“จากปักกิ่งถึงไซบีเรีย ทริปสุดท้ายก่อนโควิด” การนั่งรถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย คงเป็นเส้นทางในฝันของใครหลายๆคน การที่จะเดินทางในเส้นทางนี้อาจจะไม่ได้ง่ายเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะสำหรับพนักงานประจำแบบเราๆ จริงไหมคะ ก็เพราะต้องใช้เวลาในการเดินทางครั้งนี้มากพอสมควร ซึ่งสำหรับเราแล้วหากมีความกล้าพอที่จะเดินถือไปลาไปหาหัวหน้าแล้วล่ะก็ ลุยสิค่ะ…
การเดินทางครั้งนี้เราใช้เวลาทั้งหมดในการเดินทาง 12 วัน ผู้ร่วมเดินทาง 8 ชีวิต ปลายทางสิ้นสุดที่ทะเลสาบสาบน้ำจืดที่ลึก และเก่าแก่ที่สุดในโลก “ไบคาล Baikal” แพลนการเดินทางคร่าวๆคือบินลงปักกิ่ง เที่ยวปักกิ่ง 2 วัน นั่งรถไฟสายทรานส์มองโกเลีย จากปักกิ่ง-อูลานบาตอร์(มองโกเลีย) เที่ยวมองโกเลีย 2 วัน นั่งรถไฟต่อจากอูลานบาตอร์(มองโกเลีย)-อีร์คุตสค์(รัสเซีย) *รถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย เที่ยวทะเลสาบไบคาล 2 คืน บินกลับสุวรรณภูมิ เป็นไงคะแพลนการเดินทางแน่นสุดๆไปเลยใช่ไหมล่ะ…
เริ่มออกเดินทางไปด้วยกันค่ะ^^
เราบินจากสนามบินดอนเมือง โดยสายการบินแอร์เอเชีย Airasia ตอนบ่ายครึ่งไปยังเมืองปักกิ่ง (Beijing Capital City 北京) โดยที่ตัวเราเองพึ่งรู้ก่อนการเดินทางไม่นานว่าไฟล์ที่เราบินนั้นไม่ใช้ไฟล์บินตรง แต่ต้องแวะเปลี่ยนเครื่องที่กัวลาลัมเปอร์(มาเลเซีย) ห๊ะ..อะไรนะ เห็นว่ามีบินตรงทั้งฉางซา, ฉงชิ่ง, คุณหมิง แต่ทำไมหนอ เมืองใหญ่อย่างปักกิ่งนั้นไม่มี ที่เอะใจก็เพราะตั๋วที่ได้บินตั้งแต่ 13.30 กว่าจะถึงปักกิ่งก็ตีหนึ่งของอีกวัน
เอะยังไง ปกติครั้งที่แล้วไปเฉิงตูไม่น่าเกิน 3 ชม. แต่นี่ปักกิ่งเหนือเฉิงตูไปไม่เยอะทำไมใช้เวลาเดินทางทั้งวัน ถึงบางอ้อตรงที่กัวลาลัมเปอร์ที่ไปเปลี่ยนเครื่องนั้นอยู่ข้างล่างไทยลงไปอีก โอ้วว..นั่นหมายถึงจากกรุงเทพไปปักกิ่งหายไปแล้ว 1 วัน
แลนด์ถึงปักกิ่งก็ตีหนึ่งกว่า เหล่าสมาชิกหาอะไรรองท้อง เตรียมหาที่ซุกหัวนอนที่สนามบินเพื่อรอรถไฟเข้าเมืองแต่เช้าค่ะ อันนี้คือภาพมื้อแรกของเราในปักกิ่งค่ะ ฝากท้องไว้กับอาหารมินิมาร์ทที่สนามบินค่ะ
จากสนามบินเราใช้การเดินทางโดยรถไฟฟ้าเข้าเมือง และเพื่อไม่เป็นการเสียเวลาที่เรามีอยู่น้อยนิด วันนี้เราจะฝากกระเป๋าไว้กับที่พักก่อน และออกไปเที่ยวนอกเมืองกันเลย
มีเรื่องเล่าประสบการณ์กระเป๋าแตกที่สายพาน ระหว่างรอรับกระเป๋ามีกระเป๋าผู้ร่วมทริปแตกจ้า จึงเดินไปหาเค้าเตอร์ตรงสายพานค่ะ(ยังไม่ผ่านศุลกากรออกไปข้างนอก) แจ้งเจ้าหน้าที่เค้าตรงนั้นเลย จากนั้นไม่นาน..เค้าให้กระเป๋าลากใบใหม่มาเลย ใหญ่กว่าเดิมค่าา..
ลากกระเป๋าไปที่พักแต่เช้าเลย
ช่วงเวลาที่เดินไปที่พักเป็นช่วงเวลาเช้า ผู้คนเดินสวนกันอยู่ตลอด สองข้างทางที่ผ่านมามีแต่ร้านขายซาลาเปาเต็มไปหมด ช่วงเวลาเช้าๆแบบนี้ทุกคนที่นี่ต้องรีบไปทำงานค่ะ จะดูค่อนข้างวุ่นวาย
จากสถานีมาที่พักเดินไกลใช้ได้ค่ะ แต่เราเลือกกันมาแล้วว่าเป็นที่พักเดียวที่ใกล้สถานีนี้ที่สุด และสภาพดีที่สุด เดินไกลและทุลักทุเลหน่อย เพราะทุกคนมีกระเป๋าใบโตอยู่ค่ะ ที่สำคัญสำหรับกระเป๋าที่เค้าให้จากการเคลมมาเพิ่มหนึ่งใบ ณ ตอนนี้เริ่มคิดว่าเป็นภาระแล้ว555
ที่พักเราเลือกพักที่เดิม 2 คืน ใกล้สถานีรถไฟ (Beijing Railway Station) เนื่องจากเราจะเดินทางต่อไปยังมองโกเลียโดยรถไฟสายทรานส์มองโกเลีย (Trans Mongolian)
และมีสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินใกล้ๆเดินทางสะดวก สถานที่แรกไม่พ้นกำแพงเมืองจีน หนึ่งสัญลักษณ์ของปักกิ่ง ถ้าไม่เยือนก็จะเหมือนไปไม่ถึง บรรยากาศช่วงใกล้เทศกาลตรุษจีนนี่ก็ดีนะคะ รู้สึกเหมือนเมืองมีชีวิตชีวาดีค่ะ ^^
ก่อนมาเราเช็คข้อมูล พร้อมเตรียมการเดินทางมาอย่างดี แต่กว่าจะเลือกได้ว่าจะไปกำแพงเมืองจีนด่านไหนนั้นเป็นเรื่องยากที่สุดนั่นก็เพราะกำแพงเมืองจีนนั้นมีจุดไฮไลท์หลายจุด(ป้อมกำแพงเมือง) จะเรียกว่าด่าน ซึ่งแต่ละด่านจะอยู่ห่างจากตัวเมืองปักกิ่งไปพอสมควร 1-2-3-4 ชั่วโมง
ยิ่งหาข้อมูล ก็จะยิ่งรู้ว่าด่านที่สวยๆ จะเป็นด่านที่ค่อนข้างไกลเมืองปักกิ่ง แต่เราต้องเผื่อเวลากลับด้วย เพราะช่วงที่เราเดินทางเป็นช่วงหน้าหนาวจะมืดเร็ว และหนาว อ้อ..เราลืมบอกไปว่าช่วงที่เดินทางเป็นช่วงปลายเดือน มกรา 2563 สำคัญที่สุดคือก่อนวันตรุษจีนเพียงไม่กี่วันอันนี้สำคัญอีกเรื่องเพราะทุกคนที่เรารู้จักต่างบอกว่าให้เลี่ยงการเดินทางช่วงนี้ แต่เราเลือกไม่ได้เพราะช่วงเวลาที่เราลาพักร้อนได้มันตรงช่วงนี้เท่านั้น เอาเป็นว่าลองสัมผัสประสบการณ์การเดินทางในช่วงวันหยุดยาวตรุษจีนในประเทศจีนสักครั้ง^^
การตัดสินใจจึงจบที่กำแพงเมืองจีนด่านมู่เถียนยวี่ (Mutianyu 慕田峪长城) ที่ห่างจากตัวเมืองปักกิ่งสัก 2 ชั่วโมงได้ค่ะ เหตุผลที่เลือกคือเป็นด่านที่สมบูรณ์ที่สุด วิวสวย เดินทางง่ายไม่ไกลจากตัวเมืองค่ะ
จากที่พักเราเดินมาขึ้นรถไฟใต้ดิน หากมากันหลายๆคนเราแนะนำให้ซื้อเป็นบัตร IC Card เพื่อความรวดเร็ว ที่ต้องบอกแบบนี้ก็เพราะที่นี่ประชากรของเค้าเยอะมาก ส่วนใหญ่จะใช้การเดินทางโดยรถสาธารณะ ในแต่ละวินาทีคนเดินสวนไปสวนมาชุนละมุนสุดๆค่ะ ความหนาแน่นของผู้คนเหมือนสถานีสยามช่วงเช้าๆเลย แต่ระบบการขนส่งเค้าดีค่ะ เราไม่เคยได้ยืนรอรถไฟนานเลย สังเกตุได้จากคนที่ยืนรอคิวแต่ละสถานีแถวไม่เคยยาวเลยต่อให้คนเดินทางจะเยอะขนาดไหน นั่นก็เพราะมีรถไฟวิ่งมาตลอดค่ะ
อันนี้บรรยากาศหน้าสถานีค่ะ คนรอเข้าไปด้านในสถานียืนตากแดดคลายหนาว
บัตร IC เหมือนบัตร Rabbit ที่เติมเงินลงไปในบัตร และมีค่ามัดจำบัตร หากเราคืนบัตรก็สามารถรับเงินมัดจำคืนได้ ข้อดีคือ สะดวกง่าย รวดเร็ว มีส่วนลดสำหรับการขึ้นรถบัส ข้อเสียคือ จุดคืนบัตร จะไม่ได้มีทุกสถานีเหมือน BTS บ้านเรา จะมีเฉพาะสถานีใหญ่ๆค่ะ พอดีกับสถานีที่เราใช้สามารถคืนบัตรได้พอดีเลยค่ะ เรานั่งรถไฟไปลงที่สถานี ตงจื่อเหมิน (Dongzhimen 东直门) เพื่อที่จะไปต่อรถบัสสาย 916 ออกไปนอกเมือง
แต่รถบัสคันนี้ไม่ได้ไปถึงด่านมู่เทียนยวี่นะคะ ชมบรรยากาศข้างทางเพลินๆค่ะ ได้ฟิวช่วงตรุษจีนเลยค่ะ
ตอนแรกตั้งใจจะต่อแท๊กซี่ แต่พอดีมีคุณลุงขับรถรับจ้างมายื่นข้อเสนอรถแวน 1 คันนั่งได้ครบ 8 คนเลย ราคารับได้เราเลยตกลงค่ะ แต่ก็ต่อรองกันอยู่นานเพราะเราอยากทำเวลา เลยต่อรองราคาทั้งขาไป คุณลุงจะรอรับเรากลับมาส่งที่เดิมด้วยค่ะ
นั่งมาไม่นานสัก 15 นาทีได้ก็ถึงด่านมู่เทียนยวี่ จังหวะนี้สำคัญค่ะ เพราะตรงลานจอดรถที่คุณลุงพามาจอดอยู่ด้านนอกซึ่งตรงจุดนี้มีพนักงานนั่งขายตั๋วใช้ภาษาอังกฤษได้ดี แนะนำตั๋วสำหรับเข้าด่านกำแพงเมืองจีน กลุ่มเรากังวลกันมากเพราะกลัวว่าหากซื้อจากตรงนี้กลัวว่าตั๋วจะใช้ไม่ได้ และกลัวว่าราคาจะแพงกว่า คุณขายตั๋วก็ยืนยันว่าทุกอย่างเหมือนกัน เดินไปเช็คตรงห้องขายตั๋วด้านในได้
เราตัดสินใจว่าจะไปซื้อตั๋วข้างใน แต่…คุณลุงคนขับรถจะไม่สามารถจอดรถเพื่อรอรับเราขากลับที่ลานได้ต้องเสียค่าที่จอดรถเพื่อรอเรา เอะ!! เหมือนบังคับเราซื้อตั๋วเค้านะ เอาก็เอาถ้าเค้าการันตีว่าตั๋วใช้ได้ ราคาเท่ากัน ฟังดูก็ไม่เสียหาย เลยตกลงซื้อตั๋วจากตรงนี้
จากบริเวณจุดจอดรถด้านนอก เดินข้ามถนนไปนิดเดียวก็จะถึง Information Center ค่ะ ตรงด้านหน้าจะมีห้องน้ำอยู่ค่ะ พอผ่านซุ้มประตูไปจะมีร้านค้าเต็มไปหมด ส่วนใหญ่เป็นร้านอาหาร และร้านขายพวกของที่ระลึกพวกหมวกไหมพรมหมีแพนด้า เสื้อผ้า ผ้าพันคอต่างๆค่ะ เราแนะนำว่าหากมีเวลาให้ทานอะไรจากตรงจุดนี้ไปก่อนนะคะ เพราะด้านบนกำแพงเมืองจีนนี่อาจจะใช้แรงเดินพอสมควรค่ะ ถึงเวลาขึ้นกำแพงเมืองแล้วค่ะ
ตั๋วที่กำแพงเมืองจีนพูดง่ายๆคือแบ่งเป็น 3 ส่วน
1. ค่าบัตรผ่านเข้าชม
2. ค่ารถ Shuttle bus (จากจุดจำหน่ายตั๋วเข้าไปยังบริเวณกำแพงเมืองจีน)
3. ค่าเดินทางอื่นๆเพิ่มเติม แบ่งเป็น 2 แบบคือ การขึ้นกระเช้า-ลงกระเช้า(Cable car) และการขึ้นกระเช้า(Cable car)-ลงสไลด์เดอร์(Toboggan) *อันนี้ต้องตัดสินใจให้ดีแต่แรกนะคะ เพราะตั๋วใช้ร่วมกันไม่ได้ค่ะ
จุดแรกคือการนั่งรถบัสเพื่อไปยังบริเวณกำแพงเมืองค่ะ เข้าไปต่อคิวได้เลย Shuttle bus จะเป็นแบบวนค่ะมาเป็นรอบๆ ยื่นตั๋วให้เค้าเจาะได้เลยค่ะ
นั่งรถขึ้นเนินมากหลายทีเหมือนกันค่ะ สองข้างทางก็จะมีหิมะนิดๆหน่อยๆ
ตรงจุดจอดรถบัส เดินขึ้นมาจะมาเจอแผนที่การเดินทางบริเวณกำแพงค่ะ
เราเลือกซื้อการเดินทางแบบ ขึ้นกระเช้า (Cable car) ลงสไลเดอร์ (Toboggan) กระเช้าที่ได้จะเป็นแบบห้อยขาค่ะ มีที่ล็อคตรงเอว ปลอดภัยสบายใจได้ นั่งได้ประมาณ 2 คนกำลังดีค่ะ
ตอนขึ้น-ลงกระเช้านี่จะตื่นเต้นหน่อยนะคะ เพราะตัวกระเช้าจะไม่ได้หยุดให้รอเราขึ้นลงแบบหยุดสนิทค่ะ เราจะต้องรีบกระโดดขึ้นลงตามจังหวะค่ะ จะมีเจ้าหน้าที่คอยจับตัวเราอารมณ์เหมือนจับตัวเราโยนขึ้นไปตรงที่นั่งน่ะค่ะ^^
บรรยากาศช่วงปลายเดือนมกราจะแห้งๆหน่อยค่ะ มีเขียวๆนิดๆ บวกกับความขาวๆของหิมะหากได้ตอนหิมะโปรยปรายนี่จะเยี่ยมมากเลยค่ะ
ระหว่างนั่งกระเช้าขึ้นมาจะเห็นเค้าเล่นสไลเดอร์ (Toboggan) กันอยู่ข้างล่างอย่างชัดเจนค่ะ ดูน่าสนุก
พอถึงด้านบนแล้วเราต้องเลือกให้ดีค่ะว่าจะไปทางซ้ายหรือขวา เพราะค่อนข้างเดินไกลอยู่นะคะ แถมเราต้องกลับมาที่เดิมเพื่อนั่งสไลเดอร์ขากลับลงไปค่ะ
อย่างแรกทำให้เราแปลกใจสุดๆเมื่อขึ้นมาถึงนั่นก็คือผู้คนน้อยมาก น้อยกว่าที่คิดไว้เยอะเลยจากที่เช็คข้อมูลมาว่าช่วงใกล้ตรุษจีนนักท่องเที่ยวที่มาที่นี่จะเยอะมากมหาศาล เลี่ยงได้ให้เลี่ยงแล้วทำไมเป็นเช่นนี้ล่ะ งง มาก
แต่ใจก็ก็คิดว่าดีแล้วจะได้ถ่ายรูปสวยๆ หารู้ไม่ว่ามีอะไรรอเราอยู่….
จากตรงนี้เราเดินเล่นไปเรื่อยๆค่ะ มีนักท่องเที่ยวต่างชาติด้วย
ดูความยาวไกลของกำแพงที่เห็นข้างหน้าสิคะ มองแล้วถอดใจ แต่วินาทีนั้นมีความรู้สึกทึ่งมากกค่ะ
ทึ่งที่ว่าสมัยนั้นเค้าสร้างสิ่งนี้ขึ้นมาได้ยังไงยิ่งใหญ่โตได้ขนาดนี้ คำถามนี้มีตั้งแต่ก่อนเดินทางมาถึง
จนกระทั่งวินาทีนั้นก็ยังอดคิดไม่ได้ว่าช่วงที่เค้าสร้างกำแพงเมืองจีนที่ยิ่งใหญ่นี้มันแลกมากับอะไรบ้างน้าาา….
พอมายืนตรงจุดนี้แล้ว…บรรยายความรู้สึกไม่ถูกจริงๆค่ะ
ได้เวลากลับลงไปข้างล่างโดยการนั่งสไลเดอร์ (Toboggan) ตอนแรกไม่คิดว่าจะอิน แต่ว่ามันดีค่ะ บอกเลยเพราะว่ารางสไลด์ยาวมากๆๆๆๆ บวกกับอากาศหนาวๆเย็นๆแล้วล่ะก็…
ที่นี่เค้าจะห้ามเหมือนๆกับที่อื่นๆนะคะ คือห้ามหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปขณะเล่น เราก็เลยถามคุณพนักงานหนึ่งทีว่าถ่ายวีดีโอล่ะ เค้าตอบ โน คุณพนักงานถามว่าเรามาจากไหน พอตอบว่าไทย เค้าพูดไทยใส่เลยน่าจะเจอชาวไทยมาเยอะ
ตรงจุดสิ้นสุดสิ้นสุดสไลเดอร์ก็คล้ายๆกับสถานที่ท่องเที่ยวโดยทั่วไปคือ ขายรูปภาพที่เค้าลั่นชัตเตอร์ระหว่าที่เราสไลด์ลงมาค่ะ ตอนกระเช้าขาขึ้นก็เช่นเดียวกันค่ะ แต่ข้อดีของการที่มีผู้ร่วมเดินทางเยอะคือให้เพื่อนถ่าย ไม่เสียตัง^^
ลงมาถึงข้างล่างได้เวลานั่งรถเข้าเมืองปักกิ่งค่ะ กว่าจะกลับลงมาก็บ่ายแก่ เกือบเย็นแล้วแสงเริ่มหมดแล้ว
หวังฝูจิ่ง (Wangfujing 王府井) เป็นถนนที่คึกคักมากแม้กระทั่งยามค่ำคืนค่ะ มีร้านค้า ร้านแบรนด์เนม ร้านอาหาร ขนมของฝากเต็มไปหมด รวมถึงร้านสตรีทฟู๊ดค่ะ
มาถึงที่นี่เราคงที่จะพลาดไม่ได้กับการลิ้มลองชาบูหมาล่า ตอนสั่งอาหารนี่เป็นอะไรที่วุ่นวายสุดๆค่ะ เพราะภาษา และความเยอะของเครื่องชาบูต่างๆ แต่ไม่ใช่เรื่องยากชี้ค่ะ ชี้เอา..
หน้าตาจะประมาณนี้ค่ะ ซึ่งตรงข้างๆหม้อที่เป็นร่องใส่น้ำซุปจะลึกมากค่ะ ไม่ต้องเติมน้ำซุปเลย เติมแค่ครั้งแรกทีเดียวอิ่ม
เมื่อเราเริ่มอิ่มกันแล้วจังหวะที่หันไปมองโต๊ะอื่นๆรอบข้าง จึงพึ่งรู้ว่าเราเป็นโต๊ะเดียวที่ ยืนกิน นั่นก็เพราะโต๊ะก็สูง หม้อก็สูง เราก็เตี้ย ยืนค่ะสบายที่สุด
ไปเดินย่อยกัน บรรยากาศตอนหน้าหนาวนี่ดีนะคะ ไม่มีความรู้สึกอะไรเลยเวลาเดินเล่น ไม่มีความรู้สึกอะไรแล้ว นอกจากหนาว^^
เห็นควันๆ อุ่นๆแปลกๆพุ่งตัวเข้าไปค่ะ ทั้งๆที่ท้องอิ่มแล้ว อันนี้เป็นโยเกิร์ตร้อนค่ะ อร่อยดี หอมมากค่ะ แต่ออกแปลกๆเพราะพึ่งเคยกินโยเกิร์ตร้อนครั้งแรก
ตามจุดต่างๆจะมีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ค่ะ ตามสไตล์เมืองจีนอะนะ ครั้งนี้มาพร้อมกับน้องหมาแสนดุดัน 555 (ดูจากหน้าดุดันไหมคะ) คือวินาทีนั้นทุกคนหนาวมากพอมองไปที่น้องหมาตำรวจไม่มีความรู้สึกหนาวใดๆ
หมดไปแล้วหนึ่งวัน เป็นวันที่เหนื่อยกันมากเพราะเดินทางนั่งเครื่องมาหนึ่งวันเต็มๆและออกไปเที่ยวนอกเมืองทั้งวัน พอกลับถึงห้องหลับเหมือนโดนทุบหัวเลยค่ะ พรุ่งนี้เช้าเราจะมีเวลาเที่ยวปักกิ่งอีกหนึ่งวันค่ะ
แพลนของวันนี้ คือพระราชวังฤดูร้อน > พระราชวังต้องห้าม > จตุรัสเทียนอันเหมิน > ถนนคนเดินเฉียนเหมิน เป็นไงล่ะคะ โปรแกรมแน่นมากวันนี้ แต่เราสู้ค่ะ เพราะได้กินอิ่มนอนอุ่นกันไปแล้ว หน้าตาทุกคนจะสดใสกว่าเมื่อวานเยอะ
ช่วงปลายมกราอุณภูมิช่วงที่ไปจะเป็นเลขตัวเดียวทุกวันเลยค่ะ และยิ่งวันนี้เที่ยวกันในเมืองเราเลยคิดว่าอากาศจะไม่หนาวมากเลยไม่ได้แต่งตัวจัดเต็มมากนักค่ะ แต่เริ่มกังวลเมื่อขึ้นรถไฟฟ้ามาแล้วเจอการแต่งกายของคนที่นี่
พระราชวังฤดูร้อนอี้เหอหยวน (Yiheyuan 颐和园) จะออกมาไกลหน่อยค่ะ นั่งรถไฟใต้ดินออกมาเกือบสุดสาย จากสถานีรถไฟสามารถเดินมาได้แต่ไกลหน่อยค่ะ พอมาถึงตรงจุดจำหน่ายตั๋วราคาจะมีหลายราคานะคะ ราคาจะมีทั้งแบบเหมา(คือเข้าได้หลายส่วนทั้งส่วนพิพิธภัณฑ์, และหอฝอเซียง Foxiangge 佛香阁; 佛香閣 และอื่นๆค่ะ) และราคาเฉพาะค่าเข้าอย่างเดียวก็มีค่ะ
เนื่องจากว่าด้านในจะพื้นที่ใหญ่โตมากเดินทั้งวันคงไม่หมด และเวลาที่เรามีนั้นค่อนข้างน้อย เราเลยเลือกเฉพาะเข้าพระราชวัง+ถนนตลาดซูโจว (Suzhoujie 苏州街) เราใช้วิธีเดินในพระราชวังแบบไม่มีจุดหมายค่ะ ใช้เซ้นส์ล้วนๆเลยค่ะ แบบประมาณว่าตรงโน่นสวย อะปะ ประมาณนี้ค่ะ
ถนนตลาดซูโจว (Suzhoujie 苏州街) อันนี้จะต้องใช้ตั๋วที่เราซื้อมาจากด้านหน้าด้วยนะคะ เราซื้อตั๋วโดยรวมค่าเข้าที่นี่แล้วค่ะ
หรือหากไม่ได้ซื้อมาจากข้างหน้าก็สามารถซื้อตั๋วจากตรงทางเข้าเมืองโบราณนี้ได้ด้วยเช่นเดียวกันค่ะ ช่วงที่ไปแม่น้ำข้างล่างเป็นน้ำแข็งหมดเลยค่ะ หนาวแค่ไหนให้รูปอธิบายนะคะ
เห็นที่เด็กๆกำลังเล่นกันอยู่ในลานน้ำแข็งไหมคะ ถ้าลงไปข้างล่างนั่นก็ต้องเสียตังอีกนะคะ
เก็บตังจุกจิกมากค่ะ พอรู้ว่าเสียตังเราก็เลยไม่ได้ลองกัน 555
จักรยานน้ำแข็งหลากสีสัน
จริงๆหากไม่อยากเสียตังค่าเข้าตรงจุดนี้สามารถมองจากด้านบนสะพานได้เลยค่ะ พื้นที่หมู่บ้านนี้ไม่ได้เยอะค่ะมองจากบนสะพานที่เห็นนี้ก็มองถึงครบทั้งหมู่บ้านแล้วค่ะ
แต่หากอยากลงมาถ่ายรูปใกล้ๆล่ะก็จะได้บรรยากาศไปอีกแบบค่ะ ออกจากตรงถนนตลาดซูโจวแล้วก็ไปเดินเล่นลัดเลาะไปตามทะเลสาบคุณหมิงค่ะ
ได้ยินชื่อไม่ผิดค่ะ ทะเลสาบคุณหมิงที่อยู่ที่ปักกิ่ง ระหว่างเดินเล่นจะรู้สึกได้ว่าทีนี่ค่อนข้างคึกคักมีผู้คนเยอะเลยค่ะ
นี่คือทะเลสาบจริงๆค่ะ มันหนาวจนเป็นน้ำแข็งเลย และตรงจุดที่กั้นรั้วเชือกนั่นก็ให้ลงไปเล่นในทะเลสาบได้ค่ะ แต่เสียตังนะ
ทะเลสาบแห่งนี้ไม่ได้เกิดจากธรรมชาตินะคะ แต่เกิดจากการสรรสร้างของมนุษย์ค่ะ สวยอลังยิ่งใหญ่สุดๆไปเลย
พื้นที่พระราชวังฤดูร้อนนี้ด้านในค่อนข้างพร้อมสำหรับนักท่องเที่ยวจริงๆค่ะ มีทั้งห้องน้ำตามจุดต่างๆ และร้านสะดวกซื้อด้านในเลยค่ะ ทั้งที่ผู้คนเยอะขนาดนี้ก็สามารถรองรับได้ค่ะ
หอฝอเซียง Foxiangge 佛香阁; 佛香閣 ถ้าจะเข้าไปด้านในเพื่อขึ้นไปชมวิวจากมุมสูงบนหอฝอเชียงจะต้องซื้อตั๋วนะคะ แต่ด้วยเวลาเราไม่พอ เราจำเป็นต้องลาจากพระราชวังฤดูร้อนและรีบกลับเข้าเมืองเพื่อไปต่อยังพระราชวังต้องห้าม (Gugong 故宫)
ก่อนมาได้ศึกษาข้อมูลมาสำหรับมุมที่ถ่ายรูปให้เห็นพระราชวังค่ะ ณ ตอนนั้นเราเริ่มร้อนรนแล้วเพราะจะพระราชวังต้องห้ามใกล้ปิดแล้ว
เก็บบรรยากาศระหว่างทางมาฝากด้วยค่ะ อันนี้ร้านขายของข้างทางค่ะ^^
ไปทางไหนก็จะมีความเป็นจีนจริงๆนะคะ เห็นโคมแดงตลอดเวลา
เร่งฝีเท้าค่ะ เดินไกลด้วยสิ^^
บรรยากาศระหว่างทางเดินที่รีบเร่งก็จะประมาณนี้ค่ะ อันนี้เป็นเสื้อกันลมกันหนาวใส่ตอนขี่มอเตอร์ไซต์ หรือจักรยานค่ะ
จะเจอหิมะอยู่ข้างทางเรื่อยๆตลอดทางเพราะนี่ฤดูหนาวปักกิ่ง
การเร่งฝีเท้าไม่เป็นผล เราอดที่จะได้เข้าพระราชวังต้องห้ามค่ะ เพราะคำนวนเวลาแล้วยังไงก็ไม่ทันจึงเลือกที่จะไปชมพระราชวังต้องห้ามจากมุมสูง พร้อมกับชมพระอาทิตย์ตกแทน
สวนจิงซาน (Jingshan 景山公园) ค่าเข้าน่าจะซัก 2-3 หยวน(4-5 บาท)
การจะได้เห็นภาพพระราชวังต้องห้ามแบบเต็มๆตาอาจจะต้องใช้ความพยายามหน่อย เพราะต้องขึ้นบันไดหลายขั้นมากกว่าจะได้มาถึงมุมนี้
และต้องแข่งกับเวลาเพื่อที่จะขึ้นไปให้ทันพระอาทิตย์ตกค่ะ มิสชั่นคอมพรีททททท…
ช่วงเวลาตอนขึ้นมาเราต่างถอดเสื้อที่ละชั้นพอถึงบนสุดและเห็นวิวแค่นั้นแหละหนาวขึ้นมาเลย ไม่ใช่อะไรหรอกนะคะลมแรงมว๊ากกก.. และวิวสวยมากจริงๆค่ะ
แต่วันนี้ยังไม่หมดวันได้เห็นพระราชวังต้องห้ามสมใจ เราไปต่อกันที่ จตุรัสเทียนอันเหมิน (Tiananmen 天安门) ซึ่งจะอยู่อีกด้านของพระราชวังค่ะ
จากตรงนี้เราจะให้การเดินทางโดยรถเมล์ค่ะ ซึ่งอาศัยถามชาวจีนว่ารถเมล์สายอะไรที่ผ่าน เค้าก็ชี้ที่หมายเลขรถบัสค่ะ อันนี้ง่ายไม่ยาก แต่…
เมื่อรถเมล์มาถึงรถเต็มค่าาา..แต่จะมีคุณลุงกระเป๋าตะโกนเรียกให้ขึ้น เอาก็เอาเบียดขึ้นไปให้ครบทั้ง 8 ให้ได้เท่านั้นพอ อืมมม..แน่นมากแทบจะกระดิกไม่ได้ค่ะ ข้อดีของการใช้บัตร IC ที่เราซื้อมาแค่แตะ ถ้ามาจ่ายตังทีละคนคงไม่ไหว เป็นช่วงเลิกงานพอดีค่ะรถติดใช้ได้เลย
จตุรัสเทียนอันเหมิน (Tiananmen 天安门) จุดอ่อนไหวจุดหนึ่งของปักกิ่ง
ตรงบริเวณนี้เราจะต้องผ่านการสแกนกระเป๋า ตรวจพาสปอร์ตสำหรับนั่งท่องเที่ยวค่ะ ค่อนข้างตรวจเข้มอยู่พอสมควรค่ะ พอพระอาทิตย์เริ่มใกล้ตกแล้วใครว่าในเมืองไม่หนาว อันนี้ไม่จริงค่ะ หนาวจับใจเพราะลมแรงมาก
ตอนที่เรามาถึงเป็นช่วงที่เค้ากำลังมีขบวนเอาธงลงพอดี ทำให้เราไม่สามารถข้ามไปยังลานจตุรัสตรงกลางถนน (ที่เห็นวิวตรงกลางรูปท่านประธานเหมา) ทุกจุดจะถูกกั้นไม่ให้ผ่าน รวมถึงถนนรถก็จะถูกกั้นไม่ให้วิ่งผ่านชั่วคราวค่ะ
ในทางกลับกันเราก็ดีใจที่ได้เห็นพิธีการเอาธงลง ดูขลัง ตื่นตาตื่นใจ จังหวะนั้นเหมือนทุกคนที่อยู่ตรงนั้นพร้อมใจก็เงียบกริบเลยค่ะ
ตรงนี้อยู่ได้ไม่นานเพราะหนาวมาก สถานที่สุดท้ายสำหรับการเที่ยวปักกิ่งแบบรวบรัดจะเป็น
ถนนคนเดินเฉียนเหมิน (Qianmen 前门) อันนี้เรียกได้ว่าชอบที่สุดค่ะ เพราะเป็นถนนที่มีซอกซอยเยอะมาก มีร้านค้า ร้านอาหาร สตรทฟู๊ดเยอะแยะไปหมด
สีสันสวยงามสุดๆเต็มไปด้วยของกิน
โคมแดงงงง
พอไปถึงนี่คือละลานตา สมาชิกทั้ง 8 แตกแยกกันไปคนละทางตามสิ่งที่ตัวเองชอบเลยค่ะ 555
เริ่มจากซุ้มประตูทางเข้าด้านหน้าค่ะ ไปหาอะไรกินกัน ลุย
มาถึงปักกิ่ง ก็ต้องกินเป็ดปักกิ่ง เพื่อนบอกไว้
ตอนแรกคิดว่าอันเล็กๆที่ไหนได้ อันใหญ่มากเลย บอกได้ว่าม้วนเดียวอิ่ม
อันนี้อร่อยค่ะ เป็นเหมือนหมูสับผัดใส่ต้นหอมแล้วเอามาราดกับเส้นหมี่ค่ะ ออกจะมันๆเลี่ยนๆหน่อยนะคะ แต่อร่อยดี
ปลาหมึกย่างหมาล่า…อันนี้คนขายเค้าจะถามเลเวลความเผ็ดก่อนนะคะ
แนะนำเนื้อเสียบไม้อันนี้เด็ดจริง
ส่วนของหวานก็คงไม่พ้น ผลไม้สดเคลือบน้ำตาลค่ะ มีผลไม้หลายอย่างเลยนะคะ ทั้งสตรอเบอรี่ กีวี่ ส้มค่ะ
ช่วงเวลาสำคัญที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง สิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นเต้าหู้เหม็นนนนน…แบบออริจินัลเลยนะเนี้ย พอเข้าปากปุ๊บ ลืมเต้าหู้เหม็นที่ทุกคนเคยเจอที่ไต้หวันไปเลยค่ะ อันนี้แหละของจริง^^
ขากลับพอดีเราเจอรถรางวิ่งมาตรงถนนเส้นกลางพอดีเลยค่ะ ตอนแรกนึกว่ารางอะไรอยู่บนถนน เฉลยให้แล้วค่ะ สำหรับ 2 วันที่ปักกิ่งตอนนี้….จบลงที่ค่ำคืนนี้ค่ะ
ต้องกลับที่พักเตรียมความพร้อมเก็บกระเป๋า เพื่อที่จะเดินทางไกลเพราะว่าวันพรุ่งนี้จะต้องไปขึ้นรถไฟแต่เช้าแปดโมงค่ะ เพื่อเดินทางจากปักกิ่ง-ไปอูลานบาตอร์ (มองโกเลีย) เราต้องไม่พลาด ทุกคนต้องท่องไว้ว่าเราจะไม่พลาดรถไฟเด็ดขาด เพราะถ้าพลาดแพลนทุกอย่างจะรวนหมดแน่นอน และรวมถึงราคาค่ารถไฟที่ไม่ธรรมดา เจ็ดพันกว่าบาท
ถามว่าราคานี้ทำไมไม่นั่งเครื่อง ราคานี้นั่งเครื่องสบายๆได้เลย ไม่ค่ะ ไม่ มันไม่ได้ฟิวส์ เพราะเรามาถึงนี่เพื่อมานั่งรถไฟสายทรานส์มองโกเลีย และทรานส์ไซบีเรีย ที่เป็นเส้นทางในฝันของเรานั่นเองค่ะ
ดังนั้นตีห้าทุกคนต้องพร้อม เช็คเอ้าท์ ที่ต้องเผื่อเวลาขนาดนี้เนื่องจากว่าเราไม่มีทางได้รู้เลยว่าจะสะดุดตรงไหนไหม ยิ่งการเดินจากที่พักมาสถานีรถไฟตอนตีห้าสภาพอากาศที่หนาวจัด สัมภาระ ที่ตอนนี้เรียกได้ว่าสัมภารกแสนรุงรัง รวมถึงความกลัวที่ 8 ชีวิตจะไม่มีอะไรกินบนรถไฟ ทุกคนพากันซื้อข้าวของเพื่อตุนไปกินบนรถไฟทั้งน้ำเป็นลิตรๆ ทิชชู ขนม มาม่า นม เยอะแยะเต็มไปหมด ที่จริงคือกลัวราคาแพงมากกว่า 555
หน้าสถานีตรงจุดนี้ไม่เคยหลับไหลเลยจริงๆ คึกคักอยู่ตลอดไม่เคยที่จะผ่านมาตรงนี้แล้วคนน้อยเลย ได้เวลาอันสมควรเดินต่อแถวกันเข้าไปเพื่อเช็คอินตั๋ว พร้อมโชว์พาสปอร์ต โดยความหวังว่าจะไม่มีอะไรเซอร์ไพร์เราตอนนี้นะ ความรู้สึกตอนนี้นั้น สำหรับสองวันที่ผ่านมาเป็นเพียงแค่การเรียกน้ำย่อย สิ่งที่รออยู่ข้างหน้าต่างหากคือของจริง
การเดินทางที่แท้จริงกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้วนับจากเวลานี้…..แล้วเจอกันบนรถไฟ Trans Mongolian >>
EP 2/3 >>> FROM BEIJING TO SAIBERIA EP. 2/3 ทริปสุดท้ายก่อนโควิด
(มองโกเลีย…ดินแดนแห่งที่ราบ และความหนาว)