FROM BEIJING TO SAIBERIA EP. 2/3 ทริปสุดท้ายก่อนโควิด (มองโกเลีย ดินแดนแห่งที่ราบ และความหนาว)

FROM BEIJING TO SAIBERIA EP. 2/3 ทริปสุดท้ายก่อนโควิด
(มองโกเลีย…ดินแดนแห่งที่ราบ และความหนาว)

เรื่องเล่าต่อเนื่องจากครั้งที่แล้ว > FROM BEIJING TO SAIBERIA EP.1/3 ทริปสุดท้ายก่อนโควิด

หลังจากที่เรามาถึงสถานีรถไฟอย่างแรกที่เราต้องทำคือเข้าไปด้านในสถานีให้เร็วที่สุด เพราะกลัวว่าเผื่อมีปัญหาอะไรจะได้มีเวลาแก้ไขทัน แต่ไม่เลยทุกอย่างเพอร์เฟกยื่นตั๋ว พร้อมพาสปอร์ตให้กับเจ้าหน้าที่ รวมถึงสแกนกระเป๋า แค่นี้เสร็จแล้ว? เอ้า เร็วไปซะงั้น

อาจจะด้วยเพราะระบบของบ้านเค้าที่แม้จะซีเคียวสุดแต่ก็สามารถรับได้กับจำนวนพลเมืองที่มากขนาดนี้ ทำให้ทุกอย่างรวดเร็วไปหมด

ด้านในสถานีรถไฟเท่าที่เห็นด้วยสายตาจะมี 2 ชั้น ซึ่งชานชลาที่เราจะต้องขึ้นรถไฟจะเป็นชั้น 2 จับจองที่นั่งให้ใกล้กับชานชลาที่จะขึ้นให้มากที่สุด และอาศัยเวลานี้ทำธุระส่วนตัวของแต่ละคน

ระหว่างรอเวลา ไปเดินเล่นกันค่ะที่นี่มีทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นร้าน Mcdonal ร้านอาหารแบบง่ายๆเช่นก๋วยเตี๋ยว ร้านขายของ ขนมน้ำดื่ม มาม่า

ก่อนถึงเวลาก็จะเริ่มมีคนไปต่อแถวเพื่อเข้าไปในชานชลาแล้ว ผู้คนเยอะมากค่ะ

เพื่อผ่านเจ้าหน้าที่เช็คตั๋วที่ประตูชานชลา ลงมาจะเจอกับรถๆไฟที่จอดรอเราอยู่แล้ว

8 โมงเช้านับตั้งแต่เวลานี้เราทั้ง 8 ชีวิตจะต้องอยู่บนรถไฟยาวๆ จนถึงมองโกเลียช่วงบ่ายๆของวันพรุ่งนี้ค่ะ แพลนของเราในมองโกเลียคือ เราจะนั่งรถไฟสายทรานส์มองโกเลีย 1 คืน > เที่ยวที่มองโกเลีย พักแบบคนท้องถิ่น 1 คืน > เที่ยวเมืองหลวงอูลานบาตอร์ พักที่นี่ 2 คืน > นั่งรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียต่อไปยังรัสเซีย

รถไฟค่อยๆเลื่อนออกจากชานชลา เหลือบมองนาฬิกาช้ากว่าไปแค่ 5 นาที

ภายในตู้นอนที่เราจองมาจะเป็นชั้น Hard Sleeper หน้าตาจะประมาณนี้ ในหนึ่งห้องมีเตียงบน 2 เตียงล่าง 2 มีผ้าห่มและหมอนพร้อม แถมมีโต๊ะอยู่ตรงกลาง โต๊ะอันนี้สามารถพับลงได้นะคะ

สำหรับช่องเก็บสัมภาระจะเป็นช่องใต้เตียงค่ะสามารถใส่กระเป๋าแบบล้อลากไปได้ฝั่งละ 2 ใบ ขนาดกระเป๋าล้อลากที่เราเอาไปไซส์ 25 นิ้ว ใส่ได้สบายๆเลย

ส่วนช่องเสียบปลั๊กไฟจะอยู่ใต้โต๊ะสามารถเสียบได้แค่ 2 ปลั๊ก ดีนะที่เอาปลั๊กรางมาด้วยสบายเลย

นั่งชมบรรยากาศข้างทางไปเพลินๆวิวก็จะเริ่มจากวิวเมือง จนเริ่มไม่มีบ้านเรือน ซักพักจะมีเจ้าหน้าที่รถไฟเอาพวกผ้าปูที่นอน ปลอกหมอนมาให้

สักพักก็จะเอาเอกสาร เหมือนๆเอกสาร ตม. มาให้เรากรอกค่ะ มีแยกเป็น 2 ใบ (ใบออกจากจีน และใบเข้ามองโกเลีย)

มาสำรวจรถไฟกันรถไฟในหนึ่งโบกี้มีประมาณซัก 10 ห้องได้ ห้องน้ำจะมีโบกี้ละ 2 ห้องอยู่ด้านท้ายของแต่ละโบกี้ ห้องน้ำจะเป็นแบบโถส้วม และอ่างล้างหน้า สำหรับทำธุระล้างหน้าแปรงฟัน ไม่สามารถอาบน้ำได้(ถ้าสามารถก็อาจจะได้555)

นอกจากอ่างล้างหน้าที่ประจำอยู่ในห้องน้ำแต่ละห้องแล้วจะยังมีอ่างล้างมือที่พอจะล้างหน้าแปรงฟัน ล้างจานได้ ทำให้การใช้ชีวิตบนรถไฟสายนี้สะดวกสบายขึ้นมาเยอะเลยเพราะเสบียงที่เราขนมาทั้งจากไทย ทั้งจากปักกิ่งเยอะเหลือเกิน

บนรถไฟจะมีกาน้ำร้อนขนาดใหญ่อยู่ด้านหน้าของโบกี้ไว้บริการฟรีตลอด

ก่อนมานั้นกังวลที่สุดเรื่องการตกรถไฟเพราะเราคิดเพียงแค่ว่าเป็นช่วงวันหยุดยาวตรุษจีน คนจะต้องเยอะรถไฟอาจจะต้องเต็มแต่ไม่เลยทั้งโบกี้มีเพียงแค่เรา 2 ห้อง 8 ชีวิต กับนายรถไฟ 1 คนเท่านั้น

กิจกรรมแนะนำสำหรับบนรถไฟสายทรานส์มองโกเลียนี้ตามสไตล์แบกแพ็คก็คงไม้พ้น จิบชา ชมวิว อ่านหนังสือ ใช้เวลาพูดคุยสนทนาร่วมกัน แต่ๆ…ไม่ใช่ไลฟ์สไตล์การท่องเที่ยวแบบเรา

เพราะว่าเราใช้เวลากับการเล่นเกมส์ พูดคุย จินตนาการถึงปลายทางที่รอเราอยู่ เรื่องราวความหนาวเหน็บจากปักกิ่งที่เจอ และความหนาวจากไซบีเรียที่กำลังจะเจอ พร้อมกับจิบเบียร์ที่ไม่ได้อุ่นเลย

ทั้งๆที่ไม่ได้แช่ตู้เย็นด้วยซ้ำเพียงแค่วางกระป๋องเบียร์ไว้ที่ริมหน้าต่าง ก็จะได้เบียร์เย็นๆแล้วค่ะ

รู้ตัวอีกทีก็ถึงเวลามื้อเย็นแล้ว ไปลองอาหารที่ตู้เสบียงกันค่ะ มื้อแรกสำหรับตู้รถไฟจีน อาหารจะเป็นอาหารจีนค่ะ บอกได้คำเดียวว่าอร่อยมาก หรือเพราะหิวก็ไม่แน่ใจ แต่รสชาติถูกปากสุด แถมยังมีทั้งน้ำพริกที่เราพกพากันมาจากไทยทำให้มื้อนี้อิ่มอร่อยสุดๆ มื้อนี้ยังสามารถใช้เงินหยวนจ่ายได้ค่ะ

นั่งเพลินๆ นอนเพลินๆก็ได้เวลาเข้าเขตมองไกเลียแล้วตอนดึกๆ เรารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเพราะรถไฟหยุดวิ่ง และมีเจ้าหน้าที่ขึ้นมาตรวจเอกสาร 2-3 คน มาพร้อมกับนายรถไฟที่ประจำตู้โบกี้ของเรา ในระหว่างการผ่าน ตม. นี้เค้าจะไม่ให้ออกไปจากห้องที่เรานอนนะคะ ให้ประจำอยู่ที่เตียงของแต่ละคน(แน่นอนแหละกลางดึกแบบนี้งัวเงียกันอยู่เลยค่ะ)

เท่าที่ดูจากการแต่งตัวของเจ้าหน้าที่ๆขึ้นมาเดาว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ของจีนค่ะ เป็นเหมือนการตรวจขาออกของจีนค่ะ อันนี้ไม่มีปัญหาอะไรแป๊บเดียวก็เรียบร้อย สักพักรถไฟก็เคลื่อนตัวออกและ….

จอดอีกรอบ รอบนี้การแต่งกายของเจ้าหน้าที่เปลี่ยนไปคงเป็นการเข้าเขตมองโกเลียแล้วค่ะ เอกสารที่เจ้าหน้าที่ขอจะเป็น พาสปอร์ต ตั๋วรถไฟ พร้อมเอกสาร ตม. ทีเรากรอกค่ะ อันนี้เราเริ่มรู้สึกแปลกๆเนื่องจากว่าระหว่างที่เรานั่งรถไฟเข้าเขตมองโกเลียนั้นมีน้องคนหนึ่งในกลุ่มบอกว่า “ตอนนี้มีไวรัสแพร่ระบาดที่จีน ที่บ้านโทรมาเพราะเป็นห่วง” แต่ที่พวกเราไม่รู้สึกกังวลใดๆเพราะทราบข่สวนี้ตั้งแต่อยู่ที่ไทยก่อนเดินทางแล้ว แต่คิดว่าไม่มีอะไรหรอกเพราะไวรัสแพร่ระบาดที่อู่ฮั่น ห่างจากปักกิ่งมาก ไม่น่ากังวลอะไร

แต่พอเจ้าหน้าที่ๆเข้ามาตรวจนั้นเค้าวัดอุณหภูมิเรา วัดแล้ววัดอีก ก็ทำให้เราเริ่มกังวลขึ้นมานิดๆ แต่วินาทีนั้นเราตื่นเต้นกับการเดินทางข้างหน้ามากกว่าสิ่งใด

จอดรอบนี้นานเลยค่ะ หลังจากเจ้าหน้าที่ลงไปแล้ว พอมองออกไปนอกหน้าต่างก็พอจะเดาได้ว่าใช้เวลาเพื่อเปลี่ยนล้อค่ะ เพราะเท่าที่ศึกษาข้อมูลก่อนมาคือล้อรถของรถไฟเมื่อเปลี่ยนเข้าพรมแดนอีกประเทศ ต้องเปลี่ยนล้อเพื่อให้ตรงกับรางของแต่ละประเทศค่ะ

เช้าแล้วบรรยากาศสองข้างทางเปลี่ยนไป ภูมิประเทศจากที่มีแต่ภูเขาสูง ก็จะเริ่มเห็นหิมะขาวๆ พื้นที่ราบต้นไม้ใบหญ้าจะออกแห้งๆค่ะ

เวลาแบบนี้ไม่มีอะไรดีไปกว่าการนั่งจิบชา ริมหน้าต่างไปพร้อมกับการมองวิวนอกหน้าต่าง

มองการใช้ชีวิตของผู้คนที่รถไฟผ่านในแต่ละจุด การที่รถไฟจอดแต่ละสถานีมองคนขึ้นลงแต่ละสถานี

มองการแต่งตัวกับสภาพอากาศติดลบข้างนอกนั่น ไปพร้อมกับความคิดที่ว่าอากาศข้างนอกนั่นจะเป็นยังไงนะ เราจะทนไหวไหม

จนกระทั่งรถไฟจอดสถานีหนึ่ง ใช้เวลาจอดนานมาก

นอกหน้าต่างมีคุณป้าเข็นรถมาขายขนม มาม่า น้ำดื่มไม่ต่างจากสถานีรถไฟในไทยเลยค่ะ และแล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นคุณป้าขายขนมหน้าตาเหมือนซาลาเปา คุณป้ามองผ่านกระจกเข้ามาสบตาเราพร้อมกวักมือเรียก ไอ้เราก็ใจง่ายวิ่งไปที่ประตูรถไฟ เปิดประตูเท่านั้นแหละ เย็นยะเยือกเข้าปอด เข้าหัวใจ เราลืมบอกไปว่าอากาศในรถไฟเหมือนอากาศที่ กทม. บ้านเราเลยค่ะ ดังนั้นเราสามารถใส่แค่เสื้อยืด กางเกงขาสั้นธรรมดาได้เลยขณะอยู่บนรถไฟ ด้วยความรีบที่วิ่งมาแบบกางเกงใส่นอนตัวบางๆกับเสื้อยืดแขนสั้น พร้อมต่อรองราคา ด้วยภาษากาย หยิบเงินหยวนขึ้นมาป้าบอกโอเค พร้อมยื่นซาลาเปามาแลก พอเข้าปากเท่านั้นแหละ จบ…มันคือเนื้อแกะ หรือแพะ หรืออะไรซักอย่างที่กลิ่นช่างรุนแรงเลือเกิ้นนนน..ได้แค่คำเดียวจริงๆค่ะ ไม่สามารถทานต่อได้จริงๆ

ทั้งที่เตรียมใจไว้แล้วว่าหากมาถึงมองโกเลียสิ่งที่เราจะต้องเจอเกือบทุกมื้อคือแกะ เพราะที่นี่ไม่มีเนื้อหมู เนื้อวัวก็หายาก รวมถึงภูมิประเทศแถบนี้ที่ปลูกพืชผักยาก ทำให้ส่วนใหญ่พืชผัก ผลไม้ที่นี่จะนำเข้ามาทั้งสิ้น ก็เลยต้อนรับเราด้วยซาลาเปาเนื้อแกะกันไปเลย

ว่ากันว่าอีกหนึ่งไฮไลท์ของรถไฟสายทรานส์มองโกเลียคือตู้เสบียง ในระหว่างที่เราเปลี่ยนประเทศจากจีน เข้ามองโกเลียนั้นเค้าก็จะเปลี่ยนตู้เสบียงไปพร้อมกันทำให้ตู้เสบียงของวันนี้จะไม่เหมือนเมื่อวาน แน่นอนเราต้องไปลอง

มาถึงตู้ถึงขั้นต้องร้องว๊าว เพราะสวยอลังการมากนี่แค่ตู้เสบียงนะเนี้ย

ตกแต่งด้วยไม้สวยงามมาก

สำหรับอาหารมื้อแรกของมองโกเลียบนรถไฟของเราก็ไม่ต่างจากที่คิดไว้เลย เพราะส่วนใหญ่เป็นเนื้อแกะ กระทั่งซุปต่างๆแม้จะไม่ได้มีเขียนบอกไว้ว่ามีแกะ แต่เราจะรับรู้ได้ทันทีว่าในน้ำซุปนั้นมีส่วนประกับของแกะอยู่แน่นอน มื้อนี้ยังเหมือนเดิมแม้จะอยู่ในมองโกเลียแล้วแต่เรายังสามารถใช้เงินหยวนจ่ายได้โดยที่เค้าจะคิดเป็นเงินทุกรุก(ค่าเงินของมองโกเลีย)ก่อน แล้วแปลงเป็นเงินหยวน

หลังจากมื้อเที่ยงของเราผ่านพ้นไป ก็กลับมาที่ตู้นอนของเรา สังเกตได้ว่าตู้นอนของเราเริ่มมีเพื่อนร่วมโบกี้แล้ว รู้สึกครึกครื้นขึ้นมาทันที น่าจะเป็นผู้โดยสารที่ขึ้นมาระหว่างทาง ได้เวลา

เตรียมตัวก้าวขาลงจากรถไฟเพื่อพบเจอกับความหนาวเหน็บของดินแดนที่ได้ชื่อว่า ดินแดนแห่งที่ราบ มองโกเลีย

แพลนการเที่ยวมองโกเลียของเราที่เป็นไฮไลท์คือ พักที่พักแบบชาวมองโกเลีย(พักเกอร์) > เที่ยวเล่นในเมืองหลวงอูลานบาตอร์ > อนุสาวรีย์เจงกิสข่าน > City Tour เมืองอูลานบาร์ตอร์

แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้ว ก่อนลงรถไฟมีน้องคนหนึ่งในทริปเริ่มป่วยเพราะสภาพอากาศที่หนาวมาก รวมถึงน้องเริ่มกังวลเกี่ยวกับไวรัสโคโรน่าที่อู่ฮั่น แต่คนในทริปก็ปลอบใจอยู่ตลอดว่าไม่เป็นไรหรอกเรื่องเจ็บคอเป็นเรื่องปกติ เพราะเรากินน้ำกันน้อยมาก แล้วอากาศก็หนาวมาก หารู้ไม่ว่าไวรัสใกล้เรามากกว่าที่เราคิด..

ถึงซะที่มองโกเลีย พอลงรถไฟมาปุ๊บ เดาออกเลยว่าคนไหนที่มารับเรา

เพราะเค้ายืนยิ้มต้องรับเราอยู่ เราได้ทำการจองทัวร์ท้องถิ่นไว้ซึ่งจะรวมพาเที่ยว ที่พักเกอร์ รวมไกด์พาเที่ยว และบริการส่งที่สถานีรถไฟเพื่อเดินทางต่อไปรัสเซีย ทางบริษัททัวร์ท้องถิ่นแจ้งว่าจะมีไกด์มารอรับที่หน้าตู้เราเลยไม่ต้องกังวล และเมื่อรถไฟจอดเค้าบอกให้เราไม่ต้องรีบค่อยๆออกมาจากรถไฟก็ได้ เพราะเค้าทราบว่าเราพักกันตู้โบกี้ไหน

ทั้งที่เตรียมใจมาแล้วนะว่าอากาศมันต้องหนาว ใส่มาซะเต็มตัวแน่นไปหมด แน่นแบบถ้าหกล้มก็ไม่เจ็บแน่นอนเพราะใส่มาหนามาก ก้าวขาลงมาก็ยังหนาวอยู่ดี สิ่งแรกที่ต้องทำคือรับตั๋วรถไฟจากเอเจ่นที่จองไว้จากอูลานบาตอร์-เอียร์คุตส์

ไปเช็คกับเจ้าหน้าที่ห้องจำหน่ายตั๋วของสถานีเพื่อเป็นการรีเช็คว่าตั๋วที่เราได้มานั้นเป็นตั๋วจริง

หลังจากที่ได้รับการคอนเฟิร์มตั๋วแล้วเริ่มท่องอูลานบาตอร์อย่างสบายใจ

เวลาที่เราถึงอูลานบาตอร์เป็นช่วงบ่ายสองกว่าๆวันนี้ไกด์จะพาไปเราออกไปพักเกอร์นอกเมือง

ท้องถนนของเมืองอูลานบาร์ตอร์

ระหว่างทางแวะเที่ยวชมหินเต่า

หรือที่เรียกกันว่า Turtle Rock เห็นปุ๊บก็รู้ปั๊บว่าเป็นรูปเต่าจริงๆค่ะ นี่ไกด์เราเอง

ดูออกไหมคะ ว่าอันไหนเต่า อันไหนตากล้องเรา กลมหนาเหมือนกันหมด 555

จากนั้นไกด์ได้พาไปวัดที่อยู่ไม่ไกลมากจาก Turtle Rock

ระหว่างทางวิวสวยมาก

ชื่อว่า ARryapala Temple Meditation Center เป็นศูนย์ปฏิบัติธรรม ตั้งอยู่เนินเขาเห็นไกลๆค่ะ

จากจุดจอดรถอาจจะต้องออกกำลังคลายหนาวกันซักหน่อย

หายใจแทบไม่ทันค่ะ

อาทิตย์กำลังลับขอบฟ้าพอดีค่ะ

ระหว่างเดินขึ้นมาไม่ได้หันกลับมามองข้างหลังเลย พอตอนจะลงจากวัดอีกทีมองลงไปสวยมาก

แต่มองจากมุมบนสุดวิวสวยไม่ธรรมดานะคะ

นี่พนักงานต้อนรับที่นี่ค่ะ 555 สงสัยนะว่าสามารถอยู่ในสภาพอากาศที่หนาวขนาดนี้ได้ยังไง

ตอนเดินขากลับที่จอดรถนี่สบายเลยค่ะ ไม่มีใครรอใครเลย

แป๊บเดียวใกล้มืดแล้ว คิดว่าถ้ามืดนี่อากาศจะหนาวขนาดไหน

ก่อนเข้ามที่พักเราขอให้ไกด์พาไปซื้อของที่ร้านค้าก่อนเข้าที่พัก แต่…ด้วยความรบของทุกคนที่ออกมาจากในเมืองทำให้ทุกคนลืมแลกเงินไกด์เสนอตัวจ่ายให้ก่อน แล้วค่อยคืนในวันที่เราเข้าเมือง

มินิมาร์ทที่นี่เรียกได้ว่ามีทุกอย่าง แต่ที่สังเกตุได้ชัดเจนคือที่มองโกเลียสินค้า ข้าวของเครื่องใช้ หรือขนมต่างๆส่วนใหญ่จะมาจากเกาหลีค่ะ เกือบ 80% ของสินค้าในร้านจะมาจากเกาหลีทั้งหมด

คืนนี้เราจะพักที่เกอร์ค่ะ Ger แต่เกอร์ที่เราพักจะเป็นเกอร์ที่ปรับให้เป็นที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวแล้ว

เกอร์เป็นที่พักแบบชนเผ่าเร่ร่อนที่เมื่อก่อนยังชีพโดยการเลี้ยงสัตว์ และเปลี่ยนที่อยู่ไปเรื่อยๆ หน้าตาจะประมาณนี้ค่ะ

จะไม่มีห้องน้ำนในตัวนะคะ ห้องน้ำจะใช้เป็นส่วนกลางอยู่บนตึก

เป็นจุดเดียวกับห้องอาหารเช้าของพรุ่งนี้ค่ะ เกอร์ของเราคืนนี้ตั้งอยู่ในอุทยาน อุทยานแห่งชาติกอร์ไกเทเรลจ์ Gorkhi Terelj National Park ค่ะ

อย่างเดียวที่กังวลคือจะอุ่นไหมถ้าสภาพอากาศแบบนี้ แต่ไม่เลยข้างในมีทั้งฮีทเตอร์ที่พื้นห้อง มีทั้งไฟด้านบนที่เป็นฮีทเตอร์และกองไฟที่สุมด้วยฟืนอยู่หลางห้องค่ะ เข้าไปปุ๊บร้อนเลยค่ะ คืนนี้นอนอุ่นสบายแน่นอน

ได้เวลามื้อเย็นแล้ว อันนี้รวมค่าอาหารแล้วนะคะ จากที่ไม่คาดหวังว่าอาหารที่นี่จะอร่อย แต่ไม่เลยนะคะ อร่อยมากอันนี้เป็นไก่ค่ะ คล้ายไก่อบ พร้อมข้าวและมันบดค่ะ บอกเลยว่าอร่อย

หลังมื้อเย็นไกด์แนะนำว่าที่นี่เห็นดาวชัดมาก ตากล้องของเราพากันไปถ่ายรูปดาวท่ามกลางสภาพอากาศที่หนาวจับใจนี้ได้รูปนี้มาค่ะ แต่เราน่ะหรอ รอดูรูปถ่ายสวยๆจากเกอร์อุ่นๆดีกว่าค่ะ^^

เราได้ลองเอาขวดเบียร์ยักษ์ไปวางไว้ที่หน้าเกอร์ ไม่ถึง 20 นาที แข็งไปเลยจาาา…จะออกไปหนาวทำมายยย

เช้านี้อากาศดีเหลือเกิน เราเริ่มไม่รู้สึกว่าหนาวแล้ว จริงๆก็คงหนาว แต่อาจจะเพราะเราชินเลยไม่รู้สึกสะท้านใดๆ

 

หน้าตามื้อเช้าค่ะ เริ่มจากซุป ที่มีข้าว เหมือนข้าวต้มบ้านเรา เห็นหน้าตาแบบนี้อร่อยนะคะ

ขนมปังแบบหน้าตาเหมือนปลาท่องโก๋นี้เราจะเจอมันทุกทีของที่นี่เลยค่ะ น่าจะนิยามทานกัน

ส่วนอันนี้ไส้กรอกกับไข่ดาว ไส้กรอกเห็นหน้าตาดีแบบนี้กัดปุ๊บรู้เลยว่าเป็นไส้กรอกของที่นี่ lamb มาอีกแล้วจาาา..

วันนี้เราจะมีไปขี่ม้าชมวิวอุทยาน และเข้าเมืองอูลานบาตอร์ ไปเที่ยวในเมืองกันต่อค่ะ

ถึงแล้วค่ะจุดที่เราจะขี่ม้า น้องม้าที่เราจะขี่เดินเล่นเป็นของชาวบ้านค่ะ

เค้าให้เราเข้าไปเยี่ยมชมเกอร์ที่ชาวบ้านอยู่อาศัยจริงค่ะ อันนี้ป่องด้านบนหลังคาค่ะ

ไม่ค่อยต่างจากที่เราพักเท่าไหร่ แต่ในเกอร์มีทุกอย่างทั้งตู้เสื้อผ้า อ่างล้างจาน รวมถึงอุปกรณ์ทำอาหารและเครื่องครัวต่างๆค่ะ

ชาวบ้านเสิร์ฟเราด้วยชานม

ขนมปัง และอะไรซักอย่างเหมือนลูกอมที่ทำมาจากโยเกิร์ตค่ะ

ก่อนขี่ม้าเราคิดว่าสงสารน้องเพราะอากาศก็หนาวขนาดนี่ยังต้องมาแบกเราเดินอีก

ที่ไหนได้ดูสภาพตัวน้องม้าสิคะ ตัวโตมาก การที่น้องได้เดินเป็นการออกกำลังคลายหนาวให้น้องค่ะ^^

นี่ค่ะไกด์ของเราเฟี้ยวฟ้าวสุดๆไหมคะ

ตะกี้ที่เราบอกว่าการขี่ม้าเป็นการขี่ม้าชมวิวใช่ไหมคะ

ตอนแรกก็อิน ชมวิว สวยงาม

มองไปทางหนก็ขาวไปหมด

ตัดภาพไปค่ะ นั่งน้องม้ามาได้แค่ 5 นาที เท้าหาย มือหาย หูหายไปแล้วค่ะ คือหนาวที่สุดที่เคยรู้สึกได้เลยค่ะ ในใจได้แต่บอกว่าเมื่อไหร่จะถึง เมื่อไหร่จะถึง คิดแค่นี้จริงๆไม่ได้ดื่มด่ำความสวยงามอะไรทั้งสิ้นเลย

ขนตาหิะก็มา

จากการขี่ม้าที่แสนหนาวเหน็บผ่านไปได้เวลาเข้าเมืองแล้ว

ระหว่างทางค่อนข้างสวยเราเลยขอให้ไกด์แวะถ่ายรูปข้างทาง อันนี้สวยจริงค่ะ ประทับใจมากกับถนนหนทางที่นี่ แม้จะมีแต่สีขาวๆแต่ก็สวยโล่งสบายตาสุดๆ

ก่อนเข้าเมืองอีกหนึ่งสถานที่ ที่ใครๆมามองโกเลียจะไม่มีทางพลาดที่จะมาที่นี่ คืออนุสาวรีย์เจงกิสข่าน

พนักงานต้องรับมาอีกแล้ว แต่เดี๋ยวก่อนนะให้พี่ลงรถก่อน

เราจะขึ้นไปชมด้านบน ขึ้นบันไดจากด้านในโผล่อีกทีก็ตรงหัวม้าของท่านเจงกิสข่านเลยค่ะ

ด้านในก็จะมีเหมือนพิพิธภัณฑ์ ต่างๆ ทั้งอูฐที่สต๊าฟไว้ กับพัฒนาการของเกอร์แต่ก่อนค่ะ

สังเกตประตูของที่นี่

ส่วนด้านนอกของอนุสาวรีย์เจงกิสข่านจะมีอูฐให้ลองขี่

แล้วก็มีเหยี่ยวให้ถ่ายรูปค่ะ อันนี้เสียตังเพิ่มนะคะ

เสียตัง… เฟี้ยวฟ้าวกับฉากหลังได้แป๊บเดียวแค่นี้ก็คุ้มละค่ะ

น้องอูฐที่เราคิดว่าตัวเล็กๆ ไม่เล็กนะคะ

Zaisan Monument อนุสรณ์สถานทหารผ่านศึกไซซาน

ตั้งอยู่บนเนินเขาที่สามารถมองเห็นวิวเมืองอูลานบาตอร์ได้ มาที่นี่สร้างเพื่อระลึกถึงทหารมองโกเลีย และโซเวียตที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 2

ตรงกลางอนุสรณ์สถานเป็นภาพวาดแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างโซเวียตและมองโกเลีย

ทั้งการสนับสนุนของโซเวียตในการประกาศอิสระภาพของมองโกเลีย ความพ่ายแพ้ของกองทัพญี่ปุ่นบนชายแดนมองโกเลีย และชัยชนะเหนือนาซีเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 2

ที่สำคัญที่เราเห็นได้ชัดจากอนุสรณ์สถานแห่งนี้คือ วิวเมืองอูลานบาตอร์

เห็นอะไรไกลๆนั่นไหมคะ อันนั้นไม่ใช่ก้อนเมฆนะคะ จากรูปอาจจะไม่ชัด แต่หากมองด้วยตาเปล่ามันชัดมาก มันคือฝุ่นควัน มลพิษ

ซึ่งเมืองหลวงของมองโกเลียแห่งนี้ คือเมืองที่เคยได้ชื่อว่ามีคุณภาพอากาศแย่ที่สุดในโลกอันดับ 1 ในปี 2562

ก็ไม่แย่เท่าไหร่นะ^^

วิวเมืองจริงๆค่ะ อูลานบาร์ตอร์เจริญกว่าที่เราคิดไว้ก่อนมานะ

ได้เวลาลิ้มลองอาหารพื้นเมืองของอูลานบาตอร์แล้วมาดูกันค่ะ ว่าอาหารจะเป็นลักษณะแบบไหน

ดูแต่ละจานหน้าตาดีพอสมควรค่ะ แต่จานค่อนข้างใหญ่มาก

จะเนื้อแกะ เนื้อแพะเอามาให้หมด

ต้องสั่งแบบไม่เหมือนกันแยกๆกันสั่งแล้วเอามาแบ่งกันกินค่ะ

ไกด์ได้พาเรามาร้านอาหารแบบพื้นเมืองที่ถือว่าร้านใหญ่ดูดีเลยที่เดียว อันนี้ขนมปังกับเนยแบบการิก อร่อยกว่าหน้าตา

หลังจากอิ่มแล้ววันนี้เราจะเดินเล่นในเมืองกันค่ะ แต่ก่อนจะเดินเล่นไกด์จะพาเราไปเช็คอินกันก่อนจากร้านอาหารสามารถเดินไปที่โรงแรมได้เลยค่ะ

ที่พักที่จองไว้ค่อนข้างสะดวกเป็นทั้งแบบโรงแรม และโฮสเทลค่ะ

โลเคชั่นคือสามารถเดินทะลุไปจตุรัสกลางเมืองซุกบาทา (Genghis Khan Square) ได้เลย

ในย่านนี้จะมีทั้งห้าง ซุปเปอร์มาร์เก็ต และร้านอาหารมากมาย เราได้ทำการจองแบบโฮสเทลแบบห้องรวมไว้ ในห้องมีทั้งหมด 9 เตียงเราเลยทำการจองแบบเหมาห้องเลย ซึ่งเราจะพักที่นี่ 2 คืนค่ะ ราคาน่าจะเฉลี่ยอยู่ที่คนละสองร้อยกว่าบาท รวมอาหารเช้าแล้วด้วย

ได้เวลาออกเดินเล่นช้อปปิ้งค่ะ แต่ก่อนอื่นที่ต้องทำคือการแลกเงินเพราะ ในเมืองส่วนใหญ่จะไม่ได้รับเงินหยวนแล้ว ดังนั้นจะต้องไปแลกเงินก่อนซึ่งสามารถแลกได้ที่ธนาคารได้เลย ธนาคารอยู่ใต้ตึกที่พักเราเองค่ะ

เราคิดว่าเราอยู่ที่นี่แค่วันนี้กับพรุ่งนี้เลยคิดว่าน่าจะใช้เงินจ่ายอะไรไม่เยอะ ดังนั้นเราแลกเงินมาแค่ 39,550 ทุกรุก ค่าเงินมองโกเลียจะเรียกว่าทุกรุกค่ะ Tugrik ตอนนับเงินในมือนี่เป็นหมื่น แต่เมื่อคิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 400 กว่าบาทเองนะคะ เพราะที่นี่ค่าครองชีพจะค่อนข้างถูกมากเลยค่ะ

บรรยากาศที่จตุรัสซุกบาทาจะค่อนข้างครึกครื้นนะคะ ก่อนมาได้ศึกษาว่าที่นี่ฤดูหนาวจะค่อนข้างเงียบเหงาเพราะส่วนใหญ่ผู้คนจะใช้ชีวิตในตัวอาคารอันเนื่องมาจากสภาพอากาศที่หนาวเย็น แต่ไม่เหมือนที่คิดไว้เลย

ผู้คนที่จตุรัสออกมานั่งเล่น เดินเล่น ยืนพูดคุยกันแบบไม่ได้สะทกสะท้านกับอากาศ ต่างจากเรา 8 ชีวิตที่ยื่นสั่นอยู่ ช่วงที่มาจตุรัสแห่งนี้มีเค้าได้มีการนำน้ำแข็งมาวางเป็นไสด์เดอร์ค่ะ หนาวขนาดไหนดูได้จากการเอาน้ำแข็งมาวางให้เล่นสไลด์โดยไม่มีการละลายใดๆ

ตรงจตุรัสช่วงที่ไปให้อารมณ์เหมือนลานกิจกรรมค่ะ

มีน้องเด็กๆมองโกเลียเข้ามาทักทายด้วย คนที่นี่น่ารักค่ะ ยิ้มแย้มทักทาย ตอนแรกๆเราจะเขินๆหน่อยเพราะเดินไปทางไหนก็มีแต่คนมอง อาจจะเพราะทุกคนถือกล้องเห็นได้ชัดว่าเป็นนักท่องเที่ยว พอเดินไปโน่นนี่สักพักก็เริ่มชินเราเดินผ่านผู้คนก็ทักทายเค้าก็น่ารักยิ้มทักกลับ

เดินเล่นกันจินหิวโหย หนาวๆแบบนี้ขอชาบูสไตล์มองโกเป็นอุ่นๆร้อนๆสักหน่อย จากจตุรัสเดินมานิดหน่อยก็จะเจอห้างสรรพสินค้าติดๆกันเลยค่ะ ร้านชาบูร้านนี้ใหญ่โตมาก อย่างแรกเมื่อมาถึงเราต้องฝากเสื้อโค้ทตัวนอกกันก่อนเพราะต้องใช้อีกหลายวัน จะเหม็นไม่ได้

หน้าตาชาบูที่นี่ค่ะ เด็ดเว้ออออ เป็นแบบสั่งเอานะคะ แต่สำหรับพวกน้ำจิ้มให้ไปตักเองตามใจชอบค่ะ หน้าตาน้ำจิ้มจะแปลกๆหน่อย อะไรก็ไม่รู้แหละตักๆปรุ่งๆผสมกันชิมแล้วอร่อยก็พอเนาะ

หลังจากอิ่มจนล้นแล้วถึงเวลาลุ้น…ลุ้นว่าค่าเสียหายจะเท่าไหร่ บิลมาแทบช็อค ราคาถูกมากกกก.. ตามที่รู้กันอยู่แล้วว่าค่าครองชีพที่นี่ไม่สูงเลยแต่ก็ยังแอบตกใจอยู่ดี กินกันแบบทั้งเนื้อทุกอย่างแบบเล่นใหญ่มาก เครื่องดื่มทั้งเบียร์ทั้งน้ำชา น้ำโน่นนี่ ตกคนละสามร้อยกว่าบาท

ออกมาจากร้านปุ๊บแทบอยากจะแก้เสื้อสเวเตอร์ทิ้ง กลื่นชาบูติดตัวแบบรุนแรงมาก โอ้ววว หลังจากนี้จะใช้ชีวิตยังไงเนี้ย ดีนะที่พกที่ฉีดดับกลิ่นเสื้อผ้ามาจากไทยเพราะรู้ว่าจะต้องเจอเรื่องนี้^^

ถึงเวลากลับไปพักผ่อนกันแล้ว ระหว่างเดินกลับที่พัก ซึ่งต้องผ่านตรงจตุรัสซุกบาทาอีกครั้ง

แวะเล่นเปียโนซักหน่อย

อ้อ นี่ค่ะ เห็นอะไรกลางสี่แยกไหมคะ คุณตำรวจยืนโบกรถกันแบบนี้แทนไฟแดงเลยค่ะ มีแท่นให้ขึ้นไปยืนด้วยแปลกตาดีค่ะ

เอะๆลานไอซ์สเก็ตตรงจตุรัสกลางเมือง ยกน้ำแข็งมาไว้กลางเมืองเพือทำลานสกีค่ะ นั่งมองกันเพลินๆ เหล่าสมาชิกหันมองหน้ากันเป็นอันตกลง ลองเล่นกันดูค่ะ ระหว่างที่ยืนมองดูเหล่าวัยรุ่นเล่นกันอย่างโหด

อย่างโหดที่ว่าเนี้ยคือเล่นเก่งมากทั้งแบบถอยหลังหมุนตัว เราต้องไปโชว์ให้เด็กมันดูแล้วค่ะ ทุกคนไปที่ห้องขายตั๋วที่เหมือนตุ็คอนเทนเนอร์เล็กๆข้างลานสเก็ต ตกลงราคากันแบบ งงๆ ตกใจอีกแล้วค่าเล่นรวมรองเท้าสเก็ตคนละ 30 บาทถ้วน

ถึงเวลาลงสนาม สำหรับคนที่เล่นไม่เก่ง หรือยังไม่เคยเล่นจะค่อยๆไถ่ๆไปในทางเดียวกันโดยเกาะขอบลานที่ทำด้วยน้ำแข็งค่ะ สำหรับคนที่อยู่ระดับขั้นโปรแบบเราแน่นอน….. เกาะอยู่ขอบสิคะ 555 ถือว่านี่เป็นครั้งแรกของเราที่เล่นไอซ์สเก็ต แน่นอนว่าทั้งล้ม ทั้งก้นกระแทก แต่สนุกดีค่ะ เหล่าวัยรุ่นที่เล่นกันแบบโปรมองกลุ่มพวกเราจะหัวเรากันคิกๆคักๆเลย 555

เราล้มไปนับครั้งแทบไม่ถ้วน บอกเลยว่าคุกเข่าเป็นว่าเล่น เหล่าวัยรุ่นที่เล่นๆกันอยู่ก็มาช่วยประคองเราหลายทีเลยค่ะ เค้าน่าจะสงสาร หนาวก็หนาว สนุกก็สนุก

ได้เวลาเดินกลับที่พัก พออาบน้ำอุ่นเท่านั้นแหละเห็นร่องรอยที่ได้มาจากไอซ์สเก็ตเลยค่ะ แดงเป็นจ้ำๆ

เช้าแล้ว วันนี้โปรแกรมของเราคือไปวัด และเดินช้อปปิ้งเสบียงก่อนที่ไกด์คนเดิม พร้อมรถจะมารับพวกเราช่วงบ่ายเพื่อที่จะไปนั่งรถไฟต่อไปยังรัสเซียค่ะ

Gandantegchinlen Monastery จะเรียกว่าวัดก็ไม่ถูกนักนะคะ เป็นเหมือนสำนักสงฆ์แบบทิเบตค่ะที่นี่จะมีค่าเข้าชมสถานที่ด้วยนะคะ สำหรับนักท่องเที่ยวค่ะ แต่สำหรับคนที่นี่ฟรีค่ะ

ที่นี่นักท่องเที่ยวชาวเกาหลีเยอะมากค่ะ เหมือนสถานที่นิยมสำหรับนักท่องเที่ยวค่ะ

เราเข้ามาชมด้านในของตัววิหารหลักด้วยแต่ด้านในไม่ให้ถ่ายรูปนะคะ ถ้าจะถ่ายรูปเสียตังเพิ่มค่ะ

เคยได้ยินกันไหมคะว่าที่มองโกเลียนี่รถทุกคันคือแท๊กซี่ อันนี้จริงค่ะ แต่อีกอย่างที่ต้องรู้คือเรื่องการต่อรองราคาสำหรับนักท่องเที่ยวแบบเราอย่าลืมต่อรองราคาเด็ดขาดนะคะ หากเป็นไปได้ให้เตรียมเงินจ่ายแบบพอดีอย่าจ่ายแบงค์ใหญ่แล้วหวังว่าเค้าจะทอนเรานะคะ และอย่าลืมย้ำเรื่องราคากับคนขับด้วยนะคะ

เราเจอมาแล้วด้วยที่เรามากัน 8 คน ต้องแยกนั่งแท็กซี่กันคนละคัน ก่อนขึ้นตกลงราคาเรียบร้อย พอลงรถแค่นั้นแหละจ่าเยแบงค์ให้ไป คนขับตีมึนค่ะ แล้วบอกว่าพอดี ออกรถไปเลย งง เลยค่ะ แต่ดีนะคะที่ไม่แพงมาก พอมาคุยกับเพื่อนที่นั่งมาอีกคันคนขับเค้าเก็บตังตามที่ตกลงไปเป๊ะ กลายเป็นคันของเราโกงเราซะงั้น อันนี้เราคิดว่าจะไม่ได้เป็นกันทุกคนนะคะ แค่อยากให้ระวังไว้เท่านั้นเองค่ะ ไม่งั้นเราจะนอยด์เที่ยวไม่สนุกค่ะ ^^

ก่อนกลับได้เวลาแวะซื้อเสบียงตุนไว้สำหรับนั่งรถไฟจาก อูลานบาตอร์-เอียร์คุตส์ รัสเซียค่ะ ซึ่งบ่ายวันนี้เราจะต้องเซย์กู๊ดบายมองโกเลียกันแล้วค่ะ เหมือนที่เราบอกว่าโลเคชั่นที่พักดีมาก ข้างหน้าติดกับซุปเปอร์มาเก็ตเลยค่ะ เราเดินเพลินมากอะ เพราะของทั้งถูกทั้งน่ากินไปหมด อย่างที่บอกว่าที่นี่รับเกาหลีมาเยอะดังนั้นทั้งขนมเกาหลี มาม่าเกาหลี สาหร่ายเกาหลี คิมบับเกาหลีเยอะมาก และขนมของที่นี่ก็มาจากเกาหลีเยอะมากราคาถูกกว่าที่บ้านเราเยอะเลย

แลกเงินมานิดเดียวแต่ไม่เป็นปัญหาเพราะเรามีบัตรเครดิต 555 เสียดายมีเวลาซื้อของแค่ ชม. เดียวเพราะนัดคุณไกด์กับรถไว้

คุณไกด์มาส่งพวกเราที่สถานีรถไฟ

พร้อมทั้งช่วยหาตู้โบกี้ที่เราจองไว้คุณไกด์คอยดูเราจนวินาทีสุดท้ายจริงๆค่ะ เค้าน่ารักมาก เหมือนคุณพ่อที่พาเหล่าลูกๆทั้ง 8 ไปเที่ยวแล้วมาส่งกลับบ้านน่ะค่ะ

ของเยอะแยะเต็มไปหมดค่ะ ตอนมานี่กระเป๋าใบเดียวเองนะ

เช็คอิน เช็คพาสปอร์ตกับเจ้าหน้าที่นายสถานีเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาบอกลา อูลานบาร์ตอร์ ที่นี่มีทุกอย่างทั้งความเป็นธรรมชาติของทั้งผู้คน อาหาร ของกิน เรียบง่าย เวลาเพียงแค่ 4 วัน 3 คืนกับที่มองโกเลีย บอกได้เลยว่า “มองโกเลีย ฉันจะกลับมา”

แต่ตอนนี้ตื่นเต้นกับสิ่งที่เรากำลังจะไปหาดีกว่า สถานที่ๆเรากำลังจะเดินทางไปหา พอคิดถึงชื่อนี้ทุกครั้งก็รู้สึกพราวในตัวเองอย่างบอกไม่ถูกว่า “เรากำลังจะเดินทางไปไซบีเรีย” โดยรถไฟสายทรานไซบีเรีย….เราจะไปหาทะเลสาบน้ำจืดที่ลึกที่สุดในโลก “ไบคาล” แต่ต่อให้ลึกที่สุดก็สามารถแข็งเป็นน้ำแข็งจนรถลงไปวิ่งได้ …….ติดตามตอนสุดท้ายได้นะคะ เร็วๆนี้ค่ะ