FROM BEIJING TO SAIBERIA EP. 3/3 ทริปสุดท้ายก่อนโควิด …ไบคาล ทะเลสาบอันเก่าแก่แห่งไซบีเรีย

FROM BEIJING TO SAIBERIA EP. 3/3
ทริปสุดท้ายก่อนโควิด
(ไบคาล…ทะเลสาบอันเก่าแก่แห่งไซบีเรีย)

เรื่องเล่าต่อเนื่องจากครั้งที่แล้ว…
>
EP.1/3 FROM BEIJING TO SAIBERIA ทริปสุดท้ายก่อนโควิด

>EP. 2/3 FROM BEIJING TO SAIBERIA ทริปสุดท้ายก่อนโควิด(มองโกเลีย…ดินแดนแห่งที่ราบ และความหนาว)

หลังจากตอนที่ 2 และ 3 ที่เราเดินทางผ่านปักกิ่ง มาจนถึงมองโกเลีย ได้เวลาออกเดินทางอีกครั้ง สถานีต่อไปและสถานีสุดท้าย ไซบีเรีย รัสเซีย ครั้งนี้จะเป็นของจริงแล้วกับการได้นั่งรถไฟเส้นทางในฝัน “ทรานไซบีเรีย” ซึ่งแม้ว่าเราจะไม่มีโอกาสเดินทางไปจนสุดทางรถไฟสายนี้ที่มอสโค แต่ก็ได้ชื่อว่านี่คือการนั่งรถไฟไกลที่สุดของชีวิตแล้ว….

แพลนคร่าวๆของเราคือนั่งรถไฟสายทรานไซบีเรีย 1 คืน จากอูลานบาตอร์ มองโกเลีย-เมืองอีร์คุตสค์ รัสเซีย > พักที่เมืองอีร์คุตสค์ (Irkutsk) 1 คืน > เที่ยวทะเลสาบไบคาล > พักที่เกาะโอลคอน (Olkhon Island) 2 คืน > กลับไปพักที่เมืองอีร์คุตสค์ 1 คืน > นั่งเครื่องกลับไทย

ได้เวลาโบกมือบ๊ายบายกับคุณไกด์มองโกเลียแล้ว ดูแลพวกเราได้ดีมากเสมือนพ่อ ซึ่งจนถึงวินาทีนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าไกด์ชื่ออะไร จากนั้นกลับมารุงรัง ทุลักทุเลอีกครั้งกับข้าวของที่เต็มไปหมด มากัน 8 คนเหมือนมาเป็นสิบ หลังจากที่จัดแจงข้าวของเสร็จ ก็ได้เวลาที่จะพักผ่อนไปกับการนั่งมองสองข้างทางแบบเรื่อยเปื่อย

ตู้รถไฟสายทรานไซบีเรียจากมองโกเลีย-ไซบีเรีย ไม่ต่างจากตู้รถไฟที่นั่งมาจากจีนเท่าไหร่นัก ขนาดพื้นที่ในการเก็บสัมภาระพอๆกันเลย คือเก็บใต้เตียงนอนของชั้นล่าง แต่มีความรู้สึกว่าตู้นอนของรัสเซียอันนี้จะกว้างกว่า และดูใหม่กว่านิดหน่อยค่ะ

มานั่งมองวิวข้างนอกแบบเรื่อยๆ…มองโน่นมองนี่ มองบรรยากาศที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ บ้านเรือนที่ต่างออกไปจากบ้านแบบปูน เป็นบ้านเรือนแบบไม้ และรั้วไม้แบบง่ายๆ แค่นั่งมองแบบนี้ก็เพลินตาแล้ว รู้ตัวอีกทีก็ใกล้มืดแล้ว

ระหว่างช่วงที่ต้องผ่านแดนจากมองโกเลียเข้าสู่รัสเซีย การผ่านแดนก็ไม่ได้ต่างจากที่ผ่านที่ปักกิ่งเข้ามองโกเลีย ก็คือจะมีเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจถึงหน้าประตูตู้ และขอพาสปอร์ตของทุกคน จากนั้นก็เช็คพาสปอร์ตรงหน้าประตูห้องเลย ซึ่งก่อนหน้าที่จะผ่านออกจากเขตมองโกเลียนั้นมีเจ้าหน้าที่นายสถานีเดินมาบอกก่อนว่าให้อยู่แต่ในห้องตัวเองและปิดประตูด้วย

ในระหว่างการผ่านออกจากมองโกเลียไม่ได้ตรวจเข้มมากเท่าไหร่ แต่…. ด่านต่อไปที่ต้องตรวจตอนผ่านแดนเพื่อที่จะเข้าสู่รัสเซียนั้น ตรวจเข้มมาก มีให้เปิดกระเป๋าสัมภาระที่อยู่ใต้เบาะนอนด้วย แต่เป็นการสุ่มตรวจ สิ่งรู้สึกได้ทันทีว่านี่แหละรัสเซียก็คือเจ้าหน้าที่ดุมาก หน้านี่ตึงสุดๆตามสไตล์ชาวรัสเซียที่ยิ้มยาก แถมดุเราด้วย แค่เพราะยกกระเป๋ามาให้ตรวจช้า ก็มันหนักนะใจเย็นสิคะ 555

หลังจากที่การตรวจเรียบร้อยผ่านไปแล้วระหว่างที่เจ้าหน้าที่ตรวจห้องอื่นๆอยู่นั้น มีเจ้าหน้าที่อีกทีมขึ้นมาเพื่อวัดอุณหภูมิร่างกายซึ่งตอนนั้นแน่นอนว่าไม่ปกติ นั่นก็เพราะตู้เราในระหว่างนั่งรถไฟมานั้นดื่มกันมาตลอดทางนั่นเอง ทำให้มีอุณภูมิร่างกายที่ไม่ปกติ ซึ่งไม่ว่าจะตรวจกี่ครั้งๆ อุณภูมิก็ไม่ปกติ จนเจ้าหน้าที่เริ่มมีการพูดคุยปรึกษากัน ในใจเราก็คิดว่าเอาแล้ว…เซอร์ไพรส์ชัวร์ แต่อยู่ๆเจ้าหน้าที่ๆดูแลรถไฟประจำตู้ของเราก็เหมือนพูดออกมาว่าพวกเค้าดื่มเบียร์ ดื่มเหล้ากัน ตม.ก็เลยเข้าใจแล้วก็เดินต่อไปที่ตู้อื่น แต่พวกเราก็สงสัยกันว่าทำไมต้องตรวจอุณหภูมิร่างกายด้วย แต่ก็ทิ้งความสงสัยไว้(หารู้ไม่ว่าอะไรรอเราอยู่หลังจากนี้)

หน้าตาของตั๋วรถไฟ จะมีรายละเอียดบอกประมาณนี้ค่ะ

ช่วงที่ตรวจ ตม.รัสเซียเนี้ยนานมาก นานจนปวดห้องน้ำ จนไม่ไหวเดินไปบอกเจ้าหน้าที่ประจำตู้นอนของเราว่าเราปวดห้องน้ำ แต่ถูกปฏิเสธกลับมาว่าระหว่างรถไฟจอดไม่สามารถใช้บริการห้องน้ำได้ แต่คือมันไม่ไหวแล้วค่าาาา…ท้ายที่สุดใช้ความกล้าเดินไปหาเค้าอีกทีแล้วบอกเค้าแค่คำเดียวว่า Please…. เจ้าหน้าที่ยิ้มออกมาทันทีและเดินทางเปิดห้องน้ำให้ เพราะเค้าล็อคไว้ตอนก่อนรถไฟจอด

วินาทีนั้นวิ่งสิคะรออะไร และเราก็ได้รู้ว่าไม่ใช่เรากลุ่มเราที่ปวดห้องน้ำ เจ้าหน้าที่ประจำตู้นี้เป็นผู้หญิง หน้าดุไม่ค่อยยิ้มตามสไตล์ชาวรัสเซีย แต่ใจดีมากกกก…

ยิ่งนั่งไปยิ่งมีแต่ความขาวโพลนของหิมะเต็มไปหมด

เช้าแล้วแต่หลายคนยังอยากซุกตัวในผ้าห่มอุ่นๆนั่น อันนี้เค้ามีให้นะคะสำหรับผ้าห่ม กับผ้าปูสีขาวๆสะอาดค่ะ แล้วก็เห็นเบาะนอนไหมคะขบวนนี้สามารถพับเบาะจากที่พิงเป็นเตียงนอนนุ่มๆได้ ค่อนข้างนุ่มกว่าที่นั่งมาจากจีนค่ะ แต่ถ้าไม่นอนก็สามารถพับขึ้นเป็นที่พิงข้างหลังได้ค่ะ

ถึงเวลาสำรวจตู้เสบียง ตู้เสบียงของรัสเซียค่อนข้างปกติไม่ได้มีอะไรแปลกแค่หน้าตาของเจ้าหน้าที่จะออกเป็นชาวผมทองแค่นั้นเอง ได้เวลาสั่งอาหารแล้ว อาหารมื้อนี้ค่อนข้างราคาสูงก็อาหารบนรถไฟอะนะ แต่ไม่มากนักอาจจะเพราะว่าเราเจอกับค่าครองชีพที่มองโกเลียมาก็เลยอาจจะยังไม่ชิน

สำหรับอาหารที่ตู้เสบียงนี้จะไม่สามารถสั่งได้ทุกเมนู เพราะเค้าจะทำเฉพาะบางเมนูเท่านั้น และที่สำคัญที่จะไม่มีใครลืมเด็ดขาดคือน้ำพริก น้ำจิ้มปลาดุกที่พกมาจากไทย

เห็นคุณพี่เจ้าหน้าที่เค้าดูสนใจเป็นพิเศษก็เลยแบ่งให้เค้าเอาไปลองทานเค้าดูอยากลองน้ำพริกของไทยอยู่ไม่น้อย ย้ำแล้วย้ำอีกว่าเผ็ดนะคะคุณ

หน้าตาอาหารบนรถไฟสายนี้ก็จะประมาณนี้มาพร้อมกับน้ำอัดลมที่ไม่มีน้ำแข็ง จากนี้ไปเราจะไม่เจอน้ำแข็งแค่เฉพาะในแก้วน้ำอีกต่อไปแล้ว

อิ่มแล้วกลับตู้ได้ รถไฟขบวนนี้ก็เหมือนขบวนที่ผ่านมาคือเอาตู้อาหารไว้เกือบสุดขบวนกว่าจะมาถึงต้องผ่านความหนาวมาตั้งกี่รอบ ต้องบอกก่อนว่าบนรถไฟจะอุณภูมิอุ่นจนสามารถใส่เสื้อผ้าปกติเหมือนอยู่บ้านเราได้เลย

และที่สำคัญทุกตู้ก็จะมีที่กดน้ำร้อนให้บริการฟรีแบบนี้ จะมีไฟสีเขียวๆอยู่นั่นแปลว่าพร้อมสำหรับกดได้แล้วค่ะ ถ้าเป็นสีแดงแปลว่ายังไม่ร้อนค่ะ

เมื่อรถไฟผ่านเมืองต่างๆเราก็จะเห็นวิถีชีวิตของข้างทางที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ส่วนตัวชอบนะความรู้สึกนี้แม้จะไม่ได้ทำอะไรเป็นเรื่องเป็นราวระหว่างนั่งรถไฟเลยก็ตาม

ช่วงเวลาที่นั่งอยู่บนรถไฟเป็นวันๆมันเป็นความรู้สึกที่ทำให้เราคิดว่าเสมอว่าเรามาไกลขนาดนี้ได้ไงนะ

คนทำรถไฟสายนี้ก็เก่งนะ ผ่านผู้คน ผ่านดินแดนที่ต่างออกไป ผ่านภูเขาสูง ผ่านแม่น้ำ ผ่านอากาศที่แตกต่าง ผ่านผู้คนจากผมสีดำ เป็นผมสีทอง ตาสีฟ้า คิดๆแล้วก็สุขใจนะ

ถึงเวลาที่เราต้องเตรียมตัวบอกลาการนั่งรถไฟสายทรานไซบีเรียแล้ว เพราะเรากำลังจะเดินทางถึงสถานีที่เราปักหมุดไว้แล้ว สถานีเมืองอีร์คุตสค์ จริงๆเรียกได้ว่าปลายทางจุดมุ่งหมายของทริปนี้จะเป็นที่นี่เลย เพราะว่าพวกเราอยากที่จะมาเห็นทะเลสาบน้ำจืดที่ลึกที่สุดในโลกเป็นน้ำแข็งสักครั้ง นั่นคือทะเลสาบไบคาล

เก็บข้าวเก็บของ เตรียมตัวอัดเสื้อผ้าให้แน่น ใช้ประสบการณ์จากครั้งที่เราลงจากรถไฟที่มองโกเลียให้เป็นประโยชน์ ลงปุ๊บหนาวสะท้าน ครั้งนี้เราต้องรอด

แต่งตัวรอแล้วค่ะ อีกนิดเดียวก็จะถึงแล้วตื่นเต้นๆ …อากาศจะเป็นไงนะ นี่ไซบีเรียหรอ ตื่นเต้นไปหมดเลย

สวัสดีรัสเซีย สวัสดีอีร์คุตสค์ เมืองที่ได้ชื่อว่าประตูแห่งไซบีเรีย ก้าวขาลงมาปุ๊บเอ๊ะไม่ อากาศก็ไม่เท่าไหร่นะ -15 เอง สบายๆ ได้เวลาผจญภัยอีกแล้ว

ที่นี่เรานัดเอเจนท์ให้มารับเพื่อที่จะไปส่งเรายังที่พัก เนื่องจากว่าเรามาถึงช่วงบ่ายๆแล้ว ก็เลยต้องพักที่อีร์คุตสค์ก่อน 1 คืนแล้วค่อยไปทะเลสาบไบคาลในวันพรุ่งนี้

สถานีนี้รู้สึกว่ารถไฟจอดนานอยู่นะคะ เพราะพอพวกเราลงมาจากรถไฟแล้วก็วุ่นวายกันอยู่ตรงชานชลานี้พอสมควรค่ะ วุ่นวายกับกระเป๋า วุ่นวายกับเสื้อกันหนาว ตื่นเต้นอีกต่างหาก555

กว่าจะวุ่นวายเสร็จ อ้าวคืนอื่นๆเดินไปหมดแล้ว ไปทางไหล่ะเนี้ย เดินงงๆไปค่ะ

ด้านหน้าสถานีค่ะ นัดกันไว้แถวนี้ พอเดินมาเอเจนท์ที่นัดไว้ว่าจะมารับก็เดินเข้ามาหาเลย เอะรู้ได้ไงเนาะ

ที่พักที่เราเลือกจะเป็นที่พักแบบเกสเฮาส์ โอววว..บันได ตอนจองมาก็ลืมคิดถึงบันไดกับกระเป๋าเดินทางหนักกว่า 20 โล แต่ไม่เป็นไรเพราะผู้ชายเยอะ 5555

เช็คอินเสร็จ อะตกใจกันอีกรอบเพราะห้องที่เราได้เป็นห้องใต้หลังคา ต้องแบกกระเป๋าขึ้นบันไดวนแคบๆเพื่อขึ้นไปบนหลังคา อันนี้เราบอกเผื่อไว้เพราะถ้ามีโอกาสไปเส้นทางนี้จะได้คิดเผื่อเรื่องที่พัก แต่ที่นี้ข้อดีคือถูก และที่ชอบที่สุดคือ วิวดีมาก…อันนี้มองจากหน้าต่างห้องนะเนี้ย

และใกล้กับถนนคนเดินอยู่ด้านหลังเลย มีร้านอาหารเยอะแยะไปหมดด้วย มองจากมุมฝั่งนี้จะเห็นค่ะ มีถนนย่านร้านอาหาร ห้าง ร้านขนม เยอะแยะมากมาย

ห้องที่เราได้จะประมาณนี้เป็นห้องใต้หลังคา 2 ห้องหันหน้าเข้าหากันเดินหากันได้ มีห้องน้ำในตัวทั้ง 2 ห้องค่ะ อันนี้เป็นห้องฝั่งผู้ชาย 1 เตียง กับ 1 โซฟา สักพักก็จะมีมาดามที่ดูแลห้องพักที่นี่เข้ามาขอทำเตียงเสริมให้ทั้ง 2 ห้อง

ได้เวลาออกสำรวจเมืองอีร์คุตสค์กันแล้ว ก่อนออกจากที่พักอย่างแรกเลยทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอากาศที่นี่อุ่นกว่าที่มองโกเลียเยอะเลย แค่-15 เอง ดังนั้นบางคนในกลุ่มทำการลอกคราบเอาเสื้อกันหนาวออกไปบางชั้น แต่สำหรับเราคิดว่านี่ก็บ่ายกว่าๆแล้ว เผื่อว่าไปเดินจนมืดแล้วหนาวกว่าเดิม แต่ความจริงเป็นข้ออ้างของเราเองเพราะกว่าจะใส่ได้แต่ละชั้นก็เลยขี้เกียจไม่อยากถอดแล้วใส่เป็นแหนมต่อไป

เดินเล่นในเมืองเพลินๆ มีรถรางด้วย อย่างแรกเลยที่สะดุดตากับที่นี่คือ บรรยากาศเหมือนอยู่ยุโรปเลย

ทั้งผู้คน บรรยากาศ บ้านเรือน ร้านค้าต่างๆ และที่สำคัญผู้คนที่นี่หน้าตาดีมาก ผู้หญิงสวย สูงยาวเข่าดี ผู้ชายหล่อ เข้ม สูง หน้าตาดีกันหมดเลยค่ะ

ที่แรกโบสถ์ที่สะดุดตา ไม่ได้หาข้อมูลมาก่อน แต่เท่าที่ดูแล้วน่าสนใจ เลยชวนกันข้ามถนนไปดูกันค่ะ

คนที่นี่แต่งตัวสไตล์นี้ใช่เลย นี่เราอยู่รัสเซียจริงแล้ว บริเวณโบสถ์หิมะเต็มไปหมด

รู้ว่าอากาศจะไม่ได้หนาวเท่ากับที่มองโกเลีย ถามว่าหนาวมากไหม หนาวแต่ทนได้ ไม่ได้ถึงขั้นสั่นเท่าไหร่

เอะ….!! ต้นคริสมาสยังอยู่เลย

และเหมือนเดิมขนาดเอาน้ำแข็งมาตั้งไว้ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ไม่มีละลาย555

ในโบสถ์ต้องสงบนะคะ ห้ามเสียงดังโวยวาย เดี๋ยวโดนดุ เราโดนมาแล้วค่ะ

ช่วงนี้ก็เริ่มแดดน้อยลงไปแล้ว เหมาะกับการถ่ายรูป เดินเล่น

บ้านเรือนไม้แบบนี้ถือว่าเก่าแก่นะคะ สไตล์แบบโลวคอลเลย แม้อยู่ในเมืองนะเนี้ย

ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในยุโรปจริงๆนะคะ อยากอยู่เที่ยวในเมืองนี้ต่ออีกสัก 2-3 วันเลย มันน่าเดินเล่นเพลินๆ

มาถึงตรงรูปปั้น Babr Monument สัญลักษณ์ของเมืองค่ะ ตรงจุดนี้เป็นเสมือนจุดนัดพบที่ดีนะคะ เพราะว่าเด่นชัดเลยค่ะ อยู่ตรงกลางหัวมุมถนนพอดีเลยค่ะ ตรงจุดนี้ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองค่ะ เมืองอีร์คุตสค์ ถือว่าเป็นเมืองใหญ่ค่ะที่สามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้อย่างสบายๆ ที่นี่เรียกได้ว่าเป็นประตูของไซบีเรียเลยก็ว่าได้ สิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนจะเป็นทะเลสาบไบคาลที่มีชื่อเสียงระดับโลกค่ะ

เห็นถนนที่อยู่ข้างหลังนั่นไหมคะ ถนนที่ครึกครื้นนั่นแหละค่ะที่เราบอกว่าอยู่ข้างหลังที่พักเราเลย ไว้เดินเล่นเสร็จจะกลับมาหาอะไรกินแถวๆนี้ค่ะ

มาถึงตรงนี้ก็จะคิดละว่าเอาไงต่อดี ก่อนมาเราศึกษากันมาแล้วว่าเราอยากไปที่ไหนบ้างแต่ทั้งนี้เรามาถึงก็บ่ายเกือบเย็นแล้วเวลาอาจจะไม่พอที่จะเก็บทั้งหมดได้ และพรุ่งนี้เราก็จะต้องไปไบคาลแล้ว ดังนั้นพวกเราเลยทำการโหวตว่าจะไปที่ไหนดีระหว่าง ย่านบ้านเรือนไม้เก่าแก่สไตล์ไซบีเรียนที่เป็นสัญลักษณ์ของที่นี่ หรือริมแม่น้ำเพื่อไปดูแม่น้ำที่แข็งเป็นน้ำแข็ง คิดว่าเราจะไปที่ไหนคะ 555 ก็คนเมืองร้อนแบบเราๆอ่านะ เลือกเดินเล่นริมแม่น้ำค่ะ ไปกัน

ความสุขมันไม่ได้อยู่ที่ไหนเลยนะเราว่ามันอยู่ระหว่างทางที่เราจะเดินไป เดินเล่นคุยกัน มองโน่นนี่ ชี้ให้ดูความแปลกตาต่างๆแล้วมาตั้งคำถาม ถามกันว่า เธอว่านั่นอะไร เธอว่าที่นี่เป็นอะไร เธอว่าตึกนั้นเป็นตึกอะไร นี่ก็เป็นความสุขมากๆอย่างหนึ่งของการเดินทางของเรานะ

แค่การมองดูผู้คนแต่งตัวแฟชั่นฤดูหนาวของที่นี่ก็เพลินตาแล้วแหละ

มาถึงปุ๊บ…โหหหห แม่น้ำกลายเป็นน้ำแข็งทั้งหมดเลย ตื่นตาตื่นใจคนเมืองร้อนแบบเราสุดๆ สงสัยจังว่าอากาศมันก็ไม่ได้หนาวขนาดนั้น แม่น้ำทั้งแม่น้ำกลายเป็นน้ำแข็งได้ยังไงนะ แข็งแบบว่าคนที่นี่ใช้ในการสัญจรโดยการเดินข้ามไปฝั่งตรงข้ามโดยที่ไม่ต้องอ้อมไปขึ้นสะพานเลยค่ะ

และแล้วก็ได้รู้สาเหตุการแข็งของแม่น้ำ ที่นี่หนาวมาก หนาวที่สุด หนาวจนถึงขั้วหัวใจ

ไอ้ที่บ่นๆว่าหนาวที่มองโกเลียนั้นเล็กน้อยไปเลย นั่นก็เพราะตรงจุดนี้ลมแรงมาก เมื่อรวมกันกับความหนาวแล้วล่ะก็ อยู่ที่นี่ไม่น่าเกิน 10-15 นาที ตอนนี้ รู้แล้วว่าทำไมน้ำที่นี่เป็นน้ำแข็ง

ใกล้มืดแล้ว ไปหาอะไรกินกันตรงย่านหลังที่พักค่ะ กลับมาอีกทีมืดปุ๊บครึกครื้นกว่าเดิมอีก แล้วนี่ก็พึ่งรู้ว่าที่นี่เทศกาลคริสมาสจะช้ากว่าที่อื่นๆ

ดังนั้นที่นี่จะผ่านเทศกาลคริสมาสมาหมาดๆเลยไม่ใช่ช่วงปลาย ธ.ค. ถึงว่าตะกี้ที่โบสถ์ก็มีต้นคริสมาส และถนนเส้นนี้ก็ประดับประดาไฟสว่างสวยงามเต็มไปหมด

มาถึงไซบีเรียทั้งทีมื้อนี้ก็ต้องเป็นอาหารท้องถิ่นสินะ ร้านที่เราเลือกเป็นร้านอาหารท้องถิ่น เข้ามาในร้านอยู่ชั้นล่างค่ะ ลึกลับดี

เข้ามาแล้ว… ร้านแต่งได้สวยงามเพราะอย่างที่บอกว่าพึ่งจะผ่านเทศกาลคริสมาสมาหมาดๆ มาถึงร้านถามว่าจองไว้ไหม ตอบเลยว่าไม่ แล้วพนักงานก็คุยปรึกษากันเพราะเท่าที่ดูจากลูกค้าในร้านที่มองเราแปลกๆแล้วตอนแรกก็รู้สึกงง ว่าทำไมมีแต่คนมองเรา หรือเพราะเราเป็นนักท่องเที่ยว สุดท้ายก็จบตรงที่อาจจะต้องให้เราแยกโต๊ะเนื่องจากว่าส่วนใหญ่จะมีการจองโต๊ะไว้หมดแล้ว และที่นี่เมนูจะไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าไหร่ ดังนั้นสิ่งที่เราทำแค่สั่งอะไรที่คิดว่าจะกินได้ไม่ยาก เช่น ไก่ หมู ปลา

ระหว่างที่รอเมนูหลักที่เราสั่งไปบนโต๊ะก็จะมีขนมปัง และซุปอะไรซักอย่างให้ระหว่างรอ อันนี้อร่อยมากกก อร่อยกว่าเมนูที่สั่งทานอีก อร่อยจนไม่มีรูปถ่ายอะคิดดู 555

และมีอีกอย่างที่ทางร้านจะวางไว้ให้ทานได้ระหว่างรอคือเหมือนลูกอม รสชาติจะค่อนๆไปทางคาราเมลละลายในปากเลย อร่อยเพลินจนลืมเมนูที่สั่งเลย และนี่คือหน้าตาอาหารของโต๊ะเรา

เราตกลงกันว่าจะสั่งมาแชร์กันค่ะ หน้าตาเมนูแรก ตอนแรกน้องที่สั่งเมนูนี้ค่อนข้างทานยากหน่อย น้องเค้าน่ารักให้เหตุผลที่เลือกเมนูนี้ว่าเลือกปลาเซฟสุดยังไงก็กินได้ แต่ผลที่ออกมาคือ เซฟจริง เซฟไว้เลยอ่าค่ะ เพราะทานไม่ได้ ชื่อเมนูนี่รู้สึกว่าจะเป็น Baikal traditional fish อะไรสักอย่าง หน้าตาดีนะคะ แต่ด้านในเป็นแบบปลาที่ยังดิบอยู่เลยค่ะ

ต่างกันกับตากล้องของเราลิบลับที่ดันเลือกทานเมนูแปลกซะงั้น เป็นเมนูซุปลูกวัวอะไรซักอย่างนี่แหละค่ะ หน้าตาจะประมาณนี้ ข้างบนจะโป๊ะด้วยแป้งแผ่นบางๆทานคู่กันค่ะ อันนี้ก็ทานยากอยู่เหมือนกัน555

ส่วนอันนี้รอดค่ะ ไก่ย่างเสริฟพร้อมน้ำจิ้ม..หวานๆค่ะ แอบคล้ายน้ำจิ้มแจ่วของไทยอยู่นะ

หลังจากอิ่มอร่อยเรียบร้อยแล้วก็ต้องตามด้วยการช้อปปิ้ง เนื่องด้วยว่าทุกคนเจอกับสภาพอากาศที่โหดร้ายจากแม่น้ำกันมาทำให้แต่ละคนค่อนข้างเพลียค่ะ โดยเฉพาะสมาชิกคนที่บอกว่าเอาเสื้อผ้าออกสัก 1-2 ชั้นเพราะอากาศที่นี่แค่ -15 อุ่นกว่า เป็นไงล่ะ 555

เราพากันเดินทางซุปเปอร์มาร์เก็ตจนถอดใจ สุดท้ายจะกลับแล้วเลยแวะเข้าห้างซักหน่อย เอะข้างในมีซุปเปอร์มาร์เก็ตหนิ โอ๊ยให้หาตั้งนาน มาซ่อนอยู่ในห้างนี่เอง มาค่ะช้อปกัน ตู้นี้เหมาาาให้หมด …

กลับถึงที่พักอยากดื่มน้ำเย็นๆก็สามารถเปิดหน้าต่างเพื่อเอาเครื่องดื่มแช่เย็นได้เลยนะคะ ตามรูป แป๊บเดียวเท่านั้นเย็นจัดเลยค่ะ^^

เช้าวันใหม่ วันนี้เราต้องออกไปไบคาลแล้ว ไปพักที่เกาะโอคอลเกาะบนทะเลสาบไบคาล 2 คืน แล้วจะกลับมาพักที่นี่ต่ออีก 1 คืนก่อนกลับไทยค่ะ แต่จะไม่มีใครฝากของไว้เลยเพราะอะไรน่ะหรอ เพราะกลัวว่าที่เตรียมมาจะไม่พอดี เลยขนไปให้หมดสำหรับสัมภาระที่มี

และที่พักที่เราจองมารวมเรื่องของมื้อเช้าไว้แล้วหน้าตาจะประมาณนี้ค่ะ

ก่อนถึงเวลานัดไกด์ของเรา พร้อมรถก็มารอรับเราที่หน้าที่พักแล้ว บ๊ายบายอีร์คุตสค์

เจอหน้าไกด์ของเราก็บ่นเลยค่าาาา…ไกด์เค้าบอกว่าทำไม่ไม่ใส่หมวกกัน รู้ไหมว่าการใส่หมวกกันหนาวของเราไม่ใช่แค่กันหนาว แต่สามารถกันเชื้อแบคทีเรียต่างๆที่มีโอกาสมาได้ทางอากาศ เพราะฉะนั้นทุกคนเมื่อออกมาอยู่ข้างนอกอยากให้ใส่หมวกกันทุกคน แต่ไอ้เราๆก็คิดกันว่าแป๊บเดียวแค่ขนกระเป๋าลงมาเองเดี๋ยวก็ขึ้นรถแล้ว แต่คุณไกด์ก็ยังซีเรียสอยู่ดี ฟังดูแล้วก็แปลกๆนะคะ แต่ก็เอาเหอะเชื่อเค้าค่ะ เค้าหวังดี

นั่งรถชมวิวไปเพลินๆ แทบจะไม่ค่อยมีรถคันอื่นเลยนานๆทีจะมีรถสวนสักคัน มองออกไปนอกหน้าต่างขาวโพลนไปหมด เราคอยแต่เอามือทาบกับกระจกหน้าต่างรถเพื่อเช็คสภาพอากาศข้างนอกอยู่เรื่อย ระหว่างนั่งคิดอยู่ตลอดเลยว่าอากาศข้างนอกเป็นยังไงนะ ทำไมรถพวกนี้วิ่งได้ในสภาพอากาศขนาดนี้นะ

และแล้วก็ถึงจุดที่ดีใจละ เพราะไกด์บอกว่าเดี๋ยวเราจะแวะเข้าห้องน้ำ เรานี่ตื่นเต้นเลยเพราะนักงมาซักพักละ แล้วก็อากาศเย็น ดื่มน้ำเยอะก็ไม่ได้ ไม่ดื่มก็ไม่ดี เพราะเราไม่อยากป่วยเดี๋ยวจะเที่ยวไม่สนุก ปวดฉี่แต่ก็ต้องอดทนมาซักพักนี่ถ้าไม่มีน้องเค้าเดินไปบอกว่าปวดฉี่คุณไกด์จะแวะให้ไหมเนี่ย

แวะปั้มแรกก็เซอร์ไพรส์เลยค่ะ ปกติแล้วห้องน้ำจะมีตามร้านสะดวกซื้อในปั้มน้ำมันค่ะ แต่เพื่อไม่ให้เป็นการน่าเกลียดก็อาจจะซื้อของเค้านิดๆหน่อยๆ แล้วก็ค่อยเข้าห้องน้ำ ธรรมเนียมก็คล้ายๆกับโซนฝั่งยุโรปหลายๆประเทศนะคะแต่…ที่เราแวะเค้าไม่ให้เข้ายังไงก็ไม่ให้เข้า ไม่ว่าไกด์จะพูดยังไง คุณไกด์เองก็ออกอาการไม่พอใจว่าทำไม จนสุดท้ายเราก็ต้องเปลี่ยนที่ค่ะ ขับไปต่อเพื่อเข้าปั้มต่อไป เราแอบเห็นไกด์มีเขียนเอกสารใบคอมเพลนปั้มที่พนักงานไม่ให้เราเข้าด้วย คิดอยู่ในใจว่าสาเหตุที่แท้จริงเพราะเราเป็นเอเชียรึเปล่านะ แต่ก็ไม่กล้าถามไกด์ออกมาค่ะ

แต่ก็นะ เรามาเจอปั้มใหม่ที่น่าสนใจกว่าขนมเยอะแยะเลย

พนักงานที่นี่ก็ต้อนรับดีมาก และที่สำคัญที่นี่มีคอฟฟี่ช้อบบบ…คิดถึงกาแฟมาก พอเราสั่งกาแฟปุ็บ ไกด์ก็เริ่มทำงาน “กาแฟที่นี่อร่อยมากเธอคิดถูกแล้วที่ลอง” เราคิดในใจว่าขนาดนั้นน…ซดปุ๊บโอ้วเรื่องจริงค่ะ กาแฟดี หอมมากชอบๆ คิดแล้วอยากกินอีก^^

ระหว่างทางไกด์บอกว่าจะแวะสักที่แหละ แต่เราเอาแต่ถ่ายรูปถ่ายวีดีโอ เลยไม่ได้ตั้งใจฟังว่าที่นี่คืออะไร555

แต่ได้ยินแว่วๆว่าเหมือนตำนานอะไรซักอย่างที่เมื่อก่อนเชื่อว่ามีนางเงือกในทะเลสาบไบคาลประมาณนี้มั่ง555 ไม่เอาความรู้เลยเราเนี้ย

นั่งไปซักพักก็เริ่มเห็นวิวเหมือนจะเป็นทะเลสาบไกลๆ เรื่มรู้สึกว่าใกล้ถึงแล้ว อันนี้ไกด์แวะให้ระหว่างทางค่ะ ข้างหลังนั่นคือไบคาลแล้วนะคะ

อากาศตอนนี้ไม่เท่าไหร่ค่ะ

ชอบตรงที่ไกด์แวะให้ถ่ายรูประหว่างทางนี่แหละ

มองไบคาลจากไกลๆ ลิบๆ

รถไม่มีซักคัน นานๆจะมาทีหนึ่ง

รู้สึกเองได้ว่าน่าจะใกล้ถึงท่าเรือแล้วค่ะ เพราะเริ่มมีหมู่บ้านแล้ว

โอ๊ยยยย…บรรยากาศแบบนี้ชอบบบบ….

พอรถจอดปุ๊บทุกคนก็คอยืดคอยาว มองข้างหน้าว่าถึงรึยัง ไกด์บอกโอเค ก็ตื่นเต้นกันใหญ่เลย เพราะว่านี่คือท่าเรือจากนี้เราจะนั่งเรือโฮเวอร์คราฟต์ (Hovercraft) หน้าตาแบบนี้เลย เป็นเหมือนเรือที่ใช้วิ่งบนน้ำแข็งค่ะ จริงๆแล้วเรือแบบนี้สามารถวิ่งได้บนน้ำได้ด้วยนะคะ

เข้าไปนั่งกันได้ครบทุกคนเลย ระหว่างนี้ไม่ได้มีใครสนใจเรือเลย สนใจแต่พื้นน้ำแข็งใสๆที่ลงไปเดินได้นี่อย่างเดียวเลยค่ะ ไกด์ก็คงแบบงงๆว่าตื่นเต้นอะไรกันนักหนา

พอเรือพร้อมไกด์ก็เรียกพวกเราลงเรือ นั่งกันได้ครบทุกคนค่ะรวมไกด์แล้วก็เกือบเต็มคัน ขึ้นไปปุ๊บก็มีเรื่องให้ตกใจอีกแล้วเพราะเค้าเอากระเป๋าพวกเราทุกคนวางไว้ข้างนอกตรงข้างๆนะคะ รูปนี้จะเห็นได้ชัดเห็นไหมคะเค้าวางกันแบบนี้เลย วางไว้เฉยๆเลยค่ะ ไม่มัดอะไรทั้งนั้น อย่างงี้ก็ได้หรอ

นั่งมาแป๊บเดียวก็มาถึงฝั่งแล้วค่ะ ถ้าให้เดาก็คงฝั่งเกาะโอลคอนค่ะ เกาะโอคอลเป็นเกาะใหญ่ที่ตั้งอยู่ในทะเลสาบไบคาลค่ะ ซึ่งเราจะพักที่นี่ 2 คืนค่ะ เราได้ทำการจองแพ็กเกจไว้กับเอเจนซี่ที่นี่โดยตรง โดยที่แพ็กเกจของเราเลือกว่าจะให้รวมที่พักบนเกาะ อาหารทุกมื้อ ไกด์พาเที่ยว และรถรับจากสถานีรถไฟมาที่พักเมื่อวาน พร้อมรถไปส่งสนามบินวันกลับค่ะ เอเจนซีที่คุยเค้าค่อนข้างโอเคค่ะ แนะนำดีมากแต่พวกเราก็ต่อรองค่อนข้างมากเหมือนกันค่ะ เอาเป็นว่าวันนี้และพรุ่งนี้เราจะเที่ยวไบคาลเต็มๆเลยค่ะ เห็นน้ำแข็งให้สะใจกันไปเลย

คุณไกด์ก็น่ารักนะ ทำทัวร์สไตล์เอเชียเลยค่ะ แจกน้ำดื่มด้วย555 สงสัยทำทัวร์เอเชียบ่อย เราได้ถามว่าส่วนใหญ่เป็นใครที่มาเที่ยวไบคาล ไกด์บอกเราว่าส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวจีนค่ะเยอะที่สุด

เมื่อถึงที่เกาะปุ๊บก็มีรถมารอรับเราแล้วค่ะ อันนี้เลยที่เราคิดไว้ รถแบบนี้เลยที่จะวิ่งบนน้ำแข็ง แบบที่เราเคยเห็นตามรีวิวต่างๆมันใช่เลย นี่แหละอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของที่นี่ แต่แอบคิดในใจว่าถ้าวิ่งบนน้ำแข็งมันจะปลอดภัยใช่ไหม555


นั่งรถมาถึงจุดแรกที่ไกด์พามาละ ไกด์บอกจุดนี้ค่อนข้างใสมาก และอยากแวะให้ อ้อเราลืมบอกไปว่าช่วงเวลาในการเที่ยวไบคาลของเราไม่ค่อยพอดีเท่าไหร่เพราะว่าเรามาค่อนข้างเร็ว(ปลายเดือน ม.ค.) ช่วงนี้หิมะยังตกเยอะอยู่ทำให้ไบคาลที่เราเจอจะยังไม่ใส มันจะออกขุ่นๆ โดยเฉพาะวันก่อนที่เราจะมาไกด์บอกว่าหิมะตกก็ยิ่งขุ่นไปอีก นี่ถ้าขยับไปอีกช่วง ก.พ. จะใสกว่านี้ แต่พวกเราก็เตรียมใจก่อนมาแล้วค่ะ แต่เราลางานกันไม่ได้แล้วได้แค่ช่วงนี้นี่หน่า


หลังจากปล่อยให้พวกเรานอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นน้ำแข็งกันอยู่ซักพักใหญ่ๆ อยู่ดีๆไกด์ก็เรียกทุกคนไปคุย… โดนดุอีกแล้ว ไกด์บอกว่าสิ่งแรกที่เราต้องทำหลังจากที่ลงจากรถคืออะไรรู้ไหม ปิดประตู 555 เพราะว่ามันจะส่งผลคืออากาศและความอบอุ่นภายในรถที่จะรักษาไว้ได้ รวมถึงพลังงานที่รถจะต้องใช้จะได้ไม่หนักมาก และจากนั้นก็ปลอบเราด้วยคำถามที่ว่า กินข้าวก่อนหรือไปที่ต่อไป พวกเราพร้อมใจกันตอบเลยว่ากินข้าวววววว…ไกด์บอกว่าปะไปกินข้าวเที่ยงกัน เตรียมไว้แล้ว อันนี้งง มองไปทางไหนก็ไม่มีร้านอะไรเลยกินที่ไหน

นีไงคะมื้อเที่ยงของเรา กินบนรถนี่แหละค่ะ อันนี้เป็นข้าวกล่องไก่อบอะไรซักอย่างยังอุ่นๆอยู่เลย

แล้วคนขับก็น่ารักแม้จะหน้าดุๆไม่ยิ้มก็ตาม คุณคนขับเปิดกระป๋องถั่วลันเตาบอกว่าให้ใส่ลงไปด้วยอร่อย ลองเลยสิคะ แต่สังเกตุอะไรไหมคะ ว่าอาหารที่ไซบีเรียนี้เกือบแทกทุกอย่างมักจะมีผักเขียวๆนี่อยู่โรยในทุกอย่างที่เรากินเลยค่ะ เหมือนผักชีลาวเลยค่ะ นอกจากข้าวแล้วยังมีนี่ค่ะกินคู่กับคุ๊กกี้ชินนามอน อร่อยเลิศศศ…

พออิ่มแล้วก็จิบชา กับคุกกี้ อากาศแบบนี้อร่อยลืมเลยค่ะ สังเกตุได้ว่าคนที่นี่ชอมกินชามาก เห็นมาหลายที่ละ นอกจากที่จีนแล้วเราก็เห็นที่นี่แหละที่คนกินชากันเยอะมาก

ไปต่อกันที่ Trident Rock เป็นเหมือนจุดชมวิวไบคาลได้จากเขามุมสูง

ที่นี่สวยจริงค่ะ สวยมาก ดูวิวข้างหลังสิยิ่งใหญ่มาก

รถจอดถึงข้างล่างแล้วเดินต่อไปนิดเดียวเองค่ะ นี่ขนาดวิวจุดจอดรถนะเนี้ย

มุมนี้นี่ดูเหมือนไม่สูงนะ พอปีนขึ้นไปแค่นั้นแหละยืนขาตรงไม่ได้เลย

มีคุณชุดส้มแสดมาเป็นแบบให้ด้วยแจ่มมากขอบคุณนะคะ

คุณชุดส้มมาด้วยรถคันนี้ค่ะ จากจุดนี้ไกด์ถามตรงใจอีกแล้วใครปวดห้องน้ำบ้างจะพาไปห้องน้ำนั่งรถไปไม่ไกลจากที่นี่

จอดรถแล้วเดินไปห้องน้ำกัน

นี่ค่ะ ห้องน้ำของที่นี่ ผลุบๆโผล่ๆ

ไม่เป็นไรให้อภัยเพราะเป็นห้องน้ำที่วิวสวยที่สุดที่เคยเจอมาแล้ว

และช่วงบ่ายทั้งบ่ายใช้คำว่าตะลอนถ้ำน้ำแข็งก็ว่าได้ เพราะไกด์พาไปจอดตามจุดต่างๆตามโพรงถ้ำที่มีน้ำแข็งเกาะ

ในหลายๆจุด แม้จะคล้ายๆกันแต่ความสวยงามไม่เหมือนกันเลย

พอดูใกล้ๆจะเห็นได้ว่าผนังหินแต่ละถ้ำมีเหมือนน้ำใสๆเคลือบอยู่หนามาก

นึกภาพช่วงฤดูที่ไม่มีน้ำแข็งไม่ออกเลยค่ะ

ไกด์เดินนำไปดูเป็นจุดเลยค่ะ แต่ละจุดใช้เวลาประมาณ 15-20 นาทีขึ้นอยู่กับเราอีกทีค่ะ เพราะมีแค่กลุ่มเรา

ก่อนมาเราคิดว่าจะลื่นนะคะ ถ้าเราเหยียบบนพื้นน้ำแข็งใสๆนี้ แต่เอาจริงมันไม่ได้ลื่นขนาดนั้น

อาจจะเป็นเพราะว่ายังเป็นช่วงต้นฤดูที่น้ำแข็งยังฟูๆอยู่ค่ะ แต่จะมีบางจุดที่ลื่นๆนิดหน่อยค่ะ

ความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติมันทำให้มนุษย์อย่างเราดูตัวเล็กนิดเดียว…….

ได้เวลากลับที่พักแล้วค่ะ เพราะใกล้มืดแล้ว หากเป็นการเดินทางมืดๆนี่คงน่ากลัวไม่น้อยนะ กับสภาพภูมิประเทศแบบนี้

ระหว่างทางไกด์ได้แวะจุดชมวิวให้ค่ะ เป็นมุมสูงที่สามารถเห็นวิวหมู่บ้านข้างล่างได้ค่ะ

เห็นหมู่บ้านอยู่ไกลๆเลยค่ะ ที่พักของเราคืนนี้อยู่บนเกาะโอลคอนเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในทะเลสาบไบคาล บนเกาะแห่งนี้จะมีชนพื้นเมืองอาศัยอยู่ชื่อว่าบูร์ยัต (Buryat)

ยังไงก็สวยไม่เท่ากับเห็นด้วยตาตัวเอง อันนี้เป็นเรื่องจริงค่ะ

ไม่ต้องทำอะไรเลยก็ได้นะ แค่นั่งอยู่เฉยๆมองภาพแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็สบายตา สบายใจแล้ว

ที่พักของเรา 2 คืนจากนี้เป็นที่นี่ค่ะ ลากกระเป๋าเข้าที่พักกันค่ะ เราอยากพักแบบนี้มานานแล้วบ้านพักแบบบ้านไม้สีส้มๆแดงๆ ข้างในเปิดไฟสีออกโทนส้มๆ ไปพร้อมกับอากาศที่ข้างนอกขาวโพลน นี่คืออีกหนึ่งฝันที่อยากได้มีโอกาสได้พักแบบนี้

ตรงหลังนี้คือเหมือนห้องที่เป็นพื้นที่ส่วนกลาง สำหรับนั่งสังสรรค์ และทานข้าวพร้อมกัน

รวมถึงมีซาวน่าด้วยนะ หลังจากที่ไกด์ส่งเราแล้วก็ก็ไปพักที่อื่นค่ะ โดยบอกว่าเค้าไปพักที่อื่นที่ถูกกว่านี้ และจะมารับเราอีกทีพรุ่งนี้เช้าค่ะ และบอกพวกเราว่าเตรียมอุปกรณ์กันหนาวกันให้ดีๆเพราะพรุ่งนี้น่าจะออกนอกรถนานๆหน่อย


ในห้องนี่แบบนี้เลยค่ะ ห้องนี้สำหรับพัก 2 คนค่ะ ห้องน้ำจะเล็กๆแคบๆ แต่อบอุ่น จนร้อนเลยค่ะด้านใน ขนาดห้องไม่ได้ใหญ่มากนักกางกระเป๋า 2 ใบก็เต็มแล้ว แต่ถือครบครันและสะดวกสบายดีค่ะ อุปกรณ์เครื่องใช้ในห้องน้ำก็มีให้ค่ะ

มื้อเย็นมื้อแรกที่เรียกได้ว่าเป็นมื้อที่อร่อยมากสำหรับเรา เพราะมีข้าวค่ะ เห็นตอนเค้ายกมานี่ตาตื่นเลยค่ะ ข้าว ที่นี่กินข้าวกันด้วยหรอ เหมือนข้าวบ้านเราเลยค่ะ แต่เค้าจะหุงใส่รวมกับพวกแครอทและธัญพืชอะไรซักอย่าง มาพร้อมกับปลาชุบแป้งผสมไข่ทอดมาเป็นก้อนโตๆเลยค่ะ ราดซอสสีดำๆออกเค็มๆหวานๆอร่อยดีค่ะ เมื่อมารวมกับน้ำพริกปลาดุกที่เราเตรียมมา จริงๆแล้วก่อนมีเมนูหลักที่นี่จะเสิร์ฟคล้ายกับเป็นแบบคอสเลยค่ะ แบบประมาณว่าสลัด หรือไม่ก็ซุปก่อน แล้วค่อยตามด้วยเมนคอส

ตบท้ายด้วยของหวานค่ะ มารู้ที่หลังจากไกด์ว่าปลาที่เรากินคือปลาโอมุลเป็นปลาพื้้นถิ่นที่มีเฉพาะไบคาลนี่เท่านั้นนะคะ รวมถึงปลาดิบชุปแป้งทอดที่เราได้กินกันเมื่อวานด้วยที่ร้านอาหารพื้นเมืองจำได้ไหมคะ อันนั้นก็เป็นปลาพื้นเมืองของทะลสาบไบคาลเช่นเดียวกันกับ ปลาโอมุลค่ะ

หลังจากมื้อเย็นนี่ก็มืดแล้ว ที่นี่คือมืดแบบมืดจริงๆนะคะ เดินออกไปหน้าที่พักนี่มืดจนมองไม่เห็นอะไรเลยมองออกไปอย่างไกลกว่าจะมีไฟ 1 ดวง พวกเรานัดกันว่าจะออกไปเดินเล่นที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต โดยสอบถามจากที่พักซึ่งคนที่พักพูดอังกฤษได้นิดหน่อย แต่แปลความได้ว่าไม่ไกล ยิ่งเดินยิ่งหนาว ยิ่งไม่เห็นแสงไฟทุกคนจึงตัดสินใจว่าไม่ไป 5555 ที่นี่พอมืดผู้คนจากที่ไม่ค่อยเจออยู่แล้วยิ่งมืดยิ่งไม่เจอใครเลย 555

มื้อเช้าวันนี้เป็นเหมือนข้าวโอ๊ตต้มใส่เนยโรยเกลือไปนิดหนึ่งอร่อยเลยค่ะ เรานี่ชอบมาก แต่ทำไมหลายๆคนไม่ชอบก็ไม่รู้ เราก็เลยกินจนหมดแถมไปไถ่คนอื่นกินอีก555 แปลกอร่อยมันๆหนึบๆดีเราชอบ^ ^

ไม่ได้มีแค่นี้นะมีพวกขนมปังปิ้งแล้วก็ไข่เจียวมาให้ด้วยน่ารักปุ๊กปิ๊กเลย

น้องหมาของที่พักค่ะ เมื่อคืนเห็นทีนึงแต่เป็นตอนมืดๆ แต่ด้วยความกลัวไง ยิ่งมืดยิ่งกลัวทุกอย่างแล้วดูหน้าน้องเหมือนจะดุแต่ไม่เลย น้องอยู่ได้ยังไงเนี้ยมีขนเท่าน้องหมาที่บ้านเราเลย ขนแค่นี้อุ่นไหมนะ

วันนี้คุณลุงคนขับสตาร์ทรถรอเลยค่ะ

สว่างแล้วบรรยากาศแถวที่พักดูมากอยู่ท่ามกลางต้นไม้แบบนี้เหมือนในหนังเลยค่ะ ที่นี่ไซบีเรีย 555


ก่อนออกไปท่องไบคาลวันนี้พวกเราได้บอกไกด์ว่าอยากแวะซุปเปอร์มาร์เก็ต ไกด์เลยจัดให้ค่ะ ใหญ่มาก มีทุกอย่างอะเหมือนพวกโลตัสเอ็กเพรสบ้านเราเลย ช้อปเพลินๆเลยขนมแปลกๆก็เยอะ เสื้อผ้าอุปกรณ์กันหนาว หมวก รองเท้ามีทุกอย่าง มีของสดของแห้ง

นี่ตู้ขายพวกของสด ราคาประมาณนี้ อ้อ…มาถึงขั้นนี้แล้วลืมบอกเรื่องค่าเงิน ที่ไซบีเรีย รวมถึงทั้งที่อีร์คุตค์ และที่เกาะโอลคอนนี้ใช้เงินรูเบิ้ลค่ะ ซึ่งวิธีคิดคำนวนแบบง่ายๆของเราคือเอาเงินรูเบิ้ลมาหาร 2 ก็จะเป็นราคาไทยโดยประมาณค่ะ บวกลบเล็กน้อย เช่น ซื้อผักดอง 60 รูเบิ้ลก็คิดเป็นบาทประมาณ 30 บาทค่ะ อันนี้เราประมาณเอานะ จะได้คิดง่ายๆตอนเที่ยวจะได้ไม่ต้องคิดเยอะ ก็มาเที่ยวอะนะ

ปะไปเที่ยวทัวร์ถ้ำต่อ ตอนแรกไกด์ของเราจะค่อนไปทางสายความรู้จ๋าเลย ลงรถปุ๊บภาคปั๊บ ทำงานได้อย่างเต็มที่จริงๆเลย แตกต่างกันกับกลุ่มพวกเรา 8 คน ลงรถปุ๊บพุ่งไปหามุมถ่ายรูป ลงรถปุ๊บพุ่งไปหาสิ่งที่ตัวเองสนใจ

นั่งๆนอนๆกลิ้งๆกับน้ำแข็งยังไงก็ไม่มีทางเปียก แล้วดีที่วันนี้เตรียมตัวมาดีข้างในตัวนี่แน่นใส่เต็ม ไม่มีทางยอมแพ้ความหนาวครั้งนี้หรอกประสบการณ์มันสอน

รถจอด วิ่งลงไปถ่ายรูปจนไกด์จับจุดได้ว่าพวกเรา 8 คนไม่ได้เป็นสายความรู้แต่เป็นสายบันเทิงชอบถ่ายรูป นางเลยเปลี่ยนแนวหามาแต่จุดให้ถ่ายรูปเลยที่นี้ จากที่ไกด์หน้าตึงๆซีเรียสหน่อยๆก็ผ่อนคลายขึ้น วิ่งไปวิ่งมาเหมือนพวกเราแล้ว เอะอะมุดถ้ำ 555

ไกด์บอกว่าเค้าเป็นคนมอสโคว ที่บ้านเค้ามีธุรกิจพวกเครื่องหนัง ดูจากการแต่งกายเค้าสิคะ ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่หนาวนะ แต่เค้าน่าจะชินมากกว่า เพราะที่รู้ๆมาอากาศที่มอสโควฤดูหนาวนี่ก็ไม่ธรรมดานะ

แต่ละจุดแม้จะคล้ายๆกันแต่ความสวยงามนั้นต่างกันมากค่ะ

หลายๆจุดไกด์บอกมีการไหลของน้ำข้างใต้ทำให้เกิดรอยแตก แล้วแผ่นน้ำแข็งด้านบนก็ถูกดันขึ้นมาทับกันเป็นชั้นๆแบบนี้ค่ะ

ถ้าโดนแดดเยอะๆแล้วจะทำให้น้ำแข็งใสขึ้นค่ะ

เราอยากให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างมีแดด กับไม่มีแดดค่ะ สวยต่างกันเลย

ขอแก้วอเมกาโน่ด่วนนนน…

นี่คือเหตุการณ์สำคัญ ทริปนี้มีน้องในกลุ่มเอาโดรนไปบิน แต่เจ้าโดรนดันไม่อยากไปต่อชนเขาตกจ้าาา…นั้นคือเจ้าของโดรนที่ลุยไปเก็บซากโดรน ซากคือซากจริงๆนะคะ นี่มันโดรนพลีชีพชัดๆ เจ้าของโดรนเฟลไปเลยหนึ่งวัน แต่ก็ไม่น่าเป็นไรนะ เพราะได้คลิปสุดท้ายจากกล่องดำมา555

ถึงเวลาที่ต้องเข้าห้องน้ำไกด์พาเรามาเข้าห้องน้ำค่ะ อันนี้เป็นห้องน้ำจริงๆค่ะ

แต่ที่ต่างออกไปคือมีหลังคาประตูปิดมิดชิด 5555 ก็คือส้วมหลุมบ้านเรานี่แหละค่ะ อันนี้ถือว่าเป็นอีกประสบการณ์หนึ่งเลยค่ะ จะอั้นก็คงไม่ไหวไหนขอลองหน่อยห้องน้ำของไบคาล หืมเย็นตูดใช้ได้เลยนะคะ ลองแล้วแปลกใจเลยค่ะ เพราะที่รู้สึกได้คือไม่มีกลิ่นเลยแม้แต่นิดเดียวทั้งที่สภาพยังไงก็ต้องมีกลิ่นแน่ๆ อาจจะเพราะอากาศที่เย็นขนาดนี้เลยทำให้ไม่มีกลิ่นถือว่าผ่าน อันนี้โอเคค่ะ

พวกเราทั้ง 8 คน พร้อมไกด์และคนขับรถอีก 2 คันตะลอนๆกันไปตามจุดต่างๆ ตามซอกตามมุมถ้ำแต่ละจุดจนเริ่มสงสัยว่าเอะ มันเริ่มเหมือนกันหมดแล้วนะ หรือเราคิดเอง

ะเอาความรู้ซะหน่อย ทะเลสาบไบคาลเป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ได้ชื่อว่าลึกที่สุดในโลก และมีอายุเก่าแก่มากที่สุดในโลก แถมยังเป็นทะเลสาบที่มีน้ำใสเป็นอันดับ 1 ของโลกอีกด้วย ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ไบคาลแห่งนี้เป็นจุดมุ่งหมายของหลายๆคน

และที่สำคัญที่นี่ยังมีแมวน้ำน้ำจืดอีกด้วย ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่เล็กที่สุดในโลก เอะแปลกๆนะ ใช่ค่ะ ฟังไม่ผิดว่าแมวน้ำ น้ำจืด ตอนเด็กๆน้องแมวน้ำจะเป็นสีขาวน่ารัก นึกภาพก็คือเจ้าอุ๋งอุ๋งตัวปุยๆนั้นแหละค่ะ พอเริ่มโตน้องจะเปลี่ยนสีออกเข้มขึ้นเหมือนที่เราเห็น แต่ฤดูหนาวเราจะไม่เจอน้องนะคะเพราะน้องๆแมวน้ำจะจำศีลค่ะ

เอะๆนั่นแมวน้ำรึเปล่าาา…อ่ออ ไม่ใช่นั่นไกด์เราเอง ^^

จุดไหนพื้นใส ต่อคิวกันเข้ามาค่ะ ถ่ายรูป

ถุงมือนี่ขาดไม่ได้นะคะบอกเลย หายไปนี่รู้เรื่อง

เหนื่อยแล้วก็ต้องกินข้าวครั้งนี้รู้เลยว่าต้องกิน้าวบนรถเหมือนเดิมไม่ได้มีอะไรเซอร์ไพรส์เท่าไหร่

คนขับไปรอที่ด้านบนฝั่งแล้วค่ะ มาถึงตอนนี้อาจจะยังแยกไม่ออกนะว่าอันไหนแผ่นดิน อันไหนน้ำในทะเลสาบ พวกเราบางคนบอกไกด์ว่าขอไปเข้าห้องน้ำก่อน

ไกด์ชี้ไปที่ห้องน้ำหน้าตาแบบที่เราเคยเจอเมื่อก่อนเที่ยงไกลๆแนวชายป่า ได้เดินไปแป๊บเดียว ตอนแรกคิดแบบนี้กันค่ะ แต่พอไกด์เห็นว่าเราไปกันครบทุกคนเค้าก็เสนอตัวจะไปส่งแต่ด้วยความที่เค้ากางโต๊ะสำหรับกินข้าวบนรถแล้วเราเลยปฏิเสธไป และจะเดินไปเอง

นี่แหละเหมือนเดิมเป๊ะ ความรู้สึกเดิมเลย 555 เย็นตูดอีกแล้ว จริงๆเรามีรูปที่ถ่ายเห็นข้างในนะแต่เกรงใจทุกคนเอาเป็นว่ามันเป็นส้วมหลุมที่มีหลังคาและประตูแหละ เห็นข้างหลังไกลๆนั่นไหมนั่นแหละที่รถจอดเพื่อกินข้าว

ระหว่างเดินกลับมาที่รถหิมะปุกปุยมากเหยียบลงไปจมถึงเข่า เลยเป็นเรื่องเลยค่ะ ตากล้องของเราหิมะเข้าไปในรองเท้า มันจะไม่เป็นไรถ้าเราไม่ต้องขึ้นรถไปเจออากาศอุ่นๆในรถ 555 หิมะละลายเปียกค่ะ ทีนี้ช่วงบ่ายเป็นต้นไปเท้าหายแน่นอน

ข้าวมื้อนี้อร่อยนะเราชอบ เป็นปลาโอมุลเจ้าเดิม กินให้เบื่อไปเลย กินกับขนมปังแล้วก็มันบด โรยเกลือนิดหน่อยอร่อยเลย

คุณคนขับมีเปิดกระป๋องข้าวโพดให้ตักทานด้วยกันด้วย อร่อยกว่าเดิมอีก สังเกตุได้ว่าพวกธัญพืช ผักต่างๆทีนี่จะไม่ค่อยมีส่วนใหญ่จะเป็นแบบกระป๋องแบบพร้อมทานค่ะ และก็เหมือนเดิมมีคุกกี้กับชาค่ะ

ช่วงบ่ายทั้งบ่ายก็ตะลอนถ้า และจุดต่างๆค่ะ ก็เดินเล่นเพลินๆนะ โดยรวมๆแล้วก็พวก หินจระเข้ และอีกมากมาย เวลาอยู่แต่ละจุดก็แล้วแต่เราเลย เพราะมีแค่เรา เซอร์ไพรส์เราด้วยอยู่ดีๆคนขับก็เร่งๆให้พวกเราขึ้นรถแล้วก็รีบขับออกไปแบบรวดเร็วเลย ตอนแรกไม่รู้หรอกมารู้ทีหลัง ว่าการขับรถบนน้ำแข็งเนี้ย โดยเฉพาะการพานักท่องเที่ยวมาแบบนี้ในบางจุดจะไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องซะทีเดียว อาจจะโดนจับได้เลย

เพราะการใช้รถวิ่งบนน้ำแข็งในบางจุดที่ไม่ปลอดภัยเนี้ยเป็นเรื่องได้เลยนะ ถึงว่าๆทำไมเค้าถึงใช้เรือโฮเวอร์คราฟรับเราจากท่าเรือที่ฝั่งก่อนแล้วค่อยมาต่อด้วยรถ พวกเราก็แบบอ้าว….. นี่เราเที่ยวกันแบบผิดกฏหมายหรอ ต่างทิ้งความสงสัยไว้555

ช่วงบ่ายเกือบเย็นๆ เป็นช่วงที่แสงกำลังสวยเลย ถ่ายรูปออกมาสวยมาก

เริ่มมีเพื่อนเที่ยวแล้วเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีนหลายกลุ่มเลยค่ะ

อาจเป็นเพราะใกล้จะเป็นจุดสุดท้ายในทริปวันนี้แล้ว หลายๆกลุ่มที่มาก็จะมาจบทริปบริเวณนี้ค่ะ

แสงดีมาก และอากาศเริ่มเย็นขึ้นแล้ว

อันนี้เราเรียกว่าน้ำแข็งงอก น้ำแข็งย้อยค่ะ ^^

จุดสุดท้ายของวันนี้คือไฮไลท์ของไบคาลเลยคือ ชามานร็อค (Shaman Rock) ซึ่งไกด์เล่าว่า ที่แห่งนี้ถูกเรียกว่าเป็น Rock แต่ที่จริงแล้วเมื่อก่อนมันเคยเป็น Cave มาก่อนนะ ตรงจุดนี้รถจะจอดให้เราลงเดินจากข้างล่างขึ้นมาเพื่อชมวิวด้านบน

และจากนั้นเราจะเดินกลับที่พัก 555 ออกกำลังว่างั้น จุดนี้นอกจากจะสวยสุดพีคแล้วยังหนาวสุดพีคอีกด้วย คือลมแรงมาก

แต่นักท่องเที่ยวหลายๆคนที่ไม่ได้เจอกันตามจุดต่างๆของวันนี้มารวมตัวกันที่นี่ทั้งหมดในเวลานี้เพื่อชมพระอาทิตย์ตกด้วยกัน

เวลานี้เป็นอะไรที่ดีมาก สบายใจมาก มีความสุขอย่างบอกไม่ถูกเลย สิ่งที่แว๊บเข้ามาในหัวตอนนั้นคือพรุ่งนี้เราต้องกลับออกไปจากที่นี่แล้วหรือ แล้วอีกวันเราต้องกลับไทยแล้วหรอ ใจหายเลย ระยะเวลา 11-12 วัน มันผ่านไปไวจริงๆ แต่ตรงจุดนี้อยู่ได้ไม่นานนะคะ เพราะหนาวเกิ้นนนน…

รอพระอาทิตย์ตกนานกว่านี้ไม่ได้แล้ว มันหนาว

หนาวชนิดที่กระเป๋าเป้ที่ใส่ขวดน้ำดิ่มไว้ข้างๆหยิบออกมาดูเป็นน้ำแข็งอะ แล้วเราล่ะจะอยู่ตรงนี้กันทำไม

เดินกลับที่พักค่ะ เห็นหมู่บ้านข้างหน้าไหมคะ ตั้งแต่เรามาที่นี้เราไม่ได้มีโอกาสเดินเล่นในหมู่บ้านเลยอยู่แค่ที่พัก กับในทะเลสาบ ถือว่าการเดินผ่านหมู่บ้านเพื่อกลับที่พักนี่เป็นการเดินเล่นชมเมืองไปอีกแบบนะคะ

อันนี้เป็น Baikal Spirit ค่ะ จะอยู่ตรง (Shaman Rock) ค่ะ

ไม่ได้มีแค่กลุ่มเรานะคะ มีเพื่อเดินด้วยกันเยอะเลยค่ะ

บรรยากาศก่อนพระอาทิตย์ตกสำหรับคนที่ไหวก็ไปต่อ ส่วนพวกเราไม่ 555

ตอนไกด์พาเดินนี่งงเลย พาเดินผ่านบ้านคน ผ่านประตูรั้ว เปิดประตูรั้ว มาหลายบ้านเลย เห้ยแบบนี้ก็ได้หรอ บ้านทุกหลังเป็นบ้านไม้ รั้วไม้หมดเลยค่ะ เราชอบนะบรรากาศแบบนี้ แต่จังหวะนั้นมีน้องคนหนึ่งที่มาด้วยหนาวมากจนไม่ไหว ไกด์ก็เลยบอกว่าเราแวะคาเฟ่กันดีไหม

คาเฟ่ข้างในอุ่นมาก คนเต็มเลย ยืนรอสักพักก็มีโต๊ะว่าง เราเลยได้นั่งพอดีเลยค่ะ สั่งอะไรร้อนๆมาแบ่งๆกันสบายขึ้นเยอะเลย

ร้านนี้ขายโฟสการ์ดด้วยนะ จากที่เราได้โต๊ะก็มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเรื่อยๆ แต่ไม่มีโต๊ะว่างเลยเรา 8 คนกับไกด์ถือว่าโชคดีมากๆค่ะ ไม่งั้นคงหนาวแข็งไปพร้อมกับขวดน้ำที่กระเป๋าเป้ละ

ก่อนกลับที่พักแวะช้อปปิ้งอีกเล็กน้อยจากซุปเปอร์เมื่อเช้า เดินมาไกลมากกกก…..

พอเดินทางถึงที่พักปุ๊บมีความสุขขึ้นมาทันทีอบอุ่นมากในห้อง พออาบน้ำห็นร่องรอยแดงๆเป็นจ้ำๆเต็มไปหมดอาจจะเพราะอากาศหนาวมากเวลาเสื้อผ้าครูดเราจะไม่รู้สึกหรือแม้กระทั้งการที่ลมแรงๆกระทบร่างกายเรา ขณะที่อยู่ข้างนอกอากาศเย็นๆเราไม่รู้ตัว มารู้ก็ตอนที่เจออากาศอุ่นๆ หรือตอนอาบน้ำอุ่นๆนี่แหละ

มื้อเย็นวันนี้ น่ากินเหมือนเช่นเคย ได้ซุปมันร้อนๆอย่างฟิน

และที่เรียกได้ว่าชอบที่สุดคือของหวานนี่ก็อร่อยมากๆๆๆๆ

อย่างที่เคยบอกว่าห้องที่เราทานข้าวนี้มีห้องซาวน่าด้วย ถ้าจะใช้ต้องบอกที่พักก่อนนะ อันนี้จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

สวัสดีเช้าวันสุดท้ายของไบคาล มีไข่ดาวพร้อมปังปิ้งเป็นมื้อเช้า

และที่ขาดไม่ได้ก็ยังมีชาให้เหมือนเดิม วันนี้เราต้องบอกลาทะเลสาบไบคาลและเกาะโอลคอนกันแล้ว แอบใจหายนะ พรุ่งนี้ก็ต้องกลับไทยแล้วสินะ

ตรงจุดนี้พื้นใสที่สุดเลยค่ะ เพราะว่าจุดนี้เป็นท่าเรือ เรือโฮเวอร์คราฟวิ่งไปมาอยู่ตลอดเลยใสเชียว

ไปค่ะ นั่งเรือกลับกัน

พอมาถึงฝั่งมองกลับไปที่เกาะก็ใจหายนะ ได้เวลาบอกลาไบคาลแล้วจริงๆ

บ๊ายบายไบคาลลลลล….ฉันจะคิดถึงเธอ

วันนี้เราจะนั่งรถกลับอีร์คุตสค์ แต่ก่อนกลับเราจะเลยขึ้นไปอีกเมืองหนึ่งเพื่อจะไปนั่งน้องอัสกี้ลากเลื่อนกัน ตอนแรกแพลนไว้ว่าจะแยกเป็น 2 ทีม เพราะมีทั้งคนที่สนใจเล่นลากเลื่อนน้องฮัสกี้ กับคนที่สนใจเดินเล่นในเมือง แต่ดูจากการเดินทางในวันนี้ที่ออกจากเกาะสายๆหน่อย แล้วไปส่งทีมเดินเล่นในเมือง และตีรถกลับไปเพื่อเล่นลากเลื่อนก็เกรงว่าจะไม่ทัน เลยตัดสินใจไปเล่นลากเลื่อนฮัสกี้กันหมดเลย

ตอนแรกเราไม่อินนะกับการนั่งรถลากเลื่อน อีกใจก็สงสารน้องฮัสกี้(อีกแล้ว555) เราอยากเดินเล่นในเมือง ไปพวกตลาดท้องถิ่นมากกว่า แต่ก็ไหนๆก็ไหนๆละ

ไกด์บอกว่าน้องฮีสกี้ที่นี่เป็นฮัสกี้แท้เลยนะ กว่าจะไปถึงที่นี่ไกลพอสมควร ผ่านหมู่บ้านเล็กๆด้วย เมื่อมาถึงมีน้องๆฮัสกี้เยอะมากในรั้ว น้องพากันเห่าใหญ่เลย ชุลมุนไปหมด ไอ้เราก็พลอยตื่นเต้นกันไปด้วยเลยทีนี้

ที่นี่กิจกรรมจะมี 2 อย่างคือนั่งลากเลื่อนน้องฮัสกี้ กับขับสโนโมบิล

จังหวะที่เจ้าของฟาร์มไปเลือกน้องนี่เราชอบมาก ด้วยความที่น้องเยอะมากการที่เค้าจะไปเลือกเอามาทีละตัวนี่ยากยิ่งกว่าเพราะอะไรน่ะหรอ เปิดประตูรั้วปุ๊บทุกตัวพร้อมที่จะเสนอตัวออกมาข้างนอกอย่างรุนแรง ซึ่งเจ้าของต้องค่อยๆลากแกมอุ้มออกมาทีละตัว เราเห็นแล้วก็อดอมยิ้มตามไม่ได้ คงอยากออกมาทุกตัวอะ

เมื่อเลือกน้องสำหรับลากเลื่อน 2 คัน แล้วเค้าจะเอาน้องมาผูกประจำแต่ละจุดตามหน้าที่ของน้อง สังเกตุได้ว่าทุกตัวที่เป็นลูกทีมเค้าจะผูกไว้ทุกตัว แล้วแต่ละตัวนี่ดื้อมาก

คึกสุดๆจะพุ่งๆตัวอยู่อย่างเดียวเลย ส่วนน้องฮัสกี้ผู้นำน่ะ เจ้าของเค้าปล่อยให้ออกมาเดินเล่นสบายใจไม่ผูกกับอะไรทั้งนั้น ปล่อยให้ตัวอื่นๆที่อยู่ในรั้วแหกปากด้วยความอิจฉากันใหญ่เลย

น้องพร้อมสุดๆไปเลยค่ะ

เริ่มจากเราคนแรกที่เล่นลากเลื่อน บอกเลยว่าโอโหหหห…..น้องกำลังคึก ลงหลุม ลงเนิน ทางต่างระดับอะไรน้องไม่สนใจทั้งนั้น กระโจนพุ่งทะยานออกไปแบบมีอะไรมากั้น ก็เอาไม่อยู่แล้วววว ฟิ้วววววว……..

เราคนนั่งจากที่ตอนแรกก่อนเล่นสงสารน้องเป็นไงล่ะ อย่างที่ไกด์บอกน้องเป็นสายพันธุ์ที่ต้องได้รับการปลดปล่อยพลังออกมา ซึ่งไม่ได้เป็นการทรมานน้อง

กลับกันน้องออกจะชอบ สมใจเค้าล่ะ เรานี่อยากได้โช้คเลย ลงเนิน ลงหลุมป๊าบๆเลย

ช่วงที่ให้น้องหยุดพักเห็นน้องไหมคะ น้องลงไปนอนกลิ้งๆๆๆ เลยค่ะ น่าจะคันหลัง555

หลังจากคิวเราเสร็จเราก็ไปนั่งรอที่กระโจมที่หน้าตาเหมือนเกอร์ที่มองโกเลียเลย ข้างในอุ่นหน่อยมีชาให้จิบเหมือนเคย ไกด์พยายามบอกให้เรามารอข้างในนี้แต่ไอ้เราประมาณว่าก็พรุ่งนี้จะกลับแล้วขอหนาวต่ออีกนิดได้ไหม อย่าห้ามฉันเลย555

เล่นกันจนครบทั้ง 8 คน สภาพน้องเป็นแบบที่เห็น เป็นไงล่ะ

คนละเรื่องเลยสินะ เหี่ยวเชียว

น้องไม่ดุเลยจับได้ทุกตัวค่ะ

ในรูปนี้มีน้องหมากี่ตัวน้าาาา …. หยอกๆ นะคะ ^^

กิจกรรมจบแล้วสภาพน้องที่ถูกเรียกขึ้นรถอาจจะพาน้องไปที่ไหนสักแห่ง อาจจะพากลับบ้านชั่วคราว

ใกล้มืดแล้วกลับเมืองอีร์คุตสค์กันดีกว่าค่ะ ไกด์พาเรามาส่งที่พักที่เดิมเลย ลากกระเป๋าขึ้นบันไดกันอีกแล้ว แต่รอบนี้ได้กันคนละชั้นค่ะ ห้องผู้หญิงได้ห้องเดิมใต้หลังคา ส่วนผู้ชายได้ห้องข้างล่างค่ะ สบายหน่อยเรื่องกระเป๋า

 

มื้อเย็นมื้อสุดท้ายของไซบีเรีย ต้องกินอะไรที่สมฐานะกันหน่อย555 มาลองร้านใกล้ๆกับที่พักค่ะ พอดเินเข้ามาในร้านปุ๊บให้ความรู้สึกเดิมอีก และแล้วความว่าความรู้สึกนี้คืออะไรสภาพที่นักท่องเที่ยวที่เหมือนผ่านสงครามมาแบบเรา เมื่อมองร้านดีๆแล้วล่ะก็เราน่าจะไม่เหมาะกับร้านแบบนี้เท่าไหร่ แต่จะทำไงได้เราเป็นนักท่องเที่ยวนะไม่มีมาเตรียมชุดหรูสำหรับดินเนอร์หรอกเราว่าเค้าคงเข้าใจ เพราดูจากที่ๆเราไปมาแต่ละที่สไตล์แอดเวนเจอร์ทั้งนั้น

ภายในร้านหรูหรามาก เราสั่งมาแชร์กันเหมือนเดิม ถ่ายรูปมาทันแค่ซุปที่เหลือไม่ทันจริงๆน่าจะหิวกันจัด 555 เพราะมื้อเที่ยงเราแวะกินระหว่างทางกันมาแบบไม่เต็มอิ่มกันเท่าไหร่

แล้วตามสไตล์ที่นี่เค้ามีว๊อดก้าให้ดื่มด้วยคนละช้อต 555 อันนี้เราลืมบอกไปว่าอาจจะเพราะเจ้านี่แหละที่ทำให้พวกเรารอดมาได้จากความหนาวของไซบีเรียตลอดหลายวันที่ผ่านมา555

ณ เวลานี้ร้านของฝากที่เราคิดได้ก็คงเป็นที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตที่เราเคยไป เพราะเรียกได้ว่ามี ทุกอย่างจริงๆ ขนม ช็อคโกแล็ต ชา กาแฟ เยอะแยะเลย เราหอบหิ้วของฝากกลับเต็มไม้เต็มมือกันทุกคนเลยค่ะ จากซุปเปอร์นะ 555

ก่อนกลับเช็คข่าวที่ไทยตอนนี้ก็ได้รู้ว่าที่ไทยมีการตรวจเข้มสำหรับคนที่เดินทางเข้าไทย โดยเฉพาะคนที่เดินทางมาจากจีน เพราะมีข่าวว่ามีเชื้อไวรัสมาจากอู่ฮั่น ซึ่งพวกเราทั้ง 8 คนระหว่างเดินทาง ที่บ้านแต่ละคนก็มีโทรมาถามเรื่อยๆนะว่าโอเครึเปล่า พวกเราก็บอกกันอยู่บ่อยๆคำเดียวว่าก็ปกติดีทุกอย่าง ทั้งที่แปลกใจตั้งแต่กำแพงเมืองจีนช่วงตรุษจีนแท้ๆแต่ไม่มีคน บนรถไฟกังวลว่าจะพลาดเรื่องตั๋วเต็มเพราะเป็นช่วงเทศกาลตรุษจีนที่ชาวจีบชอบมาเที่ยวไบคาลเส้นทางเดียวกัน แต่ไม่เลยทุกอย่างราบลื่นผ่านไปด้วยดีทุกอย่างเลย…..

พวกเราทั้ง 8 ต่างบอกคนที่ไทยว่าไม่เป็นไรหรอกเรามาจากปักกิ่งไม่ใช่อู่ฮั่น แล้วขากลับเราก็กลับจากรัสเซียไม่น่ามีปัญหาอะไร แต่หารู้ไม่ว่าไวรัสมันรุนแรงกว่าที่คิดไว้ ทำให้น้องในทีมบางคนเริ่มกังวลเรื่องการเข้าไทย

วันนี้เราตื่นกันแต่เช้าเพราะนัดรถมารับไปสนามบิน แต่เช้ามืด มาถึงสนามบินอีร์คุตสค์เป็นสนามบินเล็กๆมี 2 เทอร์มินเนอล ด้วยความที่มีถึงเร็วกว่ากำหนดเราเลยต้องรอ แต่ประเด็นคือเมื่อเรามาถึงสนามบิน เราไม่สามารถข้าไปบริเวณที่เช็คอินได้เลย ต้องรอให้ป้ายโชว์ไฟล์ที่เราจะไปขึ้นบอร์ดก่อนจึงจสามารถเข้าไปด้านในเพื่อเช็คอินได้

ระหว่างรอในสนามบินมีร้านอาหารง่ายๆอยู่ 1 ร้าน และข้างๆเป็นร้านคอฟฟี่ช้อบ มีพวกแซนวิสต่างๆ เราได้ทำการละลายเหรียญที่นี่ไปพร้อมกับแซนวิสเรียบร้อยแล้ว รวมถึงพวกของที่ระลึกก็มีร้านเล็กๆอยู่ 1 ร้านถ้วน

ระหว่างที่เรารอเราก็พึ่งรู้ว่ามีไฟล์บินตรงจากอีร์คุตสค์ไปภูเก็ตด้วยนะเนี้ย ไม่ธรรมดา พอถึงเวลาเค้าประกาศเรียก แบงคอก พวกเราก็ไปต่อแถวเพื่อที่จะผ่านประตูเข้าไปข้างในตรงจุดเช็คอิน แต่ต้องสแกนกระเป๋าก่อนนะคะ จากนั้นก็ไปเช็คอินที่เค้าเตอร์ พร้อมผ่าน ตม. และสแกนกระเป๋าถืออีกครั้ง

ตรงจุดนี้เราเอาขวดน้ำดื่มจากไบคาลกลับมาด้วยซึ่งในนั้นมีน้ำเปล่าอยู่เล็กน้อย เจ้าหน้าที่สแกนกระเป๋าหน้าดุมากบอกกับเราว่าในกระเป๋ามีขวดน้ำ เราเลยเปิดกระเป๋าแล้วเทน้ำทิ้งในถังขยะเพื่อจะเก็บขวดไว้ เพราะขวดเป็นที่ระลึกจากไบคาล มาถึงจุดนี้เจ้าหน้าที่ดุเราแล้วบอกว่า No ซึ่งไอ้เราก็แบบจะเอากลับให้ได้เพราะเป็นของที่ระลึก ของเหลวก็เททิ้งแล้วทำไม่ไม่ได้ล่ะ ก็เลยทำตาบริบๆออดอ้อนเจ้าหน้าที่พร้อมกับบอกเค้าว่ามันมาจากไบคาลเลยนะ ขอร้องล่ะ เจ้าหน้าที่จากหน้าดุๆก็อมยิ้มแล้วก็ให้เราผ่าน ในใจเค้าคงคิดว่าแค่ขวดน้ำดื่มธรรมดาต้องทำขนาดนี้หรอ555

ด้านในเกทจะมีแค่เท่าที่เห็นนี่แหละค่ะ เพราะสนามบินไม่ได้ใหญ่เลย ตรงนี้มีร้านขายของที่ระลึกร้านกาแฟ ร้านขายขนมด้วย รอซักพักก็ถึงเวลาเรียกขึ้นเครื่อง กะดูจากสายตาแล้วคิดว่าทั้งหมดที่นั่งอยู่ตรงนี้จุดหมายปลายทางของเค้าน่าจะแบงคอก

ออกมาจากประตูก็มีรถบัสเกทมารับไปส่งตรงเครื่องค่ะ แล้วก็เดินขึ้นเครื่องเลย

ขากลับนี่ออกจะสบายหน่อยเพราะเรานั่งสายการบิน S7 หรือ Siberia Airlines เป็นสายการบินแบบ Full Service

รวมอาหารด้วย ปลาอีกแล้วจ้า…และที่สำคัญบินตรงจากอีร์คุตสค์-กรุงเทพค่ะ แตกต่างจากขามาลิบลับเลย

ไฟล์ว่างมาก…ว่างจนนอนราบได้ยาวๆถึงไทยเลย^^

มาถึงจุดนี้ก็บอกตัวเองว่าหมดเวลาสนุกแล้วสิ หลายวันที่ผ่านมาความรู้สึกไม่เหมือนกันเลย ผ่านมา 3 ประเทศให้ความรู้สึกที่ไม่เหมือนกันซักที่ ผู้คนแตกต่าง อาหารแตกต่าง ทุกครั้งจะคิดขึ้นมาได้ว่า “เรามาไกลขนาดนี้ได้ยังไงนะ ดูจากแผนที่ก่อนมาเส้นทางนี้ยาวไกลมาเลยนะคะ ทรานไซบีเรีย ต่อให้เราไปจะถึงปลายสถานีก็เถอะ เรานี่ก็เก่งนะที่มาไกลได้ขนาดนี้ ตอนนี้ถึงเวลาไปเจอกับความจริงที่ไทยแล้ว ทิ้งความสุขไว้กับเราในใจ เพราะมีงานรอเราอยู่ แล้วฉันจะออกมาท่องโลกอีกครั้งที่ไกลกว่าเดิม แปลกกว่าเดิม อึดกว่าเดิม ถึกว่าเดิมในที่ๆฉันอยากไป ขนาดทรานไซบีเรียที่ไม่เคยคิดว่าจะได้มีโอกาส ยังสามารถเป็นไปได้เลย”

มองจากตรงนี้สนามบินเล็กนิดเดียวเอง น่าร๊ากกก

บ๊ายบายไซบีเรีย….ระหว่างที่บินขึ้นไม่นานมองลงไปเราก็จะเห็นทะเลสาบไบคาลอยู่ข้างล่าง จากมุมนี้ก็สวยไปอีกแบบนะคะ

แต่หารู้ไม่ว่าไวรัสจากอู่ฮั่น ที่เรารู้ว่ามีตั้งแต่ที่เราอยู่ปักกิ่ง รู้ตั้งแต่ก่อนที่เราจะออกทริป มันไม่ใช่แค่ข้ามมณฑล ข้ามเมือง ข้ามประเทศ ตอนนี้สามารถข้ามทวีป ข้ามโลกมาหาเราและทุกคนถึงที่แล้ว…

….ไม่น่าเชื่อว่านี่จะเป็นการท่องต่างประเทศครั้งสุดท้ายของเรา จนถึงวันนี้ก็ปีกว่าแล้วที่เราไม่สามารถออกไปไหนต่อไหนดีอย่างอิสระเสรี เหมือนที่เคยๆเป็น ไม่น่าเชื่อว่าไวรัสนี้มันทำให้หลายๆคนไกลจากคนที่รัก ไกลจากความฝันมากขึ้น หลายๆคนออกจากงานที่รัก มาจนถึงตอนนี้นี่คงเป็นรีวิวทริปสุดท้ายของเราแล้ว จนถึงวันนี้ เรายังเชื่อว่าวันหนึ่งทุกอย่างจะค่อยๆดีขึ้น แล้วเราจะได้พบกันใหม่นะ…

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามการท่องเที่ยวของเรามาจนถึงตอนนี้ค่ะ

21 Jun 2021

 

 

FROM BEIJING TO SAIBERIA EP. 2/3 ทริปสุดท้ายก่อนโควิด (มองโกเลีย ดินแดนแห่งที่ราบ และความหนาว)

FROM BEIJING TO SAIBERIA EP. 2/3 ทริปสุดท้ายก่อนโควิด
(มองโกเลีย…ดินแดนแห่งที่ราบ และความหนาว)

เรื่องเล่าต่อเนื่องจากครั้งที่แล้ว > FROM BEIJING TO SAIBERIA EP.1/3 ทริปสุดท้ายก่อนโควิด

หลังจากที่เรามาถึงสถานีรถไฟอย่างแรกที่เราต้องทำคือเข้าไปด้านในสถานีให้เร็วที่สุด เพราะกลัวว่าเผื่อมีปัญหาอะไรจะได้มีเวลาแก้ไขทัน แต่ไม่เลยทุกอย่างเพอร์เฟกยื่นตั๋ว พร้อมพาสปอร์ตให้กับเจ้าหน้าที่ รวมถึงสแกนกระเป๋า แค่นี้เสร็จแล้ว? เอ้า เร็วไปซะงั้น

อาจจะด้วยเพราะระบบของบ้านเค้าที่แม้จะซีเคียวสุดแต่ก็สามารถรับได้กับจำนวนพลเมืองที่มากขนาดนี้ ทำให้ทุกอย่างรวดเร็วไปหมด

ด้านในสถานีรถไฟเท่าที่เห็นด้วยสายตาจะมี 2 ชั้น ซึ่งชานชลาที่เราจะต้องขึ้นรถไฟจะเป็นชั้น 2 จับจองที่นั่งให้ใกล้กับชานชลาที่จะขึ้นให้มากที่สุด และอาศัยเวลานี้ทำธุระส่วนตัวของแต่ละคน

ระหว่างรอเวลา ไปเดินเล่นกันค่ะที่นี่มีทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นร้าน Mcdonal ร้านอาหารแบบง่ายๆเช่นก๋วยเตี๋ยว ร้านขายของ ขนมน้ำดื่ม มาม่า

ก่อนถึงเวลาก็จะเริ่มมีคนไปต่อแถวเพื่อเข้าไปในชานชลาแล้ว ผู้คนเยอะมากค่ะ

เพื่อผ่านเจ้าหน้าที่เช็คตั๋วที่ประตูชานชลา ลงมาจะเจอกับรถๆไฟที่จอดรอเราอยู่แล้ว

8 โมงเช้านับตั้งแต่เวลานี้เราทั้ง 8 ชีวิตจะต้องอยู่บนรถไฟยาวๆ จนถึงมองโกเลียช่วงบ่ายๆของวันพรุ่งนี้ค่ะ แพลนของเราในมองโกเลียคือ เราจะนั่งรถไฟสายทรานส์มองโกเลีย 1 คืน > เที่ยวที่มองโกเลีย พักแบบคนท้องถิ่น 1 คืน > เที่ยวเมืองหลวงอูลานบาตอร์ พักที่นี่ 2 คืน > นั่งรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียต่อไปยังรัสเซีย

รถไฟค่อยๆเลื่อนออกจากชานชลา เหลือบมองนาฬิกาช้ากว่าไปแค่ 5 นาที

ภายในตู้นอนที่เราจองมาจะเป็นชั้น Hard Sleeper หน้าตาจะประมาณนี้ ในหนึ่งห้องมีเตียงบน 2 เตียงล่าง 2 มีผ้าห่มและหมอนพร้อม แถมมีโต๊ะอยู่ตรงกลาง โต๊ะอันนี้สามารถพับลงได้นะคะ

สำหรับช่องเก็บสัมภาระจะเป็นช่องใต้เตียงค่ะสามารถใส่กระเป๋าแบบล้อลากไปได้ฝั่งละ 2 ใบ ขนาดกระเป๋าล้อลากที่เราเอาไปไซส์ 25 นิ้ว ใส่ได้สบายๆเลย

ส่วนช่องเสียบปลั๊กไฟจะอยู่ใต้โต๊ะสามารถเสียบได้แค่ 2 ปลั๊ก ดีนะที่เอาปลั๊กรางมาด้วยสบายเลย

นั่งชมบรรยากาศข้างทางไปเพลินๆวิวก็จะเริ่มจากวิวเมือง จนเริ่มไม่มีบ้านเรือน ซักพักจะมีเจ้าหน้าที่รถไฟเอาพวกผ้าปูที่นอน ปลอกหมอนมาให้

สักพักก็จะเอาเอกสาร เหมือนๆเอกสาร ตม. มาให้เรากรอกค่ะ มีแยกเป็น 2 ใบ (ใบออกจากจีน และใบเข้ามองโกเลีย)

มาสำรวจรถไฟกันรถไฟในหนึ่งโบกี้มีประมาณซัก 10 ห้องได้ ห้องน้ำจะมีโบกี้ละ 2 ห้องอยู่ด้านท้ายของแต่ละโบกี้ ห้องน้ำจะเป็นแบบโถส้วม และอ่างล้างหน้า สำหรับทำธุระล้างหน้าแปรงฟัน ไม่สามารถอาบน้ำได้(ถ้าสามารถก็อาจจะได้555)

นอกจากอ่างล้างหน้าที่ประจำอยู่ในห้องน้ำแต่ละห้องแล้วจะยังมีอ่างล้างมือที่พอจะล้างหน้าแปรงฟัน ล้างจานได้ ทำให้การใช้ชีวิตบนรถไฟสายนี้สะดวกสบายขึ้นมาเยอะเลยเพราะเสบียงที่เราขนมาทั้งจากไทย ทั้งจากปักกิ่งเยอะเหลือเกิน

บนรถไฟจะมีกาน้ำร้อนขนาดใหญ่อยู่ด้านหน้าของโบกี้ไว้บริการฟรีตลอด

ก่อนมานั้นกังวลที่สุดเรื่องการตกรถไฟเพราะเราคิดเพียงแค่ว่าเป็นช่วงวันหยุดยาวตรุษจีน คนจะต้องเยอะรถไฟอาจจะต้องเต็มแต่ไม่เลยทั้งโบกี้มีเพียงแค่เรา 2 ห้อง 8 ชีวิต กับนายรถไฟ 1 คนเท่านั้น

กิจกรรมแนะนำสำหรับบนรถไฟสายทรานส์มองโกเลียนี้ตามสไตล์แบกแพ็คก็คงไม้พ้น จิบชา ชมวิว อ่านหนังสือ ใช้เวลาพูดคุยสนทนาร่วมกัน แต่ๆ…ไม่ใช่ไลฟ์สไตล์การท่องเที่ยวแบบเรา

เพราะว่าเราใช้เวลากับการเล่นเกมส์ พูดคุย จินตนาการถึงปลายทางที่รอเราอยู่ เรื่องราวความหนาวเหน็บจากปักกิ่งที่เจอ และความหนาวจากไซบีเรียที่กำลังจะเจอ พร้อมกับจิบเบียร์ที่ไม่ได้อุ่นเลย

ทั้งๆที่ไม่ได้แช่ตู้เย็นด้วยซ้ำเพียงแค่วางกระป๋องเบียร์ไว้ที่ริมหน้าต่าง ก็จะได้เบียร์เย็นๆแล้วค่ะ

รู้ตัวอีกทีก็ถึงเวลามื้อเย็นแล้ว ไปลองอาหารที่ตู้เสบียงกันค่ะ มื้อแรกสำหรับตู้รถไฟจีน อาหารจะเป็นอาหารจีนค่ะ บอกได้คำเดียวว่าอร่อยมาก หรือเพราะหิวก็ไม่แน่ใจ แต่รสชาติถูกปากสุด แถมยังมีทั้งน้ำพริกที่เราพกพากันมาจากไทยทำให้มื้อนี้อิ่มอร่อยสุดๆ มื้อนี้ยังสามารถใช้เงินหยวนจ่ายได้ค่ะ

นั่งเพลินๆ นอนเพลินๆก็ได้เวลาเข้าเขตมองไกเลียแล้วตอนดึกๆ เรารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเพราะรถไฟหยุดวิ่ง และมีเจ้าหน้าที่ขึ้นมาตรวจเอกสาร 2-3 คน มาพร้อมกับนายรถไฟที่ประจำตู้โบกี้ของเรา ในระหว่างการผ่าน ตม. นี้เค้าจะไม่ให้ออกไปจากห้องที่เรานอนนะคะ ให้ประจำอยู่ที่เตียงของแต่ละคน(แน่นอนแหละกลางดึกแบบนี้งัวเงียกันอยู่เลยค่ะ)

เท่าที่ดูจากการแต่งตัวของเจ้าหน้าที่ๆขึ้นมาเดาว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ของจีนค่ะ เป็นเหมือนการตรวจขาออกของจีนค่ะ อันนี้ไม่มีปัญหาอะไรแป๊บเดียวก็เรียบร้อย สักพักรถไฟก็เคลื่อนตัวออกและ….

จอดอีกรอบ รอบนี้การแต่งกายของเจ้าหน้าที่เปลี่ยนไปคงเป็นการเข้าเขตมองโกเลียแล้วค่ะ เอกสารที่เจ้าหน้าที่ขอจะเป็น พาสปอร์ต ตั๋วรถไฟ พร้อมเอกสาร ตม. ทีเรากรอกค่ะ อันนี้เราเริ่มรู้สึกแปลกๆเนื่องจากว่าระหว่างที่เรานั่งรถไฟเข้าเขตมองโกเลียนั้นมีน้องคนหนึ่งในกลุ่มบอกว่า “ตอนนี้มีไวรัสแพร่ระบาดที่จีน ที่บ้านโทรมาเพราะเป็นห่วง” แต่ที่พวกเราไม่รู้สึกกังวลใดๆเพราะทราบข่สวนี้ตั้งแต่อยู่ที่ไทยก่อนเดินทางแล้ว แต่คิดว่าไม่มีอะไรหรอกเพราะไวรัสแพร่ระบาดที่อู่ฮั่น ห่างจากปักกิ่งมาก ไม่น่ากังวลอะไร

แต่พอเจ้าหน้าที่ๆเข้ามาตรวจนั้นเค้าวัดอุณหภูมิเรา วัดแล้ววัดอีก ก็ทำให้เราเริ่มกังวลขึ้นมานิดๆ แต่วินาทีนั้นเราตื่นเต้นกับการเดินทางข้างหน้ามากกว่าสิ่งใด

จอดรอบนี้นานเลยค่ะ หลังจากเจ้าหน้าที่ลงไปแล้ว พอมองออกไปนอกหน้าต่างก็พอจะเดาได้ว่าใช้เวลาเพื่อเปลี่ยนล้อค่ะ เพราะเท่าที่ศึกษาข้อมูลก่อนมาคือล้อรถของรถไฟเมื่อเปลี่ยนเข้าพรมแดนอีกประเทศ ต้องเปลี่ยนล้อเพื่อให้ตรงกับรางของแต่ละประเทศค่ะ

เช้าแล้วบรรยากาศสองข้างทางเปลี่ยนไป ภูมิประเทศจากที่มีแต่ภูเขาสูง ก็จะเริ่มเห็นหิมะขาวๆ พื้นที่ราบต้นไม้ใบหญ้าจะออกแห้งๆค่ะ

เวลาแบบนี้ไม่มีอะไรดีไปกว่าการนั่งจิบชา ริมหน้าต่างไปพร้อมกับการมองวิวนอกหน้าต่าง

มองการใช้ชีวิตของผู้คนที่รถไฟผ่านในแต่ละจุด การที่รถไฟจอดแต่ละสถานีมองคนขึ้นลงแต่ละสถานี

มองการแต่งตัวกับสภาพอากาศติดลบข้างนอกนั่น ไปพร้อมกับความคิดที่ว่าอากาศข้างนอกนั่นจะเป็นยังไงนะ เราจะทนไหวไหม

จนกระทั่งรถไฟจอดสถานีหนึ่ง ใช้เวลาจอดนานมาก

นอกหน้าต่างมีคุณป้าเข็นรถมาขายขนม มาม่า น้ำดื่มไม่ต่างจากสถานีรถไฟในไทยเลยค่ะ และแล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นคุณป้าขายขนมหน้าตาเหมือนซาลาเปา คุณป้ามองผ่านกระจกเข้ามาสบตาเราพร้อมกวักมือเรียก ไอ้เราก็ใจง่ายวิ่งไปที่ประตูรถไฟ เปิดประตูเท่านั้นแหละ เย็นยะเยือกเข้าปอด เข้าหัวใจ เราลืมบอกไปว่าอากาศในรถไฟเหมือนอากาศที่ กทม. บ้านเราเลยค่ะ ดังนั้นเราสามารถใส่แค่เสื้อยืด กางเกงขาสั้นธรรมดาได้เลยขณะอยู่บนรถไฟ ด้วยความรีบที่วิ่งมาแบบกางเกงใส่นอนตัวบางๆกับเสื้อยืดแขนสั้น พร้อมต่อรองราคา ด้วยภาษากาย หยิบเงินหยวนขึ้นมาป้าบอกโอเค พร้อมยื่นซาลาเปามาแลก พอเข้าปากเท่านั้นแหละ จบ…มันคือเนื้อแกะ หรือแพะ หรืออะไรซักอย่างที่กลิ่นช่างรุนแรงเลือเกิ้นนนน..ได้แค่คำเดียวจริงๆค่ะ ไม่สามารถทานต่อได้จริงๆ

ทั้งที่เตรียมใจไว้แล้วว่าหากมาถึงมองโกเลียสิ่งที่เราจะต้องเจอเกือบทุกมื้อคือแกะ เพราะที่นี่ไม่มีเนื้อหมู เนื้อวัวก็หายาก รวมถึงภูมิประเทศแถบนี้ที่ปลูกพืชผักยาก ทำให้ส่วนใหญ่พืชผัก ผลไม้ที่นี่จะนำเข้ามาทั้งสิ้น ก็เลยต้อนรับเราด้วยซาลาเปาเนื้อแกะกันไปเลย

ว่ากันว่าอีกหนึ่งไฮไลท์ของรถไฟสายทรานส์มองโกเลียคือตู้เสบียง ในระหว่างที่เราเปลี่ยนประเทศจากจีน เข้ามองโกเลียนั้นเค้าก็จะเปลี่ยนตู้เสบียงไปพร้อมกันทำให้ตู้เสบียงของวันนี้จะไม่เหมือนเมื่อวาน แน่นอนเราต้องไปลอง

มาถึงตู้ถึงขั้นต้องร้องว๊าว เพราะสวยอลังการมากนี่แค่ตู้เสบียงนะเนี้ย

ตกแต่งด้วยไม้สวยงามมาก

สำหรับอาหารมื้อแรกของมองโกเลียบนรถไฟของเราก็ไม่ต่างจากที่คิดไว้เลย เพราะส่วนใหญ่เป็นเนื้อแกะ กระทั่งซุปต่างๆแม้จะไม่ได้มีเขียนบอกไว้ว่ามีแกะ แต่เราจะรับรู้ได้ทันทีว่าในน้ำซุปนั้นมีส่วนประกับของแกะอยู่แน่นอน มื้อนี้ยังเหมือนเดิมแม้จะอยู่ในมองโกเลียแล้วแต่เรายังสามารถใช้เงินหยวนจ่ายได้โดยที่เค้าจะคิดเป็นเงินทุกรุก(ค่าเงินของมองโกเลีย)ก่อน แล้วแปลงเป็นเงินหยวน

หลังจากมื้อเที่ยงของเราผ่านพ้นไป ก็กลับมาที่ตู้นอนของเรา สังเกตได้ว่าตู้นอนของเราเริ่มมีเพื่อนร่วมโบกี้แล้ว รู้สึกครึกครื้นขึ้นมาทันที น่าจะเป็นผู้โดยสารที่ขึ้นมาระหว่างทาง ได้เวลา

เตรียมตัวก้าวขาลงจากรถไฟเพื่อพบเจอกับความหนาวเหน็บของดินแดนที่ได้ชื่อว่า ดินแดนแห่งที่ราบ มองโกเลีย

แพลนการเที่ยวมองโกเลียของเราที่เป็นไฮไลท์คือ พักที่พักแบบชาวมองโกเลีย(พักเกอร์) > เที่ยวเล่นในเมืองหลวงอูลานบาตอร์ > อนุสาวรีย์เจงกิสข่าน > City Tour เมืองอูลานบาร์ตอร์

แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้ว ก่อนลงรถไฟมีน้องคนหนึ่งในทริปเริ่มป่วยเพราะสภาพอากาศที่หนาวมาก รวมถึงน้องเริ่มกังวลเกี่ยวกับไวรัสโคโรน่าที่อู่ฮั่น แต่คนในทริปก็ปลอบใจอยู่ตลอดว่าไม่เป็นไรหรอกเรื่องเจ็บคอเป็นเรื่องปกติ เพราะเรากินน้ำกันน้อยมาก แล้วอากาศก็หนาวมาก หารู้ไม่ว่าไวรัสใกล้เรามากกว่าที่เราคิด..

ถึงซะที่มองโกเลีย พอลงรถไฟมาปุ๊บ เดาออกเลยว่าคนไหนที่มารับเรา

เพราะเค้ายืนยิ้มต้องรับเราอยู่ เราได้ทำการจองทัวร์ท้องถิ่นไว้ซึ่งจะรวมพาเที่ยว ที่พักเกอร์ รวมไกด์พาเที่ยว และบริการส่งที่สถานีรถไฟเพื่อเดินทางต่อไปรัสเซีย ทางบริษัททัวร์ท้องถิ่นแจ้งว่าจะมีไกด์มารอรับที่หน้าตู้เราเลยไม่ต้องกังวล และเมื่อรถไฟจอดเค้าบอกให้เราไม่ต้องรีบค่อยๆออกมาจากรถไฟก็ได้ เพราะเค้าทราบว่าเราพักกันตู้โบกี้ไหน

ทั้งที่เตรียมใจมาแล้วนะว่าอากาศมันต้องหนาว ใส่มาซะเต็มตัวแน่นไปหมด แน่นแบบถ้าหกล้มก็ไม่เจ็บแน่นอนเพราะใส่มาหนามาก ก้าวขาลงมาก็ยังหนาวอยู่ดี สิ่งแรกที่ต้องทำคือรับตั๋วรถไฟจากเอเจ่นที่จองไว้จากอูลานบาตอร์-เอียร์คุตส์

ไปเช็คกับเจ้าหน้าที่ห้องจำหน่ายตั๋วของสถานีเพื่อเป็นการรีเช็คว่าตั๋วที่เราได้มานั้นเป็นตั๋วจริง

หลังจากที่ได้รับการคอนเฟิร์มตั๋วแล้วเริ่มท่องอูลานบาตอร์อย่างสบายใจ

เวลาที่เราถึงอูลานบาตอร์เป็นช่วงบ่ายสองกว่าๆวันนี้ไกด์จะพาไปเราออกไปพักเกอร์นอกเมือง

ท้องถนนของเมืองอูลานบาร์ตอร์

ระหว่างทางแวะเที่ยวชมหินเต่า

หรือที่เรียกกันว่า Turtle Rock เห็นปุ๊บก็รู้ปั๊บว่าเป็นรูปเต่าจริงๆค่ะ นี่ไกด์เราเอง

ดูออกไหมคะ ว่าอันไหนเต่า อันไหนตากล้องเรา กลมหนาเหมือนกันหมด 555

จากนั้นไกด์ได้พาไปวัดที่อยู่ไม่ไกลมากจาก Turtle Rock

ระหว่างทางวิวสวยมาก

ชื่อว่า ARryapala Temple Meditation Center เป็นศูนย์ปฏิบัติธรรม ตั้งอยู่เนินเขาเห็นไกลๆค่ะ

จากจุดจอดรถอาจจะต้องออกกำลังคลายหนาวกันซักหน่อย

หายใจแทบไม่ทันค่ะ

อาทิตย์กำลังลับขอบฟ้าพอดีค่ะ

ระหว่างเดินขึ้นมาไม่ได้หันกลับมามองข้างหลังเลย พอตอนจะลงจากวัดอีกทีมองลงไปสวยมาก

แต่มองจากมุมบนสุดวิวสวยไม่ธรรมดานะคะ

นี่พนักงานต้อนรับที่นี่ค่ะ 555 สงสัยนะว่าสามารถอยู่ในสภาพอากาศที่หนาวขนาดนี้ได้ยังไง

ตอนเดินขากลับที่จอดรถนี่สบายเลยค่ะ ไม่มีใครรอใครเลย

แป๊บเดียวใกล้มืดแล้ว คิดว่าถ้ามืดนี่อากาศจะหนาวขนาดไหน

ก่อนเข้ามที่พักเราขอให้ไกด์พาไปซื้อของที่ร้านค้าก่อนเข้าที่พัก แต่…ด้วยความรบของทุกคนที่ออกมาจากในเมืองทำให้ทุกคนลืมแลกเงินไกด์เสนอตัวจ่ายให้ก่อน แล้วค่อยคืนในวันที่เราเข้าเมือง

มินิมาร์ทที่นี่เรียกได้ว่ามีทุกอย่าง แต่ที่สังเกตุได้ชัดเจนคือที่มองโกเลียสินค้า ข้าวของเครื่องใช้ หรือขนมต่างๆส่วนใหญ่จะมาจากเกาหลีค่ะ เกือบ 80% ของสินค้าในร้านจะมาจากเกาหลีทั้งหมด

คืนนี้เราจะพักที่เกอร์ค่ะ Ger แต่เกอร์ที่เราพักจะเป็นเกอร์ที่ปรับให้เป็นที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวแล้ว

เกอร์เป็นที่พักแบบชนเผ่าเร่ร่อนที่เมื่อก่อนยังชีพโดยการเลี้ยงสัตว์ และเปลี่ยนที่อยู่ไปเรื่อยๆ หน้าตาจะประมาณนี้ค่ะ

จะไม่มีห้องน้ำนในตัวนะคะ ห้องน้ำจะใช้เป็นส่วนกลางอยู่บนตึก

เป็นจุดเดียวกับห้องอาหารเช้าของพรุ่งนี้ค่ะ เกอร์ของเราคืนนี้ตั้งอยู่ในอุทยาน อุทยานแห่งชาติกอร์ไกเทเรลจ์ Gorkhi Terelj National Park ค่ะ

อย่างเดียวที่กังวลคือจะอุ่นไหมถ้าสภาพอากาศแบบนี้ แต่ไม่เลยข้างในมีทั้งฮีทเตอร์ที่พื้นห้อง มีทั้งไฟด้านบนที่เป็นฮีทเตอร์และกองไฟที่สุมด้วยฟืนอยู่หลางห้องค่ะ เข้าไปปุ๊บร้อนเลยค่ะ คืนนี้นอนอุ่นสบายแน่นอน

ได้เวลามื้อเย็นแล้ว อันนี้รวมค่าอาหารแล้วนะคะ จากที่ไม่คาดหวังว่าอาหารที่นี่จะอร่อย แต่ไม่เลยนะคะ อร่อยมากอันนี้เป็นไก่ค่ะ คล้ายไก่อบ พร้อมข้าวและมันบดค่ะ บอกเลยว่าอร่อย

หลังมื้อเย็นไกด์แนะนำว่าที่นี่เห็นดาวชัดมาก ตากล้องของเราพากันไปถ่ายรูปดาวท่ามกลางสภาพอากาศที่หนาวจับใจนี้ได้รูปนี้มาค่ะ แต่เราน่ะหรอ รอดูรูปถ่ายสวยๆจากเกอร์อุ่นๆดีกว่าค่ะ^^

เราได้ลองเอาขวดเบียร์ยักษ์ไปวางไว้ที่หน้าเกอร์ ไม่ถึง 20 นาที แข็งไปเลยจาาา…จะออกไปหนาวทำมายยย

เช้านี้อากาศดีเหลือเกิน เราเริ่มไม่รู้สึกว่าหนาวแล้ว จริงๆก็คงหนาว แต่อาจจะเพราะเราชินเลยไม่รู้สึกสะท้านใดๆ

 

หน้าตามื้อเช้าค่ะ เริ่มจากซุป ที่มีข้าว เหมือนข้าวต้มบ้านเรา เห็นหน้าตาแบบนี้อร่อยนะคะ

ขนมปังแบบหน้าตาเหมือนปลาท่องโก๋นี้เราจะเจอมันทุกทีของที่นี่เลยค่ะ น่าจะนิยามทานกัน

ส่วนอันนี้ไส้กรอกกับไข่ดาว ไส้กรอกเห็นหน้าตาดีแบบนี้กัดปุ๊บรู้เลยว่าเป็นไส้กรอกของที่นี่ lamb มาอีกแล้วจาาา..

วันนี้เราจะมีไปขี่ม้าชมวิวอุทยาน และเข้าเมืองอูลานบาตอร์ ไปเที่ยวในเมืองกันต่อค่ะ

ถึงแล้วค่ะจุดที่เราจะขี่ม้า น้องม้าที่เราจะขี่เดินเล่นเป็นของชาวบ้านค่ะ

เค้าให้เราเข้าไปเยี่ยมชมเกอร์ที่ชาวบ้านอยู่อาศัยจริงค่ะ อันนี้ป่องด้านบนหลังคาค่ะ

ไม่ค่อยต่างจากที่เราพักเท่าไหร่ แต่ในเกอร์มีทุกอย่างทั้งตู้เสื้อผ้า อ่างล้างจาน รวมถึงอุปกรณ์ทำอาหารและเครื่องครัวต่างๆค่ะ

ชาวบ้านเสิร์ฟเราด้วยชานม

ขนมปัง และอะไรซักอย่างเหมือนลูกอมที่ทำมาจากโยเกิร์ตค่ะ

ก่อนขี่ม้าเราคิดว่าสงสารน้องเพราะอากาศก็หนาวขนาดนี่ยังต้องมาแบกเราเดินอีก

ที่ไหนได้ดูสภาพตัวน้องม้าสิคะ ตัวโตมาก การที่น้องได้เดินเป็นการออกกำลังคลายหนาวให้น้องค่ะ^^

นี่ค่ะไกด์ของเราเฟี้ยวฟ้าวสุดๆไหมคะ

ตะกี้ที่เราบอกว่าการขี่ม้าเป็นการขี่ม้าชมวิวใช่ไหมคะ

ตอนแรกก็อิน ชมวิว สวยงาม

มองไปทางหนก็ขาวไปหมด

ตัดภาพไปค่ะ นั่งน้องม้ามาได้แค่ 5 นาที เท้าหาย มือหาย หูหายไปแล้วค่ะ คือหนาวที่สุดที่เคยรู้สึกได้เลยค่ะ ในใจได้แต่บอกว่าเมื่อไหร่จะถึง เมื่อไหร่จะถึง คิดแค่นี้จริงๆไม่ได้ดื่มด่ำความสวยงามอะไรทั้งสิ้นเลย

ขนตาหิะก็มา

จากการขี่ม้าที่แสนหนาวเหน็บผ่านไปได้เวลาเข้าเมืองแล้ว

ระหว่างทางค่อนข้างสวยเราเลยขอให้ไกด์แวะถ่ายรูปข้างทาง อันนี้สวยจริงค่ะ ประทับใจมากกับถนนหนทางที่นี่ แม้จะมีแต่สีขาวๆแต่ก็สวยโล่งสบายตาสุดๆ

ก่อนเข้าเมืองอีกหนึ่งสถานที่ ที่ใครๆมามองโกเลียจะไม่มีทางพลาดที่จะมาที่นี่ คืออนุสาวรีย์เจงกิสข่าน

พนักงานต้องรับมาอีกแล้ว แต่เดี๋ยวก่อนนะให้พี่ลงรถก่อน

เราจะขึ้นไปชมด้านบน ขึ้นบันไดจากด้านในโผล่อีกทีก็ตรงหัวม้าของท่านเจงกิสข่านเลยค่ะ

ด้านในก็จะมีเหมือนพิพิธภัณฑ์ ต่างๆ ทั้งอูฐที่สต๊าฟไว้ กับพัฒนาการของเกอร์แต่ก่อนค่ะ

สังเกตประตูของที่นี่

ส่วนด้านนอกของอนุสาวรีย์เจงกิสข่านจะมีอูฐให้ลองขี่

แล้วก็มีเหยี่ยวให้ถ่ายรูปค่ะ อันนี้เสียตังเพิ่มนะคะ

เสียตัง… เฟี้ยวฟ้าวกับฉากหลังได้แป๊บเดียวแค่นี้ก็คุ้มละค่ะ

น้องอูฐที่เราคิดว่าตัวเล็กๆ ไม่เล็กนะคะ

Zaisan Monument อนุสรณ์สถานทหารผ่านศึกไซซาน

ตั้งอยู่บนเนินเขาที่สามารถมองเห็นวิวเมืองอูลานบาตอร์ได้ มาที่นี่สร้างเพื่อระลึกถึงทหารมองโกเลีย และโซเวียตที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 2

ตรงกลางอนุสรณ์สถานเป็นภาพวาดแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างโซเวียตและมองโกเลีย

ทั้งการสนับสนุนของโซเวียตในการประกาศอิสระภาพของมองโกเลีย ความพ่ายแพ้ของกองทัพญี่ปุ่นบนชายแดนมองโกเลีย และชัยชนะเหนือนาซีเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 2

ที่สำคัญที่เราเห็นได้ชัดจากอนุสรณ์สถานแห่งนี้คือ วิวเมืองอูลานบาตอร์

เห็นอะไรไกลๆนั่นไหมคะ อันนั้นไม่ใช่ก้อนเมฆนะคะ จากรูปอาจจะไม่ชัด แต่หากมองด้วยตาเปล่ามันชัดมาก มันคือฝุ่นควัน มลพิษ

ซึ่งเมืองหลวงของมองโกเลียแห่งนี้ คือเมืองที่เคยได้ชื่อว่ามีคุณภาพอากาศแย่ที่สุดในโลกอันดับ 1 ในปี 2562

ก็ไม่แย่เท่าไหร่นะ^^

วิวเมืองจริงๆค่ะ อูลานบาร์ตอร์เจริญกว่าที่เราคิดไว้ก่อนมานะ

ได้เวลาลิ้มลองอาหารพื้นเมืองของอูลานบาตอร์แล้วมาดูกันค่ะ ว่าอาหารจะเป็นลักษณะแบบไหน

ดูแต่ละจานหน้าตาดีพอสมควรค่ะ แต่จานค่อนข้างใหญ่มาก

จะเนื้อแกะ เนื้อแพะเอามาให้หมด

ต้องสั่งแบบไม่เหมือนกันแยกๆกันสั่งแล้วเอามาแบ่งกันกินค่ะ

ไกด์ได้พาเรามาร้านอาหารแบบพื้นเมืองที่ถือว่าร้านใหญ่ดูดีเลยที่เดียว อันนี้ขนมปังกับเนยแบบการิก อร่อยกว่าหน้าตา

หลังจากอิ่มแล้ววันนี้เราจะเดินเล่นในเมืองกันค่ะ แต่ก่อนจะเดินเล่นไกด์จะพาเราไปเช็คอินกันก่อนจากร้านอาหารสามารถเดินไปที่โรงแรมได้เลยค่ะ

ที่พักที่จองไว้ค่อนข้างสะดวกเป็นทั้งแบบโรงแรม และโฮสเทลค่ะ

โลเคชั่นคือสามารถเดินทะลุไปจตุรัสกลางเมืองซุกบาทา (Genghis Khan Square) ได้เลย

ในย่านนี้จะมีทั้งห้าง ซุปเปอร์มาร์เก็ต และร้านอาหารมากมาย เราได้ทำการจองแบบโฮสเทลแบบห้องรวมไว้ ในห้องมีทั้งหมด 9 เตียงเราเลยทำการจองแบบเหมาห้องเลย ซึ่งเราจะพักที่นี่ 2 คืนค่ะ ราคาน่าจะเฉลี่ยอยู่ที่คนละสองร้อยกว่าบาท รวมอาหารเช้าแล้วด้วย

ได้เวลาออกเดินเล่นช้อปปิ้งค่ะ แต่ก่อนอื่นที่ต้องทำคือการแลกเงินเพราะ ในเมืองส่วนใหญ่จะไม่ได้รับเงินหยวนแล้ว ดังนั้นจะต้องไปแลกเงินก่อนซึ่งสามารถแลกได้ที่ธนาคารได้เลย ธนาคารอยู่ใต้ตึกที่พักเราเองค่ะ

เราคิดว่าเราอยู่ที่นี่แค่วันนี้กับพรุ่งนี้เลยคิดว่าน่าจะใช้เงินจ่ายอะไรไม่เยอะ ดังนั้นเราแลกเงินมาแค่ 39,550 ทุกรุก ค่าเงินมองโกเลียจะเรียกว่าทุกรุกค่ะ Tugrik ตอนนับเงินในมือนี่เป็นหมื่น แต่เมื่อคิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 400 กว่าบาทเองนะคะ เพราะที่นี่ค่าครองชีพจะค่อนข้างถูกมากเลยค่ะ

บรรยากาศที่จตุรัสซุกบาทาจะค่อนข้างครึกครื้นนะคะ ก่อนมาได้ศึกษาว่าที่นี่ฤดูหนาวจะค่อนข้างเงียบเหงาเพราะส่วนใหญ่ผู้คนจะใช้ชีวิตในตัวอาคารอันเนื่องมาจากสภาพอากาศที่หนาวเย็น แต่ไม่เหมือนที่คิดไว้เลย

ผู้คนที่จตุรัสออกมานั่งเล่น เดินเล่น ยืนพูดคุยกันแบบไม่ได้สะทกสะท้านกับอากาศ ต่างจากเรา 8 ชีวิตที่ยื่นสั่นอยู่ ช่วงที่มาจตุรัสแห่งนี้มีเค้าได้มีการนำน้ำแข็งมาวางเป็นไสด์เดอร์ค่ะ หนาวขนาดไหนดูได้จากการเอาน้ำแข็งมาวางให้เล่นสไลด์โดยไม่มีการละลายใดๆ

ตรงจตุรัสช่วงที่ไปให้อารมณ์เหมือนลานกิจกรรมค่ะ

มีน้องเด็กๆมองโกเลียเข้ามาทักทายด้วย คนที่นี่น่ารักค่ะ ยิ้มแย้มทักทาย ตอนแรกๆเราจะเขินๆหน่อยเพราะเดินไปทางไหนก็มีแต่คนมอง อาจจะเพราะทุกคนถือกล้องเห็นได้ชัดว่าเป็นนักท่องเที่ยว พอเดินไปโน่นนี่สักพักก็เริ่มชินเราเดินผ่านผู้คนก็ทักทายเค้าก็น่ารักยิ้มทักกลับ

เดินเล่นกันจินหิวโหย หนาวๆแบบนี้ขอชาบูสไตล์มองโกเป็นอุ่นๆร้อนๆสักหน่อย จากจตุรัสเดินมานิดหน่อยก็จะเจอห้างสรรพสินค้าติดๆกันเลยค่ะ ร้านชาบูร้านนี้ใหญ่โตมาก อย่างแรกเมื่อมาถึงเราต้องฝากเสื้อโค้ทตัวนอกกันก่อนเพราะต้องใช้อีกหลายวัน จะเหม็นไม่ได้

หน้าตาชาบูที่นี่ค่ะ เด็ดเว้ออออ เป็นแบบสั่งเอานะคะ แต่สำหรับพวกน้ำจิ้มให้ไปตักเองตามใจชอบค่ะ หน้าตาน้ำจิ้มจะแปลกๆหน่อย อะไรก็ไม่รู้แหละตักๆปรุ่งๆผสมกันชิมแล้วอร่อยก็พอเนาะ

หลังจากอิ่มจนล้นแล้วถึงเวลาลุ้น…ลุ้นว่าค่าเสียหายจะเท่าไหร่ บิลมาแทบช็อค ราคาถูกมากกกก.. ตามที่รู้กันอยู่แล้วว่าค่าครองชีพที่นี่ไม่สูงเลยแต่ก็ยังแอบตกใจอยู่ดี กินกันแบบทั้งเนื้อทุกอย่างแบบเล่นใหญ่มาก เครื่องดื่มทั้งเบียร์ทั้งน้ำชา น้ำโน่นนี่ ตกคนละสามร้อยกว่าบาท

ออกมาจากร้านปุ๊บแทบอยากจะแก้เสื้อสเวเตอร์ทิ้ง กลื่นชาบูติดตัวแบบรุนแรงมาก โอ้ววว หลังจากนี้จะใช้ชีวิตยังไงเนี้ย ดีนะที่พกที่ฉีดดับกลิ่นเสื้อผ้ามาจากไทยเพราะรู้ว่าจะต้องเจอเรื่องนี้^^

ถึงเวลากลับไปพักผ่อนกันแล้ว ระหว่างเดินกลับที่พัก ซึ่งต้องผ่านตรงจตุรัสซุกบาทาอีกครั้ง

แวะเล่นเปียโนซักหน่อย

อ้อ นี่ค่ะ เห็นอะไรกลางสี่แยกไหมคะ คุณตำรวจยืนโบกรถกันแบบนี้แทนไฟแดงเลยค่ะ มีแท่นให้ขึ้นไปยืนด้วยแปลกตาดีค่ะ

เอะๆลานไอซ์สเก็ตตรงจตุรัสกลางเมือง ยกน้ำแข็งมาไว้กลางเมืองเพือทำลานสกีค่ะ นั่งมองกันเพลินๆ เหล่าสมาชิกหันมองหน้ากันเป็นอันตกลง ลองเล่นกันดูค่ะ ระหว่างที่ยืนมองดูเหล่าวัยรุ่นเล่นกันอย่างโหด

อย่างโหดที่ว่าเนี้ยคือเล่นเก่งมากทั้งแบบถอยหลังหมุนตัว เราต้องไปโชว์ให้เด็กมันดูแล้วค่ะ ทุกคนไปที่ห้องขายตั๋วที่เหมือนตุ็คอนเทนเนอร์เล็กๆข้างลานสเก็ต ตกลงราคากันแบบ งงๆ ตกใจอีกแล้วค่าเล่นรวมรองเท้าสเก็ตคนละ 30 บาทถ้วน

ถึงเวลาลงสนาม สำหรับคนที่เล่นไม่เก่ง หรือยังไม่เคยเล่นจะค่อยๆไถ่ๆไปในทางเดียวกันโดยเกาะขอบลานที่ทำด้วยน้ำแข็งค่ะ สำหรับคนที่อยู่ระดับขั้นโปรแบบเราแน่นอน….. เกาะอยู่ขอบสิคะ 555 ถือว่านี่เป็นครั้งแรกของเราที่เล่นไอซ์สเก็ต แน่นอนว่าทั้งล้ม ทั้งก้นกระแทก แต่สนุกดีค่ะ เหล่าวัยรุ่นที่เล่นกันแบบโปรมองกลุ่มพวกเราจะหัวเรากันคิกๆคักๆเลย 555

เราล้มไปนับครั้งแทบไม่ถ้วน บอกเลยว่าคุกเข่าเป็นว่าเล่น เหล่าวัยรุ่นที่เล่นๆกันอยู่ก็มาช่วยประคองเราหลายทีเลยค่ะ เค้าน่าจะสงสาร หนาวก็หนาว สนุกก็สนุก

ได้เวลาเดินกลับที่พัก พออาบน้ำอุ่นเท่านั้นแหละเห็นร่องรอยที่ได้มาจากไอซ์สเก็ตเลยค่ะ แดงเป็นจ้ำๆ

เช้าแล้ว วันนี้โปรแกรมของเราคือไปวัด และเดินช้อปปิ้งเสบียงก่อนที่ไกด์คนเดิม พร้อมรถจะมารับพวกเราช่วงบ่ายเพื่อที่จะไปนั่งรถไฟต่อไปยังรัสเซียค่ะ

Gandantegchinlen Monastery จะเรียกว่าวัดก็ไม่ถูกนักนะคะ เป็นเหมือนสำนักสงฆ์แบบทิเบตค่ะที่นี่จะมีค่าเข้าชมสถานที่ด้วยนะคะ สำหรับนักท่องเที่ยวค่ะ แต่สำหรับคนที่นี่ฟรีค่ะ

ที่นี่นักท่องเที่ยวชาวเกาหลีเยอะมากค่ะ เหมือนสถานที่นิยมสำหรับนักท่องเที่ยวค่ะ

เราเข้ามาชมด้านในของตัววิหารหลักด้วยแต่ด้านในไม่ให้ถ่ายรูปนะคะ ถ้าจะถ่ายรูปเสียตังเพิ่มค่ะ

เคยได้ยินกันไหมคะว่าที่มองโกเลียนี่รถทุกคันคือแท๊กซี่ อันนี้จริงค่ะ แต่อีกอย่างที่ต้องรู้คือเรื่องการต่อรองราคาสำหรับนักท่องเที่ยวแบบเราอย่าลืมต่อรองราคาเด็ดขาดนะคะ หากเป็นไปได้ให้เตรียมเงินจ่ายแบบพอดีอย่าจ่ายแบงค์ใหญ่แล้วหวังว่าเค้าจะทอนเรานะคะ และอย่าลืมย้ำเรื่องราคากับคนขับด้วยนะคะ

เราเจอมาแล้วด้วยที่เรามากัน 8 คน ต้องแยกนั่งแท็กซี่กันคนละคัน ก่อนขึ้นตกลงราคาเรียบร้อย พอลงรถแค่นั้นแหละจ่าเยแบงค์ให้ไป คนขับตีมึนค่ะ แล้วบอกว่าพอดี ออกรถไปเลย งง เลยค่ะ แต่ดีนะคะที่ไม่แพงมาก พอมาคุยกับเพื่อนที่นั่งมาอีกคันคนขับเค้าเก็บตังตามที่ตกลงไปเป๊ะ กลายเป็นคันของเราโกงเราซะงั้น อันนี้เราคิดว่าจะไม่ได้เป็นกันทุกคนนะคะ แค่อยากให้ระวังไว้เท่านั้นเองค่ะ ไม่งั้นเราจะนอยด์เที่ยวไม่สนุกค่ะ ^^

ก่อนกลับได้เวลาแวะซื้อเสบียงตุนไว้สำหรับนั่งรถไฟจาก อูลานบาตอร์-เอียร์คุตส์ รัสเซียค่ะ ซึ่งบ่ายวันนี้เราจะต้องเซย์กู๊ดบายมองโกเลียกันแล้วค่ะ เหมือนที่เราบอกว่าโลเคชั่นที่พักดีมาก ข้างหน้าติดกับซุปเปอร์มาเก็ตเลยค่ะ เราเดินเพลินมากอะ เพราะของทั้งถูกทั้งน่ากินไปหมด อย่างที่บอกว่าที่นี่รับเกาหลีมาเยอะดังนั้นทั้งขนมเกาหลี มาม่าเกาหลี สาหร่ายเกาหลี คิมบับเกาหลีเยอะมาก และขนมของที่นี่ก็มาจากเกาหลีเยอะมากราคาถูกกว่าที่บ้านเราเยอะเลย

แลกเงินมานิดเดียวแต่ไม่เป็นปัญหาเพราะเรามีบัตรเครดิต 555 เสียดายมีเวลาซื้อของแค่ ชม. เดียวเพราะนัดคุณไกด์กับรถไว้

คุณไกด์มาส่งพวกเราที่สถานีรถไฟ

พร้อมทั้งช่วยหาตู้โบกี้ที่เราจองไว้คุณไกด์คอยดูเราจนวินาทีสุดท้ายจริงๆค่ะ เค้าน่ารักมาก เหมือนคุณพ่อที่พาเหล่าลูกๆทั้ง 8 ไปเที่ยวแล้วมาส่งกลับบ้านน่ะค่ะ

ของเยอะแยะเต็มไปหมดค่ะ ตอนมานี่กระเป๋าใบเดียวเองนะ

เช็คอิน เช็คพาสปอร์ตกับเจ้าหน้าที่นายสถานีเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาบอกลา อูลานบาร์ตอร์ ที่นี่มีทุกอย่างทั้งความเป็นธรรมชาติของทั้งผู้คน อาหาร ของกิน เรียบง่าย เวลาเพียงแค่ 4 วัน 3 คืนกับที่มองโกเลีย บอกได้เลยว่า “มองโกเลีย ฉันจะกลับมา”

แต่ตอนนี้ตื่นเต้นกับสิ่งที่เรากำลังจะไปหาดีกว่า สถานที่ๆเรากำลังจะเดินทางไปหา พอคิดถึงชื่อนี้ทุกครั้งก็รู้สึกพราวในตัวเองอย่างบอกไม่ถูกว่า “เรากำลังจะเดินทางไปไซบีเรีย” โดยรถไฟสายทรานไซบีเรีย….เราจะไปหาทะเลสาบน้ำจืดที่ลึกที่สุดในโลก “ไบคาล” แต่ต่อให้ลึกที่สุดก็สามารถแข็งเป็นน้ำแข็งจนรถลงไปวิ่งได้ …….ติดตามตอนสุดท้ายได้นะคะ เร็วๆนี้ค่ะ

 

FROM BEIJING TO SAIBERIA EP.1/3 ทริปสุดท้ายก่อนโควิด

“จากปักกิ่งถึงไซบีเรีย ทริปสุดท้ายก่อนโควิด” การนั่งรถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย คงเป็นเส้นทางในฝันของใครหลายๆคน การที่จะเดินทางในเส้นทางนี้อาจจะไม่ได้ง่ายเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะสำหรับพนักงานประจำแบบเราๆ จริงไหมคะ ก็เพราะต้องใช้เวลาในการเดินทางครั้งนี้มากพอสมควร ซึ่งสำหรับเราแล้วหากมีความกล้าพอที่จะเดินถือไปลาไปหาหัวหน้าแล้วล่ะก็ ลุยสิค่ะ…

การเดินทางครั้งนี้เราใช้เวลาทั้งหมดในการเดินทาง 12 วัน ผู้ร่วมเดินทาง 8 ชีวิต ปลายทางสิ้นสุดที่ทะเลสาบสาบน้ำจืดที่ลึก และเก่าแก่ที่สุดในโลก “ไบคาล Baikal” แพลนการเดินทางคร่าวๆคือบินลงปักกิ่ง เที่ยวปักกิ่ง 2 วัน นั่งรถไฟสายทรานส์มองโกเลีย จากปักกิ่ง-อูลานบาตอร์(มองโกเลีย) เที่ยวมองโกเลีย 2 วัน นั่งรถไฟต่อจากอูลานบาตอร์(มองโกเลีย)-อีร์คุตสค์(รัสเซีย) *รถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย เที่ยวทะเลสาบไบคาล 2 คืน บินกลับสุวรรณภูมิ เป็นไงคะแพลนการเดินทางแน่นสุดๆไปเลยใช่ไหมล่ะ…

เริ่มออกเดินทางไปด้วยกันค่ะ^^

เราบินจากสนามบินดอนเมือง โดยสายการบินแอร์เอเชีย Airasia ตอนบ่ายครึ่งไปยังเมืองปักกิ่ง (Beijing Capital City 北京) โดยที่ตัวเราเองพึ่งรู้ก่อนการเดินทางไม่นานว่าไฟล์ที่เราบินนั้นไม่ใช้ไฟล์บินตรง แต่ต้องแวะเปลี่ยนเครื่องที่กัวลาลัมเปอร์(มาเลเซีย) ห๊ะ..อะไรนะ เห็นว่ามีบินตรงทั้งฉางซา, ฉงชิ่ง, คุณหมิง แต่ทำไมหนอ เมืองใหญ่อย่างปักกิ่งนั้นไม่มี ที่เอะใจก็เพราะตั๋วที่ได้บินตั้งแต่ 13.30 กว่าจะถึงปักกิ่งก็ตีหนึ่งของอีกวัน

เอะยังไง ปกติครั้งที่แล้วไปเฉิงตูไม่น่าเกิน 3 ชม. แต่นี่ปักกิ่งเหนือเฉิงตูไปไม่เยอะทำไมใช้เวลาเดินทางทั้งวัน ถึงบางอ้อตรงที่กัวลาลัมเปอร์ที่ไปเปลี่ยนเครื่องนั้นอยู่ข้างล่างไทยลงไปอีก โอ้วว..นั่นหมายถึงจากกรุงเทพไปปักกิ่งหายไปแล้ว 1 วัน

แลนด์ถึงปักกิ่งก็ตีหนึ่งกว่า เหล่าสมาชิกหาอะไรรองท้อง เตรียมหาที่ซุกหัวนอนที่สนามบินเพื่อรอรถไฟเข้าเมืองแต่เช้าค่ะ อันนี้คือภาพมื้อแรกของเราในปักกิ่งค่ะ ฝากท้องไว้กับอาหารมินิมาร์ทที่สนามบินค่ะ

จากสนามบินเราใช้การเดินทางโดยรถไฟฟ้าเข้าเมือง และเพื่อไม่เป็นการเสียเวลาที่เรามีอยู่น้อยนิด วันนี้เราจะฝากกระเป๋าไว้กับที่พักก่อน และออกไปเที่ยวนอกเมืองกันเลย

มีเรื่องเล่าประสบการณ์กระเป๋าแตกที่สายพาน ระหว่างรอรับกระเป๋ามีกระเป๋าผู้ร่วมทริปแตกจ้า จึงเดินไปหาเค้าเตอร์ตรงสายพานค่ะ(ยังไม่ผ่านศุลกากรออกไปข้างนอก) แจ้งเจ้าหน้าที่เค้าตรงนั้นเลย จากนั้นไม่นาน..เค้าให้กระเป๋าลากใบใหม่มาเลย ใหญ่กว่าเดิมค่าา..

ลากกระเป๋าไปที่พักแต่เช้าเลย

ช่วงเวลาที่เดินไปที่พักเป็นช่วงเวลาเช้า ผู้คนเดินสวนกันอยู่ตลอด สองข้างทางที่ผ่านมามีแต่ร้านขายซาลาเปาเต็มไปหมด ช่วงเวลาเช้าๆแบบนี้ทุกคนที่นี่ต้องรีบไปทำงานค่ะ จะดูค่อนข้างวุ่นวาย

จากสถานีมาที่พักเดินไกลใช้ได้ค่ะ แต่เราเลือกกันมาแล้วว่าเป็นที่พักเดียวที่ใกล้สถานีนี้ที่สุด และสภาพดีที่สุด เดินไกลและทุลักทุเลหน่อย เพราะทุกคนมีกระเป๋าใบโตอยู่ค่ะ ที่สำคัญสำหรับกระเป๋าที่เค้าให้จากการเคลมมาเพิ่มหนึ่งใบ ณ ตอนนี้เริ่มคิดว่าเป็นภาระแล้ว555

ที่พักเราเลือกพักที่เดิม 2 คืน ใกล้สถานีรถไฟ (Beijing Railway Station) เนื่องจากเราจะเดินทางต่อไปยังมองโกเลียโดยรถไฟสายทรานส์มองโกเลีย (Trans Mongolian)

และมีสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินใกล้ๆเดินทางสะดวก สถานที่แรกไม่พ้นกำแพงเมืองจีน หนึ่งสัญลักษณ์ของปักกิ่ง ถ้าไม่เยือนก็จะเหมือนไปไม่ถึง บรรยากาศช่วงใกล้เทศกาลตรุษจีนนี่ก็ดีนะคะ รู้สึกเหมือนเมืองมีชีวิตชีวาดีค่ะ ^^

ก่อนมาเราเช็คข้อมูล พร้อมเตรียมการเดินทางมาอย่างดี แต่กว่าจะเลือกได้ว่าจะไปกำแพงเมืองจีนด่านไหนนั้นเป็นเรื่องยากที่สุดนั่นก็เพราะกำแพงเมืองจีนนั้นมีจุดไฮไลท์หลายจุด(ป้อมกำแพงเมือง) จะเรียกว่าด่าน ซึ่งแต่ละด่านจะอยู่ห่างจากตัวเมืองปักกิ่งไปพอสมควร 1-2-3-4 ชั่วโมง

ยิ่งหาข้อมูล ก็จะยิ่งรู้ว่าด่านที่สวยๆ จะเป็นด่านที่ค่อนข้างไกลเมืองปักกิ่ง แต่เราต้องเผื่อเวลากลับด้วย เพราะช่วงที่เราเดินทางเป็นช่วงหน้าหนาวจะมืดเร็ว และหนาว อ้อ..เราลืมบอกไปว่าช่วงที่เดินทางเป็นช่วงปลายเดือน มกรา 2563 สำคัญที่สุดคือก่อนวันตรุษจีนเพียงไม่กี่วันอันนี้สำคัญอีกเรื่องเพราะทุกคนที่เรารู้จักต่างบอกว่าให้เลี่ยงการเดินทางช่วงนี้ แต่เราเลือกไม่ได้เพราะช่วงเวลาที่เราลาพักร้อนได้มันตรงช่วงนี้เท่านั้น เอาเป็นว่าลองสัมผัสประสบการณ์การเดินทางในช่วงวันหยุดยาวตรุษจีนในประเทศจีนสักครั้ง^^

การตัดสินใจจึงจบที่กำแพงเมืองจีนด่านมู่เถียนยวี่ (Mutianyu 慕田峪长城) ที่ห่างจากตัวเมืองปักกิ่งสัก 2 ชั่วโมงได้ค่ะ เหตุผลที่เลือกคือเป็นด่านที่สมบูรณ์ที่สุด วิวสวย เดินทางง่ายไม่ไกลจากตัวเมืองค่ะ

จากที่พักเราเดินมาขึ้นรถไฟใต้ดิน หากมากันหลายๆคนเราแนะนำให้ซื้อเป็นบัตร IC Card เพื่อความรวดเร็ว ที่ต้องบอกแบบนี้ก็เพราะที่นี่ประชากรของเค้าเยอะมาก ส่วนใหญ่จะใช้การเดินทางโดยรถสาธารณะ ในแต่ละวินาทีคนเดินสวนไปสวนมาชุนละมุนสุดๆค่ะ ความหนาแน่นของผู้คนเหมือนสถานีสยามช่วงเช้าๆเลย แต่ระบบการขนส่งเค้าดีค่ะ เราไม่เคยได้ยืนรอรถไฟนานเลย สังเกตุได้จากคนที่ยืนรอคิวแต่ละสถานีแถวไม่เคยยาวเลยต่อให้คนเดินทางจะเยอะขนาดไหน นั่นก็เพราะมีรถไฟวิ่งมาตลอดค่ะ

 

อันนี้บรรยากาศหน้าสถานีค่ะ คนรอเข้าไปด้านในสถานียืนตากแดดคลายหนาว

บัตร IC เหมือนบัตร Rabbit ที่เติมเงินลงไปในบัตร และมีค่ามัดจำบัตร หากเราคืนบัตรก็สามารถรับเงินมัดจำคืนได้ ข้อดีคือ สะดวกง่าย รวดเร็ว มีส่วนลดสำหรับการขึ้นรถบัส ข้อเสียคือ จุดคืนบัตร จะไม่ได้มีทุกสถานีเหมือน BTS บ้านเรา จะมีเฉพาะสถานีใหญ่ๆค่ะ พอดีกับสถานีที่เราใช้สามารถคืนบัตรได้พอดีเลยค่ะ เรานั่งรถไฟไปลงที่สถานี ตงจื่อเหมิน (Dongzhimen 东直门) เพื่อที่จะไปต่อรถบัสสาย 916 ออกไปนอกเมือง

แต่รถบัสคันนี้ไม่ได้ไปถึงด่านมู่เทียนยวี่นะคะ ชมบรรยากาศข้างทางเพลินๆค่ะ ได้ฟิวช่วงตรุษจีนเลยค่ะ

ตอนแรกตั้งใจจะต่อแท๊กซี่ แต่พอดีมีคุณลุงขับรถรับจ้างมายื่นข้อเสนอรถแวน 1 คันนั่งได้ครบ 8 คนเลย ราคารับได้เราเลยตกลงค่ะ แต่ก็ต่อรองกันอยู่นานเพราะเราอยากทำเวลา เลยต่อรองราคาทั้งขาไป คุณลุงจะรอรับเรากลับมาส่งที่เดิมด้วยค่ะ

นั่งมาไม่นานสัก 15 นาทีได้ก็ถึงด่านมู่เทียนยวี่ จังหวะนี้สำคัญค่ะ เพราะตรงลานจอดรถที่คุณลุงพามาจอดอยู่ด้านนอกซึ่งตรงจุดนี้มีพนักงานนั่งขายตั๋วใช้ภาษาอังกฤษได้ดี แนะนำตั๋วสำหรับเข้าด่านกำแพงเมืองจีน กลุ่มเรากังวลกันมากเพราะกลัวว่าหากซื้อจากตรงนี้กลัวว่าตั๋วจะใช้ไม่ได้ และกลัวว่าราคาจะแพงกว่า คุณขายตั๋วก็ยืนยันว่าทุกอย่างเหมือนกัน เดินไปเช็คตรงห้องขายตั๋วด้านในได้

เราตัดสินใจว่าจะไปซื้อตั๋วข้างใน แต่…คุณลุงคนขับรถจะไม่สามารถจอดรถเพื่อรอรับเราขากลับที่ลานได้ต้องเสียค่าที่จอดรถเพื่อรอเรา เอะ!! เหมือนบังคับเราซื้อตั๋วเค้านะ เอาก็เอาถ้าเค้าการันตีว่าตั๋วใช้ได้ ราคาเท่ากัน ฟังดูก็ไม่เสียหาย เลยตกลงซื้อตั๋วจากตรงนี้

จากบริเวณจุดจอดรถด้านนอก เดินข้ามถนนไปนิดเดียวก็จะถึง Information Center ค่ะ ตรงด้านหน้าจะมีห้องน้ำอยู่ค่ะ พอผ่านซุ้มประตูไปจะมีร้านค้าเต็มไปหมด ส่วนใหญ่เป็นร้านอาหาร และร้านขายพวกของที่ระลึกพวกหมวกไหมพรมหมีแพนด้า เสื้อผ้า ผ้าพันคอต่างๆค่ะ เราแนะนำว่าหากมีเวลาให้ทานอะไรจากตรงจุดนี้ไปก่อนนะคะ เพราะด้านบนกำแพงเมืองจีนนี่อาจจะใช้แรงเดินพอสมควรค่ะ ถึงเวลาขึ้นกำแพงเมืองแล้วค่ะ

ตั๋วที่กำแพงเมืองจีนพูดง่ายๆคือแบ่งเป็น 3 ส่วน

1. ค่าบัตรผ่านเข้าชม

2. ค่ารถ Shuttle bus (จากจุดจำหน่ายตั๋วเข้าไปยังบริเวณกำแพงเมืองจีน)

3. ค่าเดินทางอื่นๆเพิ่มเติม แบ่งเป็น 2 แบบคือ การขึ้นกระเช้า-ลงกระเช้า(Cable car) และการขึ้นกระเช้า(Cable car)-ลงสไลด์เดอร์(Toboggan) *อันนี้ต้องตัดสินใจให้ดีแต่แรกนะคะ เพราะตั๋วใช้ร่วมกันไม่ได้ค่ะ

จุดแรกคือการนั่งรถบัสเพื่อไปยังบริเวณกำแพงเมืองค่ะ เข้าไปต่อคิวได้เลย Shuttle bus จะเป็นแบบวนค่ะมาเป็นรอบๆ ยื่นตั๋วให้เค้าเจาะได้เลยค่ะ

นั่งรถขึ้นเนินมากหลายทีเหมือนกันค่ะ สองข้างทางก็จะมีหิมะนิดๆหน่อยๆ

ตรงจุดจอดรถบัส เดินขึ้นมาจะมาเจอแผนที่การเดินทางบริเวณกำแพงค่ะ

เราเลือกซื้อการเดินทางแบบ ขึ้นกระเช้า (Cable car) ลงสไลเดอร์ (Toboggan) กระเช้าที่ได้จะเป็นแบบห้อยขาค่ะ มีที่ล็อคตรงเอว ปลอดภัยสบายใจได้ นั่งได้ประมาณ 2 คนกำลังดีค่ะ

ตอนขึ้น-ลงกระเช้านี่จะตื่นเต้นหน่อยนะคะ เพราะตัวกระเช้าจะไม่ได้หยุดให้รอเราขึ้นลงแบบหยุดสนิทค่ะ เราจะต้องรีบกระโดดขึ้นลงตามจังหวะค่ะ จะมีเจ้าหน้าที่คอยจับตัวเราอารมณ์เหมือนจับตัวเราโยนขึ้นไปตรงที่นั่งน่ะค่ะ^^

บรรยากาศช่วงปลายเดือนมกราจะแห้งๆหน่อยค่ะ มีเขียวๆนิดๆ บวกกับความขาวๆของหิมะหากได้ตอนหิมะโปรยปรายนี่จะเยี่ยมมากเลยค่ะ

ระหว่างนั่งกระเช้าขึ้นมาจะเห็นเค้าเล่นสไลเดอร์ (Toboggan) กันอยู่ข้างล่างอย่างชัดเจนค่ะ ดูน่าสนุก

พอถึงด้านบนแล้วเราต้องเลือกให้ดีค่ะว่าจะไปทางซ้ายหรือขวา เพราะค่อนข้างเดินไกลอยู่นะคะ แถมเราต้องกลับมาที่เดิมเพื่อนั่งสไลเดอร์ขากลับลงไปค่ะ

อย่างแรกทำให้เราแปลกใจสุดๆเมื่อขึ้นมาถึงนั่นก็คือผู้คนน้อยมาก น้อยกว่าที่คิดไว้เยอะเลยจากที่เช็คข้อมูลมาว่าช่วงใกล้ตรุษจีนนักท่องเที่ยวที่มาที่นี่จะเยอะมากมหาศาล เลี่ยงได้ให้เลี่ยงแล้วทำไมเป็นเช่นนี้ล่ะ งง มาก

แต่ใจก็ก็คิดว่าดีแล้วจะได้ถ่ายรูปสวยๆ หารู้ไม่ว่ามีอะไรรอเราอยู่….

จากตรงนี้เราเดินเล่นไปเรื่อยๆค่ะ มีนักท่องเที่ยวต่างชาติด้วย

ดูความยาวไกลของกำแพงที่เห็นข้างหน้าสิคะ มองแล้วถอดใจ แต่วินาทีนั้นมีความรู้สึกทึ่งมากกค่ะ

ทึ่งที่ว่าสมัยนั้นเค้าสร้างสิ่งนี้ขึ้นมาได้ยังไงยิ่งใหญ่โตได้ขนาดนี้ คำถามนี้มีตั้งแต่ก่อนเดินทางมาถึง

จนกระทั่งวินาทีนั้นก็ยังอดคิดไม่ได้ว่าช่วงที่เค้าสร้างกำแพงเมืองจีนที่ยิ่งใหญ่นี้มันแลกมากับอะไรบ้างน้าาา….

พอมายืนตรงจุดนี้แล้ว…บรรยายความรู้สึกไม่ถูกจริงๆค่ะ

ได้เวลากลับลงไปข้างล่างโดยการนั่งสไลเดอร์ (Toboggan) ตอนแรกไม่คิดว่าจะอิน แต่ว่ามันดีค่ะ บอกเลยเพราะว่ารางสไลด์ยาวมากๆๆๆๆ บวกกับอากาศหนาวๆเย็นๆแล้วล่ะก็…

ที่นี่เค้าจะห้ามเหมือนๆกับที่อื่นๆนะคะ คือห้ามหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปขณะเล่น เราก็เลยถามคุณพนักงานหนึ่งทีว่าถ่ายวีดีโอล่ะ เค้าตอบ โน คุณพนักงานถามว่าเรามาจากไหน พอตอบว่าไทย เค้าพูดไทยใส่เลยน่าจะเจอชาวไทยมาเยอะ

ตรงจุดสิ้นสุดสิ้นสุดสไลเดอร์ก็คล้ายๆกับสถานที่ท่องเที่ยวโดยทั่วไปคือ ขายรูปภาพที่เค้าลั่นชัตเตอร์ระหว่าที่เราสไลด์ลงมาค่ะ ตอนกระเช้าขาขึ้นก็เช่นเดียวกันค่ะ แต่ข้อดีของการที่มีผู้ร่วมเดินทางเยอะคือให้เพื่อนถ่าย ไม่เสียตัง^^

ลงมาถึงข้างล่างได้เวลานั่งรถเข้าเมืองปักกิ่งค่ะ กว่าจะกลับลงมาก็บ่ายแก่ เกือบเย็นแล้วแสงเริ่มหมดแล้ว

หวังฝูจิ่ง (Wangfujing 王府井) เป็นถนนที่คึกคักมากแม้กระทั่งยามค่ำคืนค่ะ มีร้านค้า ร้านแบรนด์เนม ร้านอาหาร ขนมของฝากเต็มไปหมด รวมถึงร้านสตรีทฟู๊ดค่ะ

มาถึงที่นี่เราคงที่จะพลาดไม่ได้กับการลิ้มลองชาบูหมาล่า ตอนสั่งอาหารนี่เป็นอะไรที่วุ่นวายสุดๆค่ะ เพราะภาษา และความเยอะของเครื่องชาบูต่างๆ แต่ไม่ใช่เรื่องยากชี้ค่ะ ชี้เอา..

หน้าตาจะประมาณนี้ค่ะ ซึ่งตรงข้างๆหม้อที่เป็นร่องใส่น้ำซุปจะลึกมากค่ะ ไม่ต้องเติมน้ำซุปเลย เติมแค่ครั้งแรกทีเดียวอิ่ม

เมื่อเราเริ่มอิ่มกันแล้วจังหวะที่หันไปมองโต๊ะอื่นๆรอบข้าง จึงพึ่งรู้ว่าเราเป็นโต๊ะเดียวที่ ยืนกิน นั่นก็เพราะโต๊ะก็สูง หม้อก็สูง เราก็เตี้ย ยืนค่ะสบายที่สุด

ไปเดินย่อยกัน บรรยากาศตอนหน้าหนาวนี่ดีนะคะ ไม่มีความรู้สึกอะไรเลยเวลาเดินเล่น ไม่มีความรู้สึกอะไรแล้ว นอกจากหนาว^^

เห็นควันๆ อุ่นๆแปลกๆพุ่งตัวเข้าไปค่ะ ทั้งๆที่ท้องอิ่มแล้ว อันนี้เป็นโยเกิร์ตร้อนค่ะ อร่อยดี หอมมากค่ะ แต่ออกแปลกๆเพราะพึ่งเคยกินโยเกิร์ตร้อนครั้งแรก

ตามจุดต่างๆจะมีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ค่ะ ตามสไตล์เมืองจีนอะนะ ครั้งนี้มาพร้อมกับน้องหมาแสนดุดัน 555 (ดูจากหน้าดุดันไหมคะ) คือวินาทีนั้นทุกคนหนาวมากพอมองไปที่น้องหมาตำรวจไม่มีความรู้สึกหนาวใดๆ

หมดไปแล้วหนึ่งวัน เป็นวันที่เหนื่อยกันมากเพราะเดินทางนั่งเครื่องมาหนึ่งวันเต็มๆและออกไปเที่ยวนอกเมืองทั้งวัน พอกลับถึงห้องหลับเหมือนโดนทุบหัวเลยค่ะ พรุ่งนี้เช้าเราจะมีเวลาเที่ยวปักกิ่งอีกหนึ่งวันค่ะ

แพลนของวันนี้ คือพระราชวังฤดูร้อน > พระราชวังต้องห้าม > จตุรัสเทียนอันเหมิน > ถนนคนเดินเฉียนเหมิน เป็นไงล่ะคะ โปรแกรมแน่นมากวันนี้ แต่เราสู้ค่ะ เพราะได้กินอิ่มนอนอุ่นกันไปแล้ว หน้าตาทุกคนจะสดใสกว่าเมื่อวานเยอะ

ช่วงปลายมกราอุณภูมิช่วงที่ไปจะเป็นเลขตัวเดียวทุกวันเลยค่ะ และยิ่งวันนี้เที่ยวกันในเมืองเราเลยคิดว่าอากาศจะไม่หนาวมากเลยไม่ได้แต่งตัวจัดเต็มมากนักค่ะ แต่เริ่มกังวลเมื่อขึ้นรถไฟฟ้ามาแล้วเจอการแต่งกายของคนที่นี่

พระราชวังฤดูร้อนอี้เหอหยวน (Yiheyuan 颐和园) จะออกมาไกลหน่อยค่ะ นั่งรถไฟใต้ดินออกมาเกือบสุดสาย จากสถานีรถไฟสามารถเดินมาได้แต่ไกลหน่อยค่ะ พอมาถึงตรงจุดจำหน่ายตั๋วราคาจะมีหลายราคานะคะ ราคาจะมีทั้งแบบเหมา(คือเข้าได้หลายส่วนทั้งส่วนพิพิธภัณฑ์, และหอฝอเซียง Foxiangge 佛香阁; 佛香閣 และอื่นๆค่ะ) และราคาเฉพาะค่าเข้าอย่างเดียวก็มีค่ะ

เนื่องจากว่าด้านในจะพื้นที่ใหญ่โตมากเดินทั้งวันคงไม่หมด และเวลาที่เรามีนั้นค่อนข้างน้อย เราเลยเลือกเฉพาะเข้าพระราชวัง+ถนนตลาดซูโจว (Suzhoujie 苏州街) เราใช้วิธีเดินในพระราชวังแบบไม่มีจุดหมายค่ะ ใช้เซ้นส์ล้วนๆเลยค่ะ แบบประมาณว่าตรงโน่นสวย อะปะ ประมาณนี้ค่ะ

ถนนตลาดซูโจว (Suzhoujie 苏州街) อันนี้จะต้องใช้ตั๋วที่เราซื้อมาจากด้านหน้าด้วยนะคะ เราซื้อตั๋วโดยรวมค่าเข้าที่นี่แล้วค่ะ

หรือหากไม่ได้ซื้อมาจากข้างหน้าก็สามารถซื้อตั๋วจากตรงทางเข้าเมืองโบราณนี้ได้ด้วยเช่นเดียวกันค่ะ ช่วงที่ไปแม่น้ำข้างล่างเป็นน้ำแข็งหมดเลยค่ะ หนาวแค่ไหนให้รูปอธิบายนะคะ

เห็นที่เด็กๆกำลังเล่นกันอยู่ในลานน้ำแข็งไหมคะ ถ้าลงไปข้างล่างนั่นก็ต้องเสียตังอีกนะคะ

เก็บตังจุกจิกมากค่ะ พอรู้ว่าเสียตังเราก็เลยไม่ได้ลองกัน 555

จักรยานน้ำแข็งหลากสีสัน

จริงๆหากไม่อยากเสียตังค่าเข้าตรงจุดนี้สามารถมองจากด้านบนสะพานได้เลยค่ะ พื้นที่หมู่บ้านนี้ไม่ได้เยอะค่ะมองจากบนสะพานที่เห็นนี้ก็มองถึงครบทั้งหมู่บ้านแล้วค่ะ

แต่หากอยากลงมาถ่ายรูปใกล้ๆล่ะก็จะได้บรรยากาศไปอีกแบบค่ะ ออกจากตรงถนนตลาดซูโจวแล้วก็ไปเดินเล่นลัดเลาะไปตามทะเลสาบคุณหมิงค่ะ

ได้ยินชื่อไม่ผิดค่ะ ทะเลสาบคุณหมิงที่อยู่ที่ปักกิ่ง ระหว่างเดินเล่นจะรู้สึกได้ว่าทีนี่ค่อนข้างคึกคักมีผู้คนเยอะเลยค่ะ

นี่คือทะเลสาบจริงๆค่ะ มันหนาวจนเป็นน้ำแข็งเลย และตรงจุดที่กั้นรั้วเชือกนั่นก็ให้ลงไปเล่นในทะเลสาบได้ค่ะ แต่เสียตังนะ

ทะเลสาบแห่งนี้ไม่ได้เกิดจากธรรมชาตินะคะ แต่เกิดจากการสรรสร้างของมนุษย์ค่ะ สวยอลังยิ่งใหญ่สุดๆไปเลย

พื้นที่พระราชวังฤดูร้อนนี้ด้านในค่อนข้างพร้อมสำหรับนักท่องเที่ยวจริงๆค่ะ มีทั้งห้องน้ำตามจุดต่างๆ และร้านสะดวกซื้อด้านในเลยค่ะ ทั้งที่ผู้คนเยอะขนาดนี้ก็สามารถรองรับได้ค่ะ

หอฝอเซียง Foxiangge 佛香阁; 佛香閣 ถ้าจะเข้าไปด้านในเพื่อขึ้นไปชมวิวจากมุมสูงบนหอฝอเชียงจะต้องซื้อตั๋วนะคะ แต่ด้วยเวลาเราไม่พอ เราจำเป็นต้องลาจากพระราชวังฤดูร้อนและรีบกลับเข้าเมืองเพื่อไปต่อยังพระราชวังต้องห้าม (Gugong 故宫)

ก่อนมาได้ศึกษาข้อมูลมาสำหรับมุมที่ถ่ายรูปให้เห็นพระราชวังค่ะ ณ ตอนนั้นเราเริ่มร้อนรนแล้วเพราะจะพระราชวังต้องห้ามใกล้ปิดแล้ว

เก็บบรรยากาศระหว่างทางมาฝากด้วยค่ะ อันนี้ร้านขายของข้างทางค่ะ^^

ไปทางไหนก็จะมีความเป็นจีนจริงๆนะคะ เห็นโคมแดงตลอดเวลา

เร่งฝีเท้าค่ะ เดินไกลด้วยสิ^^

บรรยากาศระหว่างทางเดินที่รีบเร่งก็จะประมาณนี้ค่ะ อันนี้เป็นเสื้อกันลมกันหนาวใส่ตอนขี่มอเตอร์ไซต์ หรือจักรยานค่ะ

จะเจอหิมะอยู่ข้างทางเรื่อยๆตลอดทางเพราะนี่ฤดูหนาวปักกิ่ง

การเร่งฝีเท้าไม่เป็นผล เราอดที่จะได้เข้าพระราชวังต้องห้ามค่ะ เพราะคำนวนเวลาแล้วยังไงก็ไม่ทันจึงเลือกที่จะไปชมพระราชวังต้องห้ามจากมุมสูง พร้อมกับชมพระอาทิตย์ตกแทน

สวนจิงซาน (Jingshan 景山公园) ค่าเข้าน่าจะซัก 2-3 หยวน(4-5 บาท)

การจะได้เห็นภาพพระราชวังต้องห้ามแบบเต็มๆตาอาจจะต้องใช้ความพยายามหน่อย เพราะต้องขึ้นบันไดหลายขั้นมากกว่าจะได้มาถึงมุมนี้

และต้องแข่งกับเวลาเพื่อที่จะขึ้นไปให้ทันพระอาทิตย์ตกค่ะ มิสชั่นคอมพรีททททท…

ช่วงเวลาตอนขึ้นมาเราต่างถอดเสื้อที่ละชั้นพอถึงบนสุดและเห็นวิวแค่นั้นแหละหนาวขึ้นมาเลย ไม่ใช่อะไรหรอกนะคะลมแรงมว๊ากกก.. และวิวสวยมากจริงๆค่ะ

แต่วันนี้ยังไม่หมดวันได้เห็นพระราชวังต้องห้ามสมใจ เราไปต่อกันที่ จตุรัสเทียนอันเหมิน (Tiananmen 天安门) ซึ่งจะอยู่อีกด้านของพระราชวังค่ะ

จากตรงนี้เราจะให้การเดินทางโดยรถเมล์ค่ะ ซึ่งอาศัยถามชาวจีนว่ารถเมล์สายอะไรที่ผ่าน เค้าก็ชี้ที่หมายเลขรถบัสค่ะ อันนี้ง่ายไม่ยาก แต่…

เมื่อรถเมล์มาถึงรถเต็มค่าาา..แต่จะมีคุณลุงกระเป๋าตะโกนเรียกให้ขึ้น เอาก็เอาเบียดขึ้นไปให้ครบทั้ง 8 ให้ได้เท่านั้นพอ อืมมม..แน่นมากแทบจะกระดิกไม่ได้ค่ะ ข้อดีของการใช้บัตร IC ที่เราซื้อมาแค่แตะ ถ้ามาจ่ายตังทีละคนคงไม่ไหว เป็นช่วงเลิกงานพอดีค่ะรถติดใช้ได้เลย

จตุรัสเทียนอันเหมิน (Tiananmen 天安门) จุดอ่อนไหวจุดหนึ่งของปักกิ่ง

ตรงบริเวณนี้เราจะต้องผ่านการสแกนกระเป๋า ตรวจพาสปอร์ตสำหรับนั่งท่องเที่ยวค่ะ ค่อนข้างตรวจเข้มอยู่พอสมควรค่ะ พอพระอาทิตย์เริ่มใกล้ตกแล้วใครว่าในเมืองไม่หนาว อันนี้ไม่จริงค่ะ หนาวจับใจเพราะลมแรงมาก

ตอนที่เรามาถึงเป็นช่วงที่เค้ากำลังมีขบวนเอาธงลงพอดี ทำให้เราไม่สามารถข้ามไปยังลานจตุรัสตรงกลางถนน (ที่เห็นวิวตรงกลางรูปท่านประธานเหมา) ทุกจุดจะถูกกั้นไม่ให้ผ่าน รวมถึงถนนรถก็จะถูกกั้นไม่ให้วิ่งผ่านชั่วคราวค่ะ

ในทางกลับกันเราก็ดีใจที่ได้เห็นพิธีการเอาธงลง ดูขลัง ตื่นตาตื่นใจ จังหวะนั้นเหมือนทุกคนที่อยู่ตรงนั้นพร้อมใจก็เงียบกริบเลยค่ะ

ตรงนี้อยู่ได้ไม่นานเพราะหนาวมาก สถานที่สุดท้ายสำหรับการเที่ยวปักกิ่งแบบรวบรัดจะเป็น

ถนนคนเดินเฉียนเหมิน (Qianmen 前门) อันนี้เรียกได้ว่าชอบที่สุดค่ะ เพราะเป็นถนนที่มีซอกซอยเยอะมาก มีร้านค้า ร้านอาหาร สตรทฟู๊ดเยอะแยะไปหมด

สีสันสวยงามสุดๆเต็มไปด้วยของกิน

โคมแดงงงง

พอไปถึงนี่คือละลานตา สมาชิกทั้ง 8 แตกแยกกันไปคนละทางตามสิ่งที่ตัวเองชอบเลยค่ะ 555

เริ่มจากซุ้มประตูทางเข้าด้านหน้าค่ะ ไปหาอะไรกินกัน ลุย

มาถึงปักกิ่ง ก็ต้องกินเป็ดปักกิ่ง เพื่อนบอกไว้

ตอนแรกคิดว่าอันเล็กๆที่ไหนได้ อันใหญ่มากเลย บอกได้ว่าม้วนเดียวอิ่ม

อันนี้อร่อยค่ะ เป็นเหมือนหมูสับผัดใส่ต้นหอมแล้วเอามาราดกับเส้นหมี่ค่ะ ออกจะมันๆเลี่ยนๆหน่อยนะคะ แต่อร่อยดี

ปลาหมึกย่างหมาล่า…อันนี้คนขายเค้าจะถามเลเวลความเผ็ดก่อนนะคะ

แนะนำเนื้อเสียบไม้อันนี้เด็ดจริง

ส่วนของหวานก็คงไม่พ้น ผลไม้สดเคลือบน้ำตาลค่ะ มีผลไม้หลายอย่างเลยนะคะ ทั้งสตรอเบอรี่ กีวี่ ส้มค่ะ

ช่วงเวลาสำคัญที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง สิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นเต้าหู้เหม็นนนนน…แบบออริจินัลเลยนะเนี้ย พอเข้าปากปุ๊บ ลืมเต้าหู้เหม็นที่ทุกคนเคยเจอที่ไต้หวันไปเลยค่ะ อันนี้แหละของจริง^^

ขากลับพอดีเราเจอรถรางวิ่งมาตรงถนนเส้นกลางพอดีเลยค่ะ ตอนแรกนึกว่ารางอะไรอยู่บนถนน เฉลยให้แล้วค่ะ สำหรับ 2 วันที่ปักกิ่งตอนนี้….จบลงที่ค่ำคืนนี้ค่ะ

ต้องกลับที่พักเตรียมความพร้อมเก็บกระเป๋า เพื่อที่จะเดินทางไกลเพราะว่าวันพรุ่งนี้จะต้องไปขึ้นรถไฟแต่เช้าแปดโมงค่ะ เพื่อเดินทางจากปักกิ่ง-ไปอูลานบาตอร์ (มองโกเลีย) เราต้องไม่พลาด ทุกคนต้องท่องไว้ว่าเราจะไม่พลาดรถไฟเด็ดขาด เพราะถ้าพลาดแพลนทุกอย่างจะรวนหมดแน่นอน และรวมถึงราคาค่ารถไฟที่ไม่ธรรมดา เจ็ดพันกว่าบาท

ถามว่าราคานี้ทำไมไม่นั่งเครื่อง ราคานี้นั่งเครื่องสบายๆได้เลย ไม่ค่ะ ไม่ มันไม่ได้ฟิวส์ เพราะเรามาถึงนี่เพื่อมานั่งรถไฟสายทรานส์มองโกเลีย และทรานส์ไซบีเรีย ที่เป็นเส้นทางในฝันของเรานั่นเองค่ะ

ดังนั้นตีห้าทุกคนต้องพร้อม เช็คเอ้าท์ ที่ต้องเผื่อเวลาขนาดนี้เนื่องจากว่าเราไม่มีทางได้รู้เลยว่าจะสะดุดตรงไหนไหม ยิ่งการเดินจากที่พักมาสถานีรถไฟตอนตีห้าสภาพอากาศที่หนาวจัด สัมภาระ ที่ตอนนี้เรียกได้ว่าสัมภารกแสนรุงรัง รวมถึงความกลัวที่ 8 ชีวิตจะไม่มีอะไรกินบนรถไฟ ทุกคนพากันซื้อข้าวของเพื่อตุนไปกินบนรถไฟทั้งน้ำเป็นลิตรๆ ทิชชู ขนม มาม่า นม เยอะแยะเต็มไปหมด ที่จริงคือกลัวราคาแพงมากกว่า 555

หน้าสถานีตรงจุดนี้ไม่เคยหลับไหลเลยจริงๆ คึกคักอยู่ตลอดไม่เคยที่จะผ่านมาตรงนี้แล้วคนน้อยเลย ได้เวลาอันสมควรเดินต่อแถวกันเข้าไปเพื่อเช็คอินตั๋ว พร้อมโชว์พาสปอร์ต โดยความหวังว่าจะไม่มีอะไรเซอร์ไพร์เราตอนนี้นะ ความรู้สึกตอนนี้นั้น สำหรับสองวันที่ผ่านมาเป็นเพียงแค่การเรียกน้ำย่อย สิ่งที่รออยู่ข้างหน้าต่างหากคือของจริง

การเดินทางที่แท้จริงกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้วนับจากเวลานี้…..แล้วเจอกันบนรถไฟ Trans Mongolian >>

EP 2/3 >>> FROM BEIJING TO SAIBERIA EP. 2/3 ทริปสุดท้ายก่อนโควิด
(มองโกเลีย…ดินแดนแห่งที่ราบ และความหนาว)

 

 

 

 

 

หย่าเฉิน การ์ l ཡ་ཆེན་སྒར་ l Yarchen Gar Monastery สถาบันพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของโลก

ไปสัมผัสความศรัธาที่หย่าเฉิน การ์ หรือยาเชน การ์ เมื่อพูดถึงคงน้อยคนนักที่จะรู้จัก และไม่ง่ายเลยที่จะเดินทางไปถึง สถาบันพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอันดับ 2 แห่งนี้ เป็นรองจากลาลุงการ์ Larung Gar การจะเดินทางไปทั้ง 2 สถานที่แห่งนี้ค่อนข้างลำบาก(ไม่ใช่เพียงเพราะการเดินทางแต่เป็นเรื่องของความอ่อนไหวของสถานที่ และความปลอดภัยที่ไม่สะดวกกับนักท่องเที่ยวแบบเรา) ก่อนอื่นจะขออนุญาติใช้คำง่ายๆเข้าใจได้ ในการเขียนบทความครั้งนี้นะคะ..^^

การเดินทางของเรา เริ่มจากการบินไปลงเมืองเฉิงตู(ที่คิดว่าใกล้ที่สุด) มณฑลเสฉวน จากนั้นใช้เวลานั่งรถบัสประจำทางเกือบสองวันเต็มๆ แค่คิดก็สนุกแล้ว มาเริ่มออกเดินทางด้วยกันค่ะ…

ด้วยความที่ไฟล์บินกรุงเทพฯ-เฉิงตูเป็นตั๋วโปร ดังนั้นจะค่อนข้างงัวเงียกันหน่อย แลนด์ถึงสนามบินเฉิงตูตอนตี 2 การเดินทางมาจีนครั้งนี้บอกเลยว่าเป็นการเดินทางมาจีนครั้งแรกในชีวิต ยิ่งตอนมาถึงและผ่าน ตม.จีนนี่เราแอบหวั่นๆ เพราะไฟล์เป็นไฟล์ถึงตีสองผู้ร่วมเดินทางที่มาด้วยกันเป็นคนจีนเกือบทั้งหมด คนต่างชาติแทบจะไม่มี

ตม. หน้านิ่งมากคิดในใจเอาวะ กลัวไรเรามีวีซ่า ยิ้มสู้ ตม. พร้อมทักทายไปหนึ่งที Hello.. เงียบ บึ้ง ตึง รอยยิ้มที่มีหุบพับเก็บไปเลยจ้า ตรวจพาสปอร์ตอยู่นานเปิดแล้วเปิดอีก และเสียงที่น่าดีใจก็ดังขึ้น ปึ๊ง! เสียงตราปั๊มจาาาา.. หนี่หาวววว เฉิงตู การเดินทางเริ่มแล้ว

น้องหมีแพนด้า สัญลักษณ์เมืองเฉิงตู

กว่าจะผ่าน ตม. รับกระเป๋าโน่นนี่ก็ตีสาม ณ สนามบินเฉิงตู ใช้ชีวิตที่สนามบินกันไป มิเป็นไรเพราะตั๋วมันถูกมว๊ากเราโอเค บรรยากาศสนามบินตอนตีสองไม่มีอะไรเปิดเลย อย่างเดียวที่ทำได้คือหาที่นอนรอเวลารถไฟเข้าเมืองวิ่งตอนหกโมง

ได้เวลาเข้าเมือง โอ๊วว มาย ก๊อด มากเจริญสุดๆ ซื้อตั๋วง่ายเหมือน MRT บ้านเรา

ดูสิขนาดว่าตอนนี้เราอยู่ตู้ไหนของรถไฟก็มีบอก บอกแม้กระทั่งออกจากตู้ไหนถึงจะเจอบันไดขึ้น

เข้าเมืองเฉิงตูแล้วแต่ๆๆๆ…หลังจากนี้เป็นต้นไปจนถึงวันพรุ่งนี้เราจะนั่งรถยาวๆ ปลายทางคือเมือง Garze (น่าจะอ่านว่ากาจื่อ) และระหว่างทางจะเราจะแวะพักกันที่ Kangding (คังติ้ง) เดินหน้าอย่างมาดมั่นไปต่อคิวจองตั๋วมีเพียงแค่เราที่เป็นคนต่างชาติ ทุกสายตาจับจ้อง พร้อมกับบอกพนักงานขายตั๋วว่า “กาจื่อ” อยู่หลายที จนสุดท้ายพนักงานบอกสั่นๆว่า พาสปอร์ต.. โอเค! รอด

ได้รถบัสรอบ 10 โมง ซึ่งตอนนี้เช้ามากก..ระหว่างนี้ ก็ไปเดินเล่นหาอะไรกินรอบๆสถานีขนส่งก่อนละกัน

ที่สังเกตุได้ว่าเหมือนกันทุกที่คือการรักษาความปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นสถานีรถไฟ สถานีรถบัส จะต้องผ่านเครื่องสแกน ทั้งสัมภาระและคน หากเป็นแบ็กแพ็กเกอร์แบบเราๆทำใจเรื่องการถอดเข้าถอดออกได้เลยค่ะ โดยเฉพาะเทคนิค(เพื่อความปลอดภัย) ที่สะพายกระเป๋าเงินและพาสปอร์ตไว้ข้างในเสื้อแจ็กเก็ตเนี้ย

เช้าๆแบบนี้ จะเห็นร้านที่มีควันๆพุงออกมา และมีหม้อนึ่งอยู่หน้าร้านเต็มไปหมด ด้วยความหิว ด้วยความหน้ามืด เดินเข้าไปเลยคับ เรื่องกินนี่ถนัดไม่ต้องมีใครสอน ภาษาไม่ใช่ปัญหาสำหรับเรื่องนี้ เดินเข้าไปในร้านแล้วไปชี้ๆที่โต๊ะข้างๆนั่งโซ้ยอยู่ ยกมือไป 1 พร้อมพูดว่า “อีเก้อ”

อิ่มแล้วยังมีเวลา ไปเดินเล่นมั่วๆไปเรื่อยๆ เจอตลาดสด ชมเมืองไป เหมือนทุกการเดินแต่ละก้าวมีสายตาขับจองอยู่ตลอดเวลา อาจเป็นเพราะเราเป็นนักท่องเที่ยวแหละตอนแรกจะเขินๆ สักพักเราก็จะชิน555

ได้เวลาแล้ว ขึ้นรถกัน ดูสิขนาดทางออกไปขึ้นชานชลายังดูมีระบบมีระเบียบ จากที่ก่อนมาคิดว่าการขึ้นรถสาธารณะน่าจะเป็นอะไรที่ยากที่สุด เพราะมีเรื่องภาษามาเกี่ยว และน่าจะเป็นปัญหาที่สุด แต่ไม่เลยกลายเป็นสะดวกที่สุดอาจจะเป็นเพราะเราเปรียบเทียบกับหมอชิตบ้านเราแหละมั้ง

ที่นี่คือก่อนถึงเวลาขึ้นรถเค้าจะประกาศพร้อมมีตัวหนังสือชื่อเมืองปลายทางตามที่เราซื้อตั๋วขึ้นมาบนจอ เราถึงจะเข้าไปตรงชานชลาได้ เอาตั๋วมาแตะบาร์โค้ดแต่เป็นตั๋วกระดาษนะจ๊ะ เมื่อเข้าไปในชานชลา ตามหารถจากตัวหนังสือหน้ารถที่เป็นภาษาจีน 555 คนจีนที่นี่น่ารักเข้ามาประมาณว่าถามแหละว่าไปไหนๆ และแล้วเราก็ได้รถที่จะพาเราเดินทางไปเมือง กาจื่อ

ไม่รู้ว่าเพราะความสูงของเมืองนี้รึเปล่านะ ถุงขนมมันถึงบวมได้ทุกถุง

ความที่คิดว่านั่งรถนาน น้ำ ขนม ถุงอ้วก สื่อบันเทิงต่างๆจะเตรียมมาให้พร้อมใช้ไม่ได้นะคะ เพราะระหว่างทางเค้าจะมีแวะให้ ตามกฏหมาย 2 ชม. พักรถ 1 ครั้ง แต่ด้วยความที่เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเค้าจะทำตามกฏนี้รึเปล่า จึงทำให้เราไม่กล้ากินไรเลย แต่เอาเข้าจริงก็ไม่น่าเบื่อแบบที่คิดนะคะ

จากที่ไม่กล้ากินอะไร ตอนนี้จะนั่งรถแบบสบายใจมากขึ้น

นี่ขนาดไม่กล้ากินนะ สตรีทฟู๊ดค่ะ จากจุดแวะพักรถ คิดซะว่านี่เป็นเบอเกอร์ไส้หอมแดง แครอท ถั่วงอกละกัน555 อร่อยแบบแปลกดีนะคะ

หน้าตารถที่นั่งมาจะประมาณนี้ค่ะ แวะอีกแล้ว ตอนนี้แวะเติมน้ำมัน

ทุกครั้งที่แวะจะเกิดการสำรวจค่ะ สังเกตุได้ว่าทุกที่สาธารณะจะมีน้ำร้อนคอยบริการทุกคนที่ผ่านไปมาค่ะ คนที่นี่นิยมพกกระบอกน้ำร้อน และมีใบชาอยู่ข้างในค่ะ เจอกาน้ำร้อนแบบนี้ที่ไหนก็มาเทได้เลยค่ะ

นั่งรถไปสักพักจากวิวเมืองก็เริ่มกลายเป็นไม่มีบ้าน เริ่มเข้าสู่ภูเขา ทางก็จะเริ่มคดเคี้ยว สูงชัน และเล็กลงเรากับผู้ร่วมเดินทางคุยกันว่าอย่าให้เป็นแบบในรีวิวที่ดูมาเลยนะคะ(ขอบคุณข้อมูลจากรีวิว เนื่องจากมีการศึกษาเส้นทางนี้จากรีวิว) ในข้อมูลบอกว่ารถติดนานมาก ซึง….เราได้ตามรีวิวเปะเลย รถติด จอดสนิทจนออกมาคุยเล่นกันได้เลยซักพักใหญ่ๆเพราะมีการทำทางข้างหน้าจึงต้องเบียงทางค่ะ

ระหว่างทางดูแผนที่ตลอด จนถึงเมืองแวะพัก Kangding จริงๆก็ไม่รู้หรอกค่ะ คนขับขึ้นมาบอก คนขับทำท่าทางนอนหลับ ไอ้เราก็เลยรู้ว่าออออ….ถึง คังติงแล้ว

(เพราะหาข้อมูลกันมาดี) จึงทำการจองที่พักไว้แล้วอยู่ข้างๆสถานีรถบัสนี่เองค่ะ

เก็บของเสร็จ ยังไม่มืดแน่นอน ไปเดินเล่นในเมืองคังติงกันค่ะ อันนี้ตื่นตาตื่อนใจสุดๆเราะเป็นเมืองที่โคตรเจริญที่ซุกอยู่ในเขาสูงรอบด้าน คือรอบด้านจริงๆ 360 องศาเลย เดินไกลพอสมควรจากที่พัก บรรยากาศดีมากกก…

ไม่น่าเชื่อนี่มันฤดูที่ไม่น่าจะหนาวนะ เพราะนี่เดือน 5 แต่เอาจริงๆคือหนาวอุณภูมิประมาณสิบกว่าค่าาา…อาจจะด้วยเพราะมีฝนตกนิดๆ

ในเมืองนี้เรียกได้ว่ามีทุกอย่าง ร้านเบเกอรี่ ซุปเปอร์มาร์เก็ต ห้าง ร้านอาหาร และความหนาว

ระหว่างทางเดินเล่นไปเรื่อยๆชิวๆ อากาศเย็นๆ

ร้านขายอาหารจะมีควันฟุ้งๆแบบนี้ยั่วยวนเราตลอด…

ร้านขายเนื้อ ลองเดาดูนะคะว่าขายเนื้ออะไร

ยิ่งมืดยิ่งดูเจริญ และยิ่งหนาว แต่ก็นะผู้คนออกมาเดินเล่นกันเต็มเลยค่ะ

มีแม่น้ำผ่านกลางเมือง มีร้านอาหาร ร้านค้าคึกคักทั้งสองฝั่งเลยค่ะ

ตรงลานกลางเมืองจะมีคนออกมาเต้นด้วยกันทั้งคนแก่ เด็ก วัยรุ่น เป็นอะไรที่ชอบมากก…

ก่อนนอนปิดท้ายด้วย โยเกิร์ตพร้อมดื่มแสนอร่อย เข้มข้นมาก.

.

เดจาวูมาที่บนรถต่อ นั่งออกมาจากเมืองคังติงได้ไม่ถึง 5 นาที วิวอลังมาก ภูเขาลูกใหญ่สุดลูกหูลูกตา

และสิ่งที่ทำให้ตื่นเต้นที่สุดคือหิมะ เริ่มเห็นหิมะ ซึ่งก่อนมาไม่คิดว่าจะได้เจอ

และตั้งแต่วินาทีนี้ก็จะเริ่มเห็นตัวหนังสือภาษาทิเบต เยอะแยะเต็มไปหมด หลับไม่ลงแล้วค่ะ

เห็นตัวหนังสือทิเบตไกลๆนั่นไหมคะ^^

วิวนี้คือวิวจากจุดแวะพักเข้าห้องน้ำนะคะเนี้ย เรามาทราบทีหลังว่าวัดนนี้ชื่อวัด Tagong ค่ะ

สิ่งที่สามารถเห็นได้อยู่ตามที่ต่างๆโดยทั่วไปคือ ตัวจามรีค่ะ เอาจริงตัวใหญ่มากเลยนะคะ

ยิ่งวิวอลังมากเท่าไหร่เรายิ่งคิดไปเองว่าใกล้ถึงแล้วเท่านั้น

ทางคดเคี้ยวไปเรื่อยๆเพลินๆ

บอกแล้วว่าเราจะได้เห็นน้องจามรีเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมดทุกที่

เริ่มเห็นป้ายแล้วค่ะ เดาว่าน่าจะใกล้ถึงแล้ว อันนี้คำนวนจากเวลานั่งรถเอานะคะ

ใช้คำว่าสวยเปลืองมากตอนนี้

และแล้วการนั่งรถก็สิ้นสุดลง เราถึงเมืองกาจื่อแล้ว ตาโตมาก

ก็ดูวิวนี่สิคะ นี่มันสถานีรถบัสท่ามกลางภูเขาหิมะ ชัดๆ

โม้มาซะนาน บอกแพลนก่อนดีกว่า แพลนของเราคือจองที่พักไว้ที่เมืองกาจื่อนี่ 2 คืน ซึ่งเมืองนี้เป็นเมืองที่ใกล้ หย่าเฉินการ์ รวมถึงมีรถไปที่หย่าเฉินการ์ ความตั้งใจคือเราอยากที่จะไปพักที่หย่าเฉินการ์ 1 คืน ก่อนที่จะกลับมาพักที่เดิมคือกาจื่ออีกครั้ง แต่ด้วยความไม่แน่ใจว่าจะสามารถพักในเมืองที่มีแต่แม่ชี และพระได้หรือไม่ เราจึงมาข้อมูลหน้างานค่ะ

สอบถามกับที่พัก ได้ความว่าในหย่าเฉินการ์มีที่พักแต่ค่อนข้างลำบากไม่มีห้องน้ำ ไม่มีน้ำร้อน ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ ถ้าเป็นไปได้ไม่แนะนำ ให้พักให้กลับมาพักที่กาจื่อดีที่สุด เราเดินทางมาไกลขนาดนี้แล้ว เราจึงตัดสินใจกันว่าจะไปพักที่่นั่น 1 คืน

บอกก่อนว่าช่วงที่ไปนั้นเมืองกาจื่อได้มีการก่อสร้างทั้งเมือง ไม่ว่าจะเป็นถนน ไฟฟ้า ทำให้ตอนนี้ไฟดับทั้งเมืองจ้า เกสเฮาส์ที่จองไว้บอกว่าฉันไม่สามารถเปิดห้องได้เพราะไฟดับ แต่ไม่ต้องกังวลไฟจะมาตอนห้าโมง แค่นี้ก็สบายใจ ระหว่างนี้ไม่มีอะไรทำเจ้าของเกสเฮาส์ชวนไปเก็บผักมาทำอาหารเย็นกัน

มะ ไปก็ไปดีกว่านั่งว่าง

ไปถึงแค่นั้นแหละ โอ๊ววว..แปลงผักที่ข้างหลังเป็นเขาหิมะ คิดถูกมากที่ตัดสินใจมาด้วย

ระหว่างการเก็บผักได้มีโอกาสพูดคุยกันกับแขกของเกสเฮาส์ที่มาจากฮ่องกง ที่พึ่งไปหย่าเฉินมาเมื่อวานเองนางบอกว่าถ้าเราอยากไปพักมีเพียงโรงแรมเดียวเท่านั้นที่ดีที่สุด โอเคเราจะพักที่นี่กัน และนางยังบอกข้อแนะนำต่างให้ไม่ว่าจะเป็นในหย่าเฉินตรงกลางหมู่บ้าน จะเป็นที่พักของแม่ชีผู้ชายจะไม่สามารถเข้าได้ แต่ผู้หญิงเข้าได้

นักท่องเที่ยวต้องระวังตอนผ่านด่านก่อนเข้าสู่เมืองหย่าเฉิน ห้ามถ่ายรูปหรือถือกล้อง เพราะอาจจะถูกห้ามเข้าตัวเมืองได้ ห๊ะ..อันนี้เริ่มกังวล นางยังเล่าต่ออีกว่าด้วยความที่บริเวณนี้ค่อนข้างอ่อนไหวเนื่องจากกลุ่มเมืองฝั่งนี้เป็นฝั่งทิเบต ซึ่งตามที่เรารู้ๆกันเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างจีนที่ไม่ค่อยดีนัก

รวมถึงไฮไลท์ของที่นี่คือพิธี “แร้งกินศพ” อาจจะฟังดูโหดร้าย แต่อยากให้เข้าใจนะว่ามันเป็นเรื่องพิธีกรรมทางศาสนา เสมือนการนำร่างไร้วิญานไปต่อชีวิตของสัตว์เล็กๆหลายชีวิต เป็นการสร้างกุศลสุดท้ายของผู้เสียชีวิต…แน่นอนเราจะไม่พลาดแน่

“เคยไป ลาลุงก้าไหม” เราถาม นางบอกว่าไปมาแล้วแต่นางชอบที่หย่าเฉินมากกว่า ซึ่งแน่นอนนักท่องเที่ยวไม่สามารถที่จะเข้าไปได้แล้วเนื่องจากทางการจีนห้ามอย่างเข้มงวดที่คุณนักท่องเที่ยงฮ่องกงเข้าไปได้เนื่องจากว่าฮ่องกงเป็นอีกพาทหนึ่งของจีนนางจึงสามาถไปได้

อ้อ…เราลืมบอกไปว่าจริงๆแล้ว…ลาลุงก้าเป็นเป้าหมายการท่องเที่ยวครั้งนี้ของเรา การเดินทางครั้งนี้เกิดขึ้เพราะ 2 รูปนี้…

แต่ก่อนหน้าการเดินทางเพียงไม่กี่เดือน เราได้ข่าวการประกาศปิดเมืองลาลุงก้าจากรัฐบาลจีน ห้ามนักท่องเที่ยวเข้าอย่างเด็ดขาด วินาทีนั้นฝันสลาย ซึ่งจองตั๋วเครื่องบินไปแล้ว เราได้พยายามหาข้อมูลและพยายามทุกวิถีทางเพื่อที่จะไปลาลุงก้าไห้ได้ การจะไปได้คือต้องใช้ในรูปแบบทัวร์ผี 555 มันก็คงเสี่ยงไปนะ

หย่าเฉินจึงเป็นเป้าหมายใหม่ที่น่าสนใจไม่ต่างจากลาลุงก้า..

จากที่พักมาคิวรถที่จะไปหย่าเฉินไม่ไกลมาก เมื่อมาถึงเราจะถูกรุมโดยเหล่าคนขับรถแปลความหมายจากภาษากายได้ว่า ไปไหน? ไปเมืองไหน? ไปหย่าเฉินไหม? ไปลาลุงก้าไหม? ตอนแรกเราก็ไม่เข้าใจระบบการเรียกลูกค้าแบบนี้ของคนขับรถหรอก ใจร่มๆเดินเข้าไปนิ่งๆด้านในคิวรถพร้อมเลือมาซักคนที่ถูกชะตาและบอกเค้าว่า “หย่าเฉินมะ” คำเดียวแค่นั้นแหละเราถูกดึงตัวขึ้นรถ นั่งรวมๆกันกับพระค่ะ ตอนแรกเกร็งมาก

เหมือนๆเมืองที่ผ่านมาออกจากเมืองแป๊บเดียว ก็จะได้เห็นความอลังอีกแล้ว

วิวดี อยากนั่งข้างหน้าจัง

นังไปได้สักพักก็จะแวะพักกลางทาง คือกลางทางจริงๆนะ ไม่มีอะไรเลย มีแต่วิวเขาหินลูกใหญ่สุดลูกหูลูกตา รวมถึงต้องจอดให้ตัวจามรีข้ามถนนอยู่ตลอดเวลา

และแล้วสิ่งที่เรากังวลที่สุดมันก็มาถึง การผ่านด่านตรวจ…ตรงนี้ เค้าจะให้ลดกระจกลงแล้วก็ถามโน่นนี่แล้วก็มองมาที่เรานักท่องเที่ยวเพียง 2 คนบนรถ คนขับรับหน้าที่ตอบแทนทุกอย่าง แต่.. เค้าให้เราสองคนลงจากรถ พร้อมกับพูดๆๆๆๆๆ อะไรก็มิเข้าใจได้ ไม่ใช่ภาษจีนแน่ อาจจะเป็นภาษาทิเบต เราก็ด้วยความที่ทำการบ้านมาไม่ว่าเค้าจะพูดอะไรอย่าไปสนใจยื่นพาสปอร์ตไป จบ…

เจ้าหน้าที่ตรงด่านถือพาสปอร์ตไป ไอ้เราคิดในใจเอาล่ะ ไม่ใช่ละ เจ้าหน้าที่เอาพาสปอร์ตไปให้เจ้าหน้าที่อีกคนที่อยู่ในห้อง ส่งต่อกันไปมาพูดคุยกัน อยู่นาน จนคนขับรถเดินมาตามสักพักยื่นพาสปอร์ตกลับมา คนขับพูดประมาณว่าปะไปกัน รอด เรารอดแล้ว..

สิ่งแรกที่เราเห็นเมื่อถึงเมือง ให้อารมณ์เหมือนจตุรัสกลางเมือง เข้าเขตเมืองแล้วเมื่อมาถึงเราบอกชื่อโรงแรมที่ได้มาจากการที่นักท่องเที่ยวชาวฮ่องกงเขียนให้ คนขับก็เข้าใจได้ไม่ยาก ในเมืองคนขับเหมือนวนรถไปส่งตามจุดต่างๆและเก็บเรานักท่องเที่ยวไว้เป็น 2 คนสุดท้าย

มาส่งถึงหน้าโรงแรม..ก่อนลาจากนางถามว่าพรุ่งนี้กลับกี่โมง ด้วยความที่เรากะเวลาไม่ถูกเราเลยบอกว่าไม่เป็นไรฉันจะหารถกลับเอง นางก็ทำท่าชี้ๆประมาณว่าคิวรถอยู่ตรงนั้นนะ เราก็โอเคแยกย้าย

อย่างแรกที่เราเลือกทำก่อนทุกอย่างคือการเข้าไปจองห้องเพื่อหาที่ซุกหัวนอนวันนี้ กับโรงแรมที่ได้ชื่อว่าดีที่สุดในเมืองนี้แล้ว เป็นห้องพักที่ไม่มีห้องน้ำค่ะ ต้องมาใช้ห้องน้ำรวม ซึ่งจะมีในทุกชั้นค่ะ ตอนเช็คอินก็ง่ายๆจ่ายตัง รับกุญแจ แต่ๆๆๆ..สิ่งที่เค้าให้พร้อมกับกุญแจคือกาน้ำร้อนอันใหญ่ ตอนแรกก็งงว่าให้มาทำไมแต่ก็อะ ยกขึ้นห้องมาค่า..

การสำรวจเมืองเริ่มขึ้น…

ที่นี่แดดแรงมาก ไม่แปลกใจที่เราจะชอบเห็นพระ หรือเด็กๆแก้มแดงๆ อากาศเมื่อตากแดดจะร้อนมาก เมื่ออยู่ในร่มจะหนาวมาก นี่ขนาดเรามาเดือน พ.ค. ที่จะต้องเป็นปลายฤดูใบไม้ผลิแล้ว

อากาศโหดร้ายมาก เรามีแพลนว่าจะไปดูพิธีแรงกินศพให้ได้ตอนบ่าย 2 ด้งนั้นยังพอมีเวลาเราไปเดินเล่นกันเริ่มจากสำรวจเมืองจากจุดที่คิดว่าสูงที่สุดก่อน

เด็กน้อยวิ่งมาหา หน้าตาดูธรรมชาติสุดๆ

อันนี้น้องไม่ได้มาขออะไรนะคะ เราแบ่งให้น้องลองชิมลูกอมค่ะ

อันนี้เหมือนมานังกินข้าวกันค่ะ

ใกล้ถึงเวลาสำคัญแล้วแต่ปัญหาคือเราไม่รู้ว่าพิธีแร้งกินศพนั้นอยู่ตรงไหน จึงเดินทางถามพระ พระก็ชี้ไปลานไกลๆเลย ในใจคิดเอาละวะ เดินไกลละ มองจากไกลไเราเห็นจุดๆดำๆ ในเวลานั้นยังไม่รู้ว่าอะไร ปะเดินไปดูกัน

อย่างที่บอกว่ากลางแดดร้อนมาก ระหว่างทางไปหาลานพิธี แทบจะเป็นลมไปหนึ่งที

ยิ่งใกล้ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นบอกไม่ถูก เราเห็นมีคนยืนมุงล้อมลานกันอยู่ และก็ได้รู้แล้วว่าจุดดำๆที่เห็นจากที่ไกลๆนั่นคืออีแร้ง ห๊ะ แร้งตัวใหญ่มากกกก….

วินาทีนั้นอยู่ดีๆก็ขาอ่อน ไม่รู้ว่ากลัวกับพิธี หรือเพราะความร้อน จนเกือบจะเป็นลมกันแน่…

อาการดีขึ้นแล้วปะเข้าไปดูพิธีใกล้ๆกันค่ะ อย่างแรกที่รับรู้ได้คือกลิ่นคาวที่เตะจมูกอย่างชัดเจน ค่อยๆเดินเข้าไปอย่างสงบ.. ในพิธีนั้นจะมีคนที่คอยชำแหละศพให้กับพวกแร้งค่ะ ตอนแรกไม่กล้าเเข้าไปใกล้เพราะ….

ก็แร้งมันกินคนน่ะ ถ้ามันแยกเรากะศพไม่ออกแล้วกินเราล่ะ ตัวใหญ่เกิ้น

ก่อนอื่นขอบอกก่อนว่ารูปต่อไปอาจจะเป็นรูปที่ดูแล้วโหดร้าย ขอเตือนก่อนว่าหากทำใจไม่ได้ให้รีบเลื่อนผ่านเร็วๆนะคะ

เราอยากให้มองว่ามันเป็นพิธีกรรมของอีกส่วนหนึ่งของโลกที่เราแทบจะไม่รู้จัก ไม่คุ้นเคย แต่อยากให้คนอ่านเข้าใจว่าสิ่งที่เห็นเป็นส่งที่เป็นความเชื่อและพิธีกรรมทางศาสนาที่เป็นเรื่องปกติของที่นี่ การที่คนเราออกไปเรียนรู้เห็นโลกที่ไกลขึ้น เพื่อความคิดที่กว้างขึ้น เห็นความแตกต่างของวัฒนธรรม ความเชื่อและศรัธาที่ต่างออกไป มันเป็นสิ่งที่ดีนะคะ เพราะเราอยากเรียนรู้จากความต่างนี้ค่ะ^^

คนที่คอยชำแหละศพให้แร้ง เราขอเรียกว่าสัปเหร่อแล้วกันนะ คุณสัปเหร่อเรียกให้เข้ามาใกล้ๆ ไอเราก็เชื่อ แบบกล้าๆกลัวๆ เพราะไม่มีใครเลยที่เข้าไปใกล้ คุณสัปเหร่อก็เรียกแค่เราสองคนเนี้ยไม่รู้ทำไม เอาวะมาขนาดนี้แล้ว เดินเข้าไปใกล้ที่ละนิดๆ คุณสัปเหร่อพูดอังกฤษได้นิดหน่อยถามว่าเรามาจากไหน พอได้ยินคำว่าไทยแลนด์แค่นั้นแหละ โชว์ให้ดูเลยจ้าาา.. ให้ทายว่าเค้าโชว์อะไร

โชว์แบบชักคะเย่อค่ะ พร้อมกับเสียงเค้าที่ตะโกนออกมาว่า Boxing Boxing ไอ้เราสองคนยืนนิ่งทำตัวไม่ถูกเพราะเราเข้าใจว่ามันคือพิธีศักดิ์สิทธิ์ ต้องวางตัวสงบรึเปล่า รึยังไง ซึ่งคุณสัปเหร่อก็ยัง Boxing Boxing ไม่หยุด เราก็เลยรู้สึกคลายความกังวล และวางตัวสบายๆมากขึ้น แต่ก็ยังคงความอึดอัดในใจอย่างบอกไม่ถูกอยู่ดี จนถึงวันนี้เราก็ยังไม่เข้าใจค่ะ

รูปอาจจะดูโหดร้ายนะคะ แต่ขออธิบายว่านาทีนั้นความมองว่ามันเป็นพิธีที่ดี มันคือการทำบุญอย่างหนึ่ง ดังนั้นผู้คนโดยรอบที่อยู่ตรงนั้น จึงไม่ได้มีใครที่เศร้า หรือโกรธเคืองเลย

ได้เวลาเดินกลับ อันนี้น่าจะเป็นร้านล้างรถนะคะ

บรรยากาศที่หย่าเฉินแห่งนี้ค่ะ

พระขี่มอไซต์สำหรับเราแล้วแปลกตาสุดๆค่ะ

สังเกตุได้ว่าแทบจะไม่มีคน พระ หรือชีเลย นั่นก็เพราะตอนนี้เ็นเวลาที่เค้ากำลังสวดมนต์กันอยู่ตรงลานกลางเมืองที่เราเห็นกันตอนแรกค่ะ

อากาศดีมากๆจริงๆค่ะ

แม่ชีที่นี่ทำทุกอย่างนะคะ ไม่ว่าจะเป็นทำงานหนักแบกหาม ขายของ

การจะเดินไปตรงกลางเมืองด้านในโค้งน้ำได้ต้องเป็นผู้หญิงตามที่นักท่องเที่ยวบอกมานะคะ

เอาจริงๆตอนก่อนมาเราคิดว่าตรงนี้เป็นที่พักของพระ แต่ไม่เลยกลับกลายเป็นว่าของแม่ชี

ข้อระวังการจะถ่ายรูปพระหรือแม่ชี เค้าจะไม่ค่อยชอบนะคะ เค้าจะปิดหน้า หลบ หันหลัง ดังนั้นหากถ่ายรูปอาจจะต้องระวังตรงนี้ค่ะ ให้เกียรติเค้าหน่อย ตัวจามรีเต็มไปหมด เจอกันตลอดทริปแน่นอน

อันนี้ยืนดูซักพักเหมือนเค้าขายของค่ะ

อีกหนึ่งข้อสงสัยก่อนมา เราทายกันว่าอันนี้เป็นห้องน้ำของพระ แต่ในความจิรงแล้วเป็นที่นั่งสมาธิ เป็นที่พักของพระ และชีต่างหากค่ะ ถามว่าจะอยู่ได้ไงพอดีตัวเลย บอกเลยว่าอยู่ได้ค่ะ เห็นมาแล้วกับตา

หนึ่งสิ่งที่สังเกตุเห็นได้คือความเป็นธรรมชาติ หรือความเป็นเมืองพุทธศาสนาที่ใหญ่ที่สุดอันดับสองของโลกนี้คือ ความไม่มีอะไรเลย

ไม่มีอะไรเลยจริงๆในเมืองแห่งนี้ มีเพียงความสงบบนที่ตั้งของเมืองที่อยู่ท่ามกลางเขาที่ห่างไกลจากเมืองสุดๆ จะมีก็เพียงแต่ร้านขายของเล็กๆ แค่นั้น…

เดินสำรวจมาจนถึงลานกลางเมือง

อันนี้จะเป็นช่วงที่ทุกคนทั้งชี และพระร่วมสวดมนต์กันค่ะ ตรงกลางเมือง ภาพนี้เห็นกับตานี่ขนลุกเลยค่ะ

เป็นภาพที่บรรยายความรู้สึกออกมาไม่ได้จริงๆค่ะตอนนั้น ให้ภาพเล่าเรื่องแล้วกันนะคะ

เริ่มเย็นแล้ว การสวดมนต์พึ่งเลิก ผู้คน พระ และแม่ชีต่างพากันเดินกลับ

เมื่อถึงเวลานี้เหมือนเป็นเวลาที่นัดรวมตัวนักท่องเที่ยว ทำให้เรารู้ว่าไม่ได้มีเพียงเราที่เป็นนักท่องเที่ยว ยังมีช่างภาพชาวจีนที่ถือกล้องเลนส์ยาวๆ มาพร้อมขาตั้งกล้องแบบเต็มเครื่องเพื่อมาถ่ายรูป และนักท่องเที่ยวคู่หญิงชายชาวญี่ปุ่น มีแค่เพียง 2 กลุ่มนักท่องเที่ยวแค่นี้จริงๆค่ะ^^

ข้างล่างนั่นที่เราลงไปเดินเลนกันมาไงคะ เดินลัดเลาะริมน้ำ ข้ามทั้ง 2 สะพานนั่นค่ะ

ช่วงก่อนพระอาทิตย์ตกเป็นช่วงที่บรรยากาศดีที่สุด เหมาะกับการถ่ายรูปเป็นที่สุด

และแล้วพระอาทิตย์ก็ตก ที่น่าแปลกที่สุดคือ อากาศค่ะ ที่เคยบอกแต่ก่อนหน้าว่าอากาศโหด นั้นก็เพราะพอไม่มีพระอาทิตย์หนาวถึงสุดขั้วหัวใจ(หนาวแค่ไหนดูได้จากการแต่งตัวของคนในพื้นที่ค่ะ) เมื่อบวกกับลมที่ไม่รู้มมาจากไหนนักหนาแล้ว วิ่งค่ะวิ่งกลับที่พัก..

แต่..วิ่งยากมากเพราะ เหนื่อยกว่าปกติ อันนี้ไม่ได้คิดไปเองแน่นอนอาจจะเป็นเพราะที่นี่จะค่อนข้างสูงจากระดับน้ำทะเลมากทำให้ทุกการเคลื่อนไหวจะเหนื่อยกว่าปกติสองเท่าค่ะ สังเกตุได้จากถุงขนมทุกถุง บวมเต่งจนจะแตกอยู่แล้วค่า

สภาพอากาศแบบนี้ทำให้คิดถึงคำของนักท่องเที่ยวชาวฮ่องกงเลยว่าไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆทั้งนั้นแม้แต่โรงแรมที่ดีที่สุดในเมือง นึกขึ้นได้ว่าอากาศหนาวขนาดนี้คงไม่ต้องหวังให้ในห้องมีฮีตเตอร์หรอกนะ ดีนะที่เตรียมอุปกรณ์กันหนาวตัวหนากันมา..

เซอร์ไพรส์ ในห้องไม่มีฮีเตอร์ แต่ๆๆๆๆๆ….เตียงเป็นฮีตเตอร์จ้า

คิวรถกลับเข้าเมืองกาจื่ออยู่หน้าโรงแรมนี่เองค่ะ และตึกสีขาวๆด้านนขวาของรูปนี่คือร้านขายของนะคะ มีทุกอย่างเลยค่ะ

ได้เวลากลับเข้าเมืองกาจื่นตอนสายๆ

บรรยากาศระหว่างทางขากลับค่ะ

มาถึงเมืองกาจื่อช่วงบ่าย ได้คำแนะนำจากเกสเฮาส์ว่าไปเดินเล่นที่วัดนี่สิใกล้ เดินออกไปตรงถนนก็เห็น…

เดินเล่นไปเรื่อยๆเพราะอากาศเย็นๆ ให้เวลาเดินไปอย่างช้าๆ..การเดินทางมาจีนครั้งแรกนี้ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆมากมาย

อันดับที่ 1 ยกให้เลย คือผู้คน ซึ่งผู้คนไม่เหมือนกับที่เราเคยเจอที่ไทย ไม่เหมือนที่เราเคยถูกเดินชนที่สนามบิน เค้าชอบคนไทยมากเมื่อถูกถามว่ามาจากไหน ทุกครั้งที่เค้าได้ยินคำว่า ไทยแลนด์ เค้ามักจะดีใจ สวมกอด หรือพูดว่า “มวยไทย” ผู้คนเค้าดีมากช่วยเหลือ ไถ่ถาม ทักทาย มองทุกการกระทำของนักท่องเที่ยวแบบเรา และยิ้มตาม คอยบอก คอยถามเวลาเรากินโน่นนี่ เหมือนลุ้นตามไปด้วยว่าเราจะกินได้ไหม แม้จะคุยกันไม่รู้เรื่องแต่เราสัมผัสถึงความจริงใจนั่นได้

 

ประเทศจีน ธรรมชาติยิ่งใหญ่มาก จะรู้สึกว่าตัวเราเล็กมากเมื่อยืนท่ามกลางธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นเมืองไหน หมู่บ้านไหน มีความเป็นตัวของตัวเองสุดๆ

ภาษากาย ใช้ได้ทุกเมื่อ ไปจีนทั้งที่พูดจีน หรือภาษาทิเบตไม้ได้เลย ภาษากายล้วนๆ แต่ยังไม่มีอะไรผิดแผนเลยจากการเดินทางครั้งนี้ ทำให้เราคิดว่าบางทีเราไม่จำเป็นที่จะต้องคุยกันรู้เรื่องทุกอย่างก็ได้นะ ความพยายามที่จะสื่อกสารกันด้วยท่าทางบางทีก็อบอุ่นเหมือนกันนะ

การเดินทางโดยรถสาธารณะเป็นสิ่งเดียวที่กังวลสุดๆ แต่กลับเป็นสิ่งที่ไม่ยากเลยกระทั่งอยู่นอกเมืองก็ตาม เพราะเค้ามีระบบที่ง่ายไม่ยุ่งยากสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสความเป็นจีนต่างจังหวัดอย่างแท้จริงแบบเราๆ ที่พูดได้เพราะลองมาหมดแล้ว แท็กซี่ ที่รถทุกคันเป็นแท๊กซี่ รถบัสที่ขึ้นจากสถานี ขึ้นจากกลางทางโดยการโบก รถไฟ ตุ๊กๆ หรือรถเหมาก็ตาม ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่ยากคือสื่อทางด้วยภาษากายให้ได้ว่าจะไปไหน5555

เรื่องความอ่อนไหวของทิเบต กับจีน ที่ศึกษาก่อนมาเป็นแบบที่เราเข้าใจ ไม่มีอะไรผิดเพี้ยน

อาหารการกิน คนที่ว่ากินง่ายๆก็พ่ายอาหารพื้นเมืองจีน แต่เรื่องการกินประสบการณ์จะสอนเราเอง วันหลังๆหากเราโหยหาอาหารไทย เราจะเปิดรูปอาหารที่อยากให้เค้าดูแล้วเค้าก็จะมีความน่ารักทำให้ค่ะ อันนี้หมายถึงเมนูใกล้เคียงกะอาหารไทยเช่น ข้าวผัด ผัดผักบุ้ง แกงจืด ผัดเห็ด ประมาณนี้ค่ะ

เราขอจบการเดินทางของเราก่อนเท่านี้ค่ะ ที่จริงแล้วเรามีเดินทางต่อจากกาจื่อ ไปอีกหนึ่งไฮไลท์ของทริปนี้คือ ซื่อกู่เหนียงซาน (สี่ดรุณี) Siguniang shan 四姑娘山

ติดตามได้นะคะ > ซื่อกู่เหนียงซาน (สี่ดรุณี) Siguniang shan 四姑娘山

……………………………………………..

四姑娘山 l Siguniangshan l ซื่อกู่เหนียง

Siguniangshan l ซื่อกู่เหนียงซาน ในชื่อไทยว่า “สี่ดรุณี” ดูกี่ทีๆก็สวิสชัดๆ ตั้งอยู่ในมณฑลเสฉวน เอาแบบเข้าใจง่ายๆคือห่างจากเมืองเฉิงตูประมาณ 200 Km. การจะมาเยี่ยมเยือนที่นี่สามารถมาได้โดยรถประจำทาง และสามารถพักได้ที่เมือง Siguniangshan Town แต่เส้นทางที่วางไว้คือเราเดินทางมาจากเมืองกาจือ อยู่ที่ซื่อกู่เหนียงนี้ 2 คืน ค่อยเข้าเมืองเฉิงตูค่ะ

ส่วนใหญ่ที่พักบริเวณนี้จะมีทั้งแบบโรงแรม และเกสเฮาส์ อาจจะไม่ได้สะดวกสบายนัก แต่บอกได้เลยว่าเงียบ สงบ อากาศดีสุดไปเลยค่ะ หากมาถึงนี่แนะนำให้พักสัก 2 คืนนะคะ กำลังดีได้สัมผัสอย่างเต็มที่ค่ะ

ช่วงเวลาที่เดินทางตามรีวิวจะเป็นช่วงเดือน พ.ค. ค่ะ อากาศกลางวันกำลังดี(ประมาณสิบกว่า) เย็นสบายกลางคืนหนาว(เลขตัวเดียว) สังเกตุได้ว่ายอดภูเขายังมีหิมะอยู่ค่ะ ช่วงเดือนนี้ส่วนตัวว่าน่าเที่ยวเพราะบรรยากาศจะออกเขียวๆขาวๆ

ถึงข้างหน้าแล้วเริ่มค่ะ…ขอบอกก่อนว่าการจะเที่ยวชมซื่อกู่เหนียงสามารถเลือกเส้นทางการเดินทางได้หลายรูปแบบ วันนี้ยกตัวอย่างมา 3 รูปแบบ
1. ขี่ม้า-แคมปิ้ง-เทรกกิ้ง
2. เทรกกิ้ง-แคมปิ้ง-เทรกกิ้ง
3. นั่งรถบัส-เดินนิดๆชม-ชิว

ให้ทายว่าเลือกการเดินทางแบบไหน แน่นอน…วัยแข็งแรงฟิตๆ ใจๆแบบเราเลือกอันสุดท้ายสิคะ555

รถบัสจะวิ่งวนภายในอุทยานค่ะ จะวนมาจอดเป็นจุดๆเป็นเวลา นั่งไปเพลินๆยิ่งเข้าไปลึกๆยิ่งเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของภูเขาหิมะใกล้เข้ามาทุกที

แค่นั่งมองอยู่เฉยๆก็สบายใจแล้ว

วิวนี้จะเป็นจุดจอดสุดท้ายของรถบัสค่ะ เห็นยอดเขาสุดอลังการ

บริเวณนี้จะเป็นทางเดินทางอย่างดีให้เดินถ่ายรูปอย่างชิว

ตอนแรกจะเดินเป็นหนาวๆ แต่ด้วยแดดที่แรงมาก ทำให้เสื้อกันหนาวที่ใส่มานั้นค่อยๆถอดทีละชิ้น

นี่แค่บรรยากาศที่จอดรถจุดสุดท้ายนะ เห็นร่มที่เรียงกันนั่นไหมคะ เป็นร้านขายพวกผลไม้แห้ง กีวีแห้ง สตรอเบอรี่แห้ง และน้ำดื่ม มาม่าต่างๆค่ะ^^ ขายเหมือนกันหมดทุกร้านเลย

บริเวณจุดพักรถก็จะมีของอร่อยๆให้ลอง(คิดเองว่าอร่อย) อันนี้เป็นเนื้อย่าง และโรยด้วยผงพริกอย่างหนักหน่วง อย่าถามว่าเป็นเนื้อหมู วัว หรือจามรี เพราะไม่รู้เหมือนกัน แต่ที่แน่ๆมีเห็ดชัวร์…

และแล้วก็ได้เวลากลับ เพลินๆดูนาฬิกาอีกทีจะบ่ายสามแล้ว โห๊ะนี่ขนาดมาแต่เช้านะเนี้ยเวลาผ่านไปเร็วมากกกก…

ดูไปก็คล้ายๆกับยอดเขามัทเทอร์ฮอร์นของสวิสนะคะเนี้ย^^

แนะนำว่าทุกจุดที่บัสจอด ต้องลงค่ะ ต่อให้มองจากบนบัสที่ว่าสวยแล้ว ถ้าได้ลงมาเดินมันจะยิ่งสวยมากกกก….

ทิ้งท้ายไปกับรูปนี้ค่ะ….

ติดตามการเดินทางก่อนหน้า > หย่าเฉิน การ์ l ཡ་ཆེན་སྒར་ l Yarchen Gar Monastery สถาบันพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของโลก

และตอนต่อไป(ตอนสุดท้าย) เราจะเข้าเมืองเฉิงตูกันกันค่ะ รอติดตามนะคะ…..