่วโมง
บรรยากาศตลอดทางที่รถไฟวิ่งนั้นเราจะได้พบกับบรรยากาศที่แปลกตา สวยงาม ทั้งภูเขา หุบเขา ทุ่งหญ้า อุโมงค์ สะพาน และที่ขาดไม่ได้เลย คือ ธารน้ำแข็งอันงดงาม และจุดสูงสุดของเส้นทางนี้จะอยู่ที่สถานี Oberalp pass ซึ่งสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 2,033 เมตร
ส่วนประเภทตั๋วโดยสาร และอัตราค่าโดยสาร รวมถึงรอบของรถไฟ Glacier Express สามารถเช็คได้จากเว็บไซต์ของ Glacier Express >> www.glacierexpress.ch ได้เลย
โปรแกรมที่ร่วมรายการทั้งหมด
ยุโรป
ญี่ปุ่น
ระยะเวลาการรับสิทธิ์ : 6-26 สิงหาคม 2562 นี้เท่านั้น
เงื่อนไขการรับโปรโมชั่น
ดูทัวร์ที่ร่วมรายการทั้งหมด คลิก ▷