มาทำความรู้จักกับ “จอร์เจีย” ดินแดนสุดขอบทวีปเอเชียกับวิวธรรมชาติสุดอลัง


มาทำความรู้จักกับจอร์เจีย

“จอร์เจีย” เป็นประเทศเล็กๆที่น่ารักมีความผสมผสานระหว่างเอเชีย และยุโรปเข้าด้วยกัน เพราะ “จอร์เจีย” นั้นเป็นประเทศที่อยู่เกือบสุดพรมแดนของทวีปเอเชีย และอยู่ใกล้กันกับทวีปยุโรป โดยทิศเหนือจะติดกับประเทศรัสเซีย มีเทือกเขาคอเคซัสเป็นตัวแบ่งพรมแดนระหว่างทวีปยุโรปและทวีปเอเชีย ทิศใต้ติดกับประเทศอาร์มีเนียและตุรกี ทิศตะวันออกติดกับประเทศอาเซอร์ไบจาน ส่วนทิศตะวันตกติดกับชายฝั่งทะเลดำ

แผนที่ประเทศจอร์เจีย

จอร์เจีย ประเทศนี้นับว่ามีประวัติศาสตร์ยาวนานมากว่า 2500 ปี มีวัฒนธรรมที่เก่าแก่ มีเอกลักษณ์ และเต็มไปด้วยธรรมชาติที่งดงาม ที่สำคัญคนไทยสามารถเที่ยวได้โดยไม่ต้องขอวีซ่าได้ถึง 365 วัน รวมทั้งค่าครองชีพยังถูกเหมือนบ้านเรา จึงไม่แปลกที่เราจะสามารถแพลนเที่ยวได้สบายๆ

ค่าเงินของ จอร์เจีย

ประเทศจอร์เจียใช้สกุลเงินที่ชื่อว่า ลารีจอร์เจีย (GEL) 1 ลารีจอร์เจีย (GEL) = ประมาณ 11.21 (เรทแล้วแต่ช่วง) ที่สำคัญไม่มีร้านแลกเงินในไทยเปิดแลกสกุลเงิน ลารีจอร์เจีย หากจะเดินทางไปท่องเที่ยวที่จอร์เจียนั้นแนะนำให้แลกสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) และหรือยูโร (EUR) ไปจากเมืองไทยก่อน และเมื่อเดินทางไปถึงจอร์เจียแล้วค่อยไปแลกเป็นสกุลเงิน ลารีจอร์เจีย

เที่ยว “จอร์เจีย” เดือนไหนดี

เราสามารถเลือกท่องเที่ยว จอร์เจียได้ 4 ฤดู ซึ่งแต่ละช่วงฤดูก็มีความสวยงามที่แตกต่างกันออกไป

ฤดูใบไม้ผลิ (เดือนมีนาคม-พฤษภาคม) อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 10-24 องศาเซลเซียส เป็นช่วงที่อากาศเย็นสบายเหมาะกับการออกเดินทางท่องเที่ยวมากที่สุด ต้นไม้ใบไม้จะมีสีเขียว สามารถแต่งตัวชิวๆใส่แค่เสื้อกันหนาวแขนยาวก็อยู่ได้แล้ว ถือว่าเป็นช่วงที่เหมาะกับการท่องเที่ยวมากๆ

ฤดูร้อน (เดือนมิถุนายน-สิงหาคม) อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 16-31 องศาเซลเซียส อุณหภูมิจะสูงขึ้นมาอีกหน่อย หากใครที่ขี้หนาว หรือไม่ชอบอากาศเย็นๆสามารถมาเที่ยวช่วงนี้แทนได้ วิวก็สวยงามไปอีกแบบหนึ่ง

ฤดูใบไม้ร่วง (เดือนกันยายน-พฤศจิกายน) อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 4-20 องศาเซลเซียส ช่วงนี้ที่จอร์เจียจะเข้าสู่ฤดูใบไม้เปลี่ยนสี บรรยากาศจะเหลืองๆ ส้มๆ แต่งแต้มเมืองให้มีสีสันดูสวยงามมากขึ้น แต่อากาศก็จะเย็นนิดนึง หรืออาจจะมีลมแรงๆหากอยู่ที่สูงๆ หากใครขี้หนาวควรเตรียมเสื้อกันลมไปด้วย

ฤดูหนาว (เดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์) อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ -3 ถึง 8 องศาเซลเซียส ช่วงนี้อากาศก็จะหนาวมากๆ และมีหิมะตกจนขาวโพลนไปหมด ใครที่ชอบหิมะและสภาพอากาศแบบนี้ก็แนะนำฤดูหนาวเลย แต่อาจจะต้องเตรียมเสื้อผ้าเยอะหน่อย และหากขึ้นเขาหรืออยู่ที่สูงๆอาจจะหนาวและลมแรงมากๆ แต่บอกเลยว่าฤดูหนาวจอร์เจียก็สวยงามไม่แพ้ยุโรปประเทศอื่นๆเลย

สายหวานห้ามพลาด รวมของหวานขึ้นชื่อที่”อิตาลี”


เอาใจสายหวานกันบ้าง พอพูดถึงของหวานก็ต้องเป็นที่โปรดปรานของหลายๆ คนแน่นอน ครั้งนี้เลยอยากมาแนะนำของหวานขึ้นชื่อที่ “อิตาลี” ว่ามีอะไรบ้างที่น่าทาน และอร่อยบ้าง หากเพื่อนๆคนไหนมีโอกาสได้ไปเที่ยว จะได้ลองกันชิมกันว่าอร่อยสมคำร่ำลือแบบที่หลายๆคนพูดกันจริงไหม และถือว่าเป็นการสัมผัสรสชาติสุดแปลกที่ต่างแดนอีกด้วย

(1) Gelato ไอศครีมอิตาเลี่ยน

ไอศครีมสุดโด่งดังของอิตาลี มีหลากหลายรสชาติให้เลือกเลย ไม่ว่าจะเป็นรสชาติแบบดั้งเดิม ทั้งวนิลา ช็อคโกแล็ต หรือรสผลไม้ เช่น เชอร์รี่ เมล่อน องุ่น หรือแม้กระทั่งรสที่เราไม่เคยได้ยิน และไม่ว่าจะมุมไหนๆของอิตาลีก็มักจะมีร้านขายไอศรีมอิตาเลียนเต็มไปหมด หาลองแบบไม่ยากเลย หากไปเจอต้องลองชิมรสชาติแบบที่บ้านเราไม่มีขายนะ ลองดูสิว่าอร่อย ฟิน แค่ไหน

(2) Tiramisu เค้กทีรามิสุ

เป็นเค้กที่หลายคนพูดว่าไม่มีเค้กอะไรที่อร่อยเท่าเค้กทีร่ามิสุนุ่มๆอีกแล้ว เพราะเนื้อเค้กชุ่มฉ่ำไปด้วยกาแฟสลับกับครีมสด และผสมด้วยชีสสลับไปมาหลายๆชั้น โรยหน้าด้วยผงโกโก้สุดเข้มข้น แค่นึกถึงก็ฟินสุดๆแล้ว และเค้กทีรามิสุนี้ถือว่าเป็นของหวานสุดอร่อยประจำชาติของอิตาลีเลย ชื่อเสียงขนาดนี้ไม่ลองไม่ได้แล้วว

(3) Panna Cotta เพนนา คอตตา

ขนมหวานนี้ คือ พุดดิ้งที่ทำจากครีม ที่มักจะเสิร์ฟพร้อมกับคาราเมล ซอสช็อคโกแลต หรือผลไม้พวกเบอร์รี่ หรือบางร้านอาจจะดัดแปรงให้มีความน่าทานมากขึ้น โดยดัดแปลงเนื้อพุดดิ้งให้มีความหลากหลาย เพิ่มความแปลกใหม่และน่าทานขึ้นไปอีก เป็นอีกหนึ่งขนมหวานที่น่าลองสุดๆ

(4) Tart ทาร์ต


ขนมอบหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับพายทำด้วยแป้งบางๆ กรอบๆ มีรสชาติหลากหลาย ส่วนรสชาติที่ฮิตที่สุดก็คือ ผลไม้ โดยเฉพาะมะนาว รสครีม และตกแต่งด้วยสตรอว์เบอร์รี่ด้านบน แบบน่าทานมากๆ

(5) Cookie คุกกี้

อิตาลีนอกจากจะมีขนมหวานอร่อยๆหลายอย่างแล้ว ยังมีคุกกี้อีกที่อร่อยไม่แพ้กัน โดยเฉพาะคุกกี้ชิ้นเล็กๆที่ขายตามคาเฟ่ ทานคู่กับกาแฟ หรือโกโก้ร้อนจะอร่อยมากๆ ขอแนะนำรสชาติ คานโนลี เป็นครีมนุ่มๆ รสวนิลา ห่อด้วยแป้งกรอบๆ หรือจะเป็นคุกกี้กลมๆรสอัลมอนด์ก็อร่อยมากๆ

ทัวร์ญี่ปุ่น 2566 แนะนำ 15 จุดชมซากุระถ่ายรูปสวยทั่วญี่ปุ่น

61 Hanami Festival Rev 2 M

Sakura Japan แนะนำ 15 จุดชมซากุระถ่ายรูปสวยทั่วญี่ปุ่น


Sakura Japan – เมื่อใกล้ถึงช่วงฤดูกาลของเทศกาลซากุระ มันก็เป็นธรรมดาที่จะต้องตื่นเต้นกับเทศกาลนี้ เพราะทั่วทั้งญี่ปุ่นจะกลายเป็นสีชมพู สวยสดใสมากๆ รวมทั้งอากาศที่เย็นสบายในช่วงเดือนมีนาคม – พฤษภาคม ก็เหมาะกับการไปเที่ยวญี่ปุ่นในวันหยุดยาวอย่างช่วงสงกรานต์ และหลายๆครอบครัวคงเริ่มแพลนเที่ยวช่วงเทศกาลนี้กันแล้ว ครั้งนี้เลยอยากมาแนะนำจุดชมซากุระทั่วญี่ปุ่นตั้งแต่ใต้ ไล่ขึ้นมาทางเหนือสุดของญี่ปุ่นว่ามีที่ไหนน่าสนใจบ้าง พร้อมช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการ ทัวร์ญี่ปุ่น 2566 ลองไปชมกันเลยค่ะ

 

(1) สะพานคินไตเคียว ยามางุชิ

ช่วงเวลา : ต้นเมษายน – กลางเมษายน

 

Cherry Blossom Full Bloom At Kintaikyo Bridge

ด้วยลักษณะความสวยงามของสะพานที่ไม่เหมือนใคร สะพานคินไตเคียวจึงถูกจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 3 สะพานที่สวยที่สุดในญี่ปุ่นเลย และเมื่อบริเวณนี้เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ เดือนเมษายน บริเวณรอบๆสะพานจะเต็มไปด้วยดอกซากุระ ซึ่งเทศกาลชมซากุระจะถูกจัดขึ้นในช่วงต้นเดือนเมษายนของทุกปี รวมทั้งในช่วงกลางคืนก็จะมีการประดับตกแต่งไปด้วยแสงไฟ ส่วนกิจกรรมที่พลาดไม่ได้ของที่นี่คือ การล่องเรือชมสะพานที่ถูกล้อมรอบไปด้วยดอกซากุระที่บานสะพรั่ง


(2) ปราสาทฮิเมจิ เฮียวโงะ

ช่วงเวลา : ต้นเมษายน – กลางเมษายน

36 Himeji Castle Sakura

ปราสาทฮิเมจินี้เป็นสถานที่ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลกแห่งแรกของญี่ปุ่น และยังได้ชื่อว่าเป็นปราสาทที่สวยที่สุดของญี่ปุ่นอีกด้วย ในช่วงต้นเดือนเมษายนของทุกปี จะมีการจัดเทศกาลชมซากุระ พร้อมกับการบรรเลงเครื่องคนดนตรีโกโตะ และกลองไทโคะของคนญี่ปุ่น ไปพร้อมกับดอกซากุระที่กำลังเบ่งบานอย่างงดงามเลยทีเดียว


(3) โรงกษาปณ์ญี่ปุ่น โอซาก้า

ช่วงเวลา : กลางเมษายน

30 Osaka Japan Mint Sakura

โรงกษาปณ์นี้ทำหน้าที่ดูแลเรื่องการผลิตเหรียญและเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างๆ ซึ่งด้านในมีพิธภัณฑ์เหรียญต่างๆเปิดให้เข้าชมฟรี แต่สิ่งที่ทำให้ที่นี่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวมากๆกลับไม่ใช่ด้านในอาคารแต่เป็นด้านนอกอาคาร เพราะมีต้นซากุระกว่า 300 ต้นหลากหลายสายพันธุ์แข่งกันบาน และเมื่อบานเต็มที่แล้วจะมีลักษณะเหมือนอุโมงค์ซากุระอย่างงดงาม โรงกษาปณ์แห่งนี้จึงกลายเป็นสถานที่ถูกจัดอันดับให้เป็น 1 ในจุดชมซากุระสวยที่สุดแห่งหนึ่งของโอซาก้า


(4) ปราสาทโอซาก้า โอซาก้า

ช่วงเวลา : ปลายมีนาคม – ต้นเมษายน

Osaka Castle With Sakura Blossom In Osaka, Japan

ปราสาทโอซาก้าแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมามากถึง 400 กว่าปีแล้ว ซึ่งภายในปราสาทเต็มไปด้วยต้นซากุระกว่า 600 ต้น และเมื่อเข้าสู่เทศกาลชมซากุระคนญี่ปุ่นจะชอบพาครอบครัวลูกหลานออกมาเที่ยวในบริเวณนี้กันอย่างมาก ส่วนในตอนกลางคืนที่นี่ก็จะมีการตกแต่งด้วยโคมไฟกระดาษ เพื่อให้นักท่องเที่ยวอย่างเราได้ชมทั้งตัวปราสาทและซากุระในยามค่ำคืนอย่างงดงาม เรียกได้ว่าดูซากุระไปพร้อมปราสาท อีกทั้งยังได้ชื่นชมวัฒนธรรมอันน่ารักของคนญี่ปุ่นไปพรางๆอีกด้วย


(5) วัดคิโยมิสึ เกียวโต

ช่วงเวลา : ปลายมีนาคม – ต้นเมษายน

Kiyomizu Dera Temple And Cherry Blossom Season (sakura) Spring T

ที่นี่เป็นวัดเก่าแก่ถึง 1,200 ปีก่อน เป็นสัญลักษณ์สำคัญของเกียวโต เมืองหลวงเก่าแก่ของญี่ปุ่น ปัจจุบันได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกด้วยนะ ในบริเวณวัดนี้มีต้นซากุระมากถึง 1,000 ต้น ในช่วงซากุระบานทางวัดจะประดับไฟในตอนกลางคืนให้เข้ากับเทศกาลซากุระนี้เป็นเวลา 1 เดือน ซึ่งทุกคนสามารถเดินชมซากุระในบริเวณวัดได้อย่างเพลิดเพลิน ส่วนหอคอยชั้น 3 นั้นยังซ่อมอยู่แต่ก็สามารถเข้าชมได้ตามปกติค่ะ


(6) ภูเขาโยชิโนะ นารา

ช่วงเวลา : ต้นเมษายน – ปลายเมษายน

24 Yoshinoyama Sakura

ภูเขานี้มีซากุระ 3,000 ต้น และมากถึง 200 สายพันธุ์ ถือว่าเป็นสถานที่ๆมีต้นซากุระเยอะที่สุดในญี่ปุ่นเลย เราสามารถชมความสวยงามของดอกซากุระที่บานสลับสีกันอย่างสวยงามบนภูเขาแห่งนี้ได้ตลอดทั้งเดือนเมษายนของทุกปี และพื้นที่ของภูเขาโยชิโนะนั้นจะถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วน ตามระดับความสูง คือ (ชิโมะ เซ็นบง, นากะ เซ็นบง, คามิ เซ็นบง, โอคุ เซ็นบง) ซึ่งแต่ละส่วนนั้นซากุระจะบานไม่พร้อมกัน แต่จะบานไล่ตั้งแต่ตีนเขาไปถึงยอดเขาตามระดับความสูง


(7) ชิราคาวาโกะ กิฟุ

ช่วงเวลา : ปลายเมษายน – ต้นพฤษภาคม

36 Shirakawago Sakura

หม่บ้านชิราคาวาโกะ หมู่บ้านมรดกโลกแห่งที่ 6 ของญี่ปุ่นที่สวยงาม และมีเสน่ห์มากๆ เพราะด้วยเอกลักษณ์การสร้างบ้านให้มีรูปทรง กัสโช่ ที่สามารถรองรับน้ำหนักหิมะได้ในช่วงฤดูหนาว ถึงที่นี่จะไม่ได้มีดอกซากุระเยอะมาก แต่ด้วยบรรยากาศของหมู่บ้านที่จุดชมวิวชิโรยาม่า และดอกซากุระที่กำลังบ้านนั้น ดูเข้ากันกับหมู่บ้านอย่างน่ารัก และสวยงาม


(8) เจดีย์ชูเรโตะ ยามานาชิ

ช่วงเวลา : ปลายมีนาคม – ต้นเมษายน

33 Chureito Sakura

เจดีย์ชูเรโตะ เจดีย์สีแดงสุดฮิตที่มีความสูง 5 ชั้น และเป็นหนึ่งในเขตพื้นที่ของ ศาลเจ้าอาราคุระ เซ็นเก็น ศาลเจ้าเก่าแก่ที่คนญี่ปุ่นนิยมไปกราบไหว้ขอพรกัน จากตัวศาลเจ้าต้องเดินขึ้นบันไดไปอีกประมาณ 400 ขั้น ถึงจะเจอจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้ และตลอดทางเดินทางศาลเจ้าไปด้านบนเจดีย์นั้นก็จะเต็มไปด้วยดอกซากุระที่แข่งกันบานสะพรั่งอย่างสวยงาม


(9) แม่น้ำเมกุโระ โตเกียว

ช่วงเวลา : ปลายมีนาคม – ต้นเมษายน

Maguro River

เมกุโระ แม่น้ำเล็กๆ ที่ไหลลงสู่อ่าวโตเกียว และมีความยาวราว 8 กิโลเมตร อยู่ใกล้กับย่านชิบูย่า เป็นอีกหนึ่งจุดชมซากุระยอดฮิตในโตเกียวเลย โดยริมสองฝั่งแม่น้ำจะเรียงรายไปด้วยต้นซากุระกว่า 830 ต้น เมื่อดอกซากุระริมสองฝั่งแม่น้ำบานก็จะโค้งเข้าหากันเหมือนกับอุโมงค์ซากุระอยู่เหนือแม่น้ำ ส่วนในตอนกลางคืนก็จะมีการประดับไปด้วยโคมไฟอย่างสวยงาม ถือว่าเป็นจุดชมซากุระ ที่โรแมนติกที่สุดแห่งหนึ่งของโตเกียวเลย


(10) ชิโดริงะฟุชิเรียวคุโด โตเกียว

ช่วงเวลา : ปลายมีนาคม – ต้นเมษายน

69 Chidorigafuchi Tokyo Tower Sakura

อีกหนึ่งจุดชมซากุระที่สวยที่สุดอีกแห่งของโตเกียว ซึ่งอยู่ใกล้กับพระราชวังอิมพีเรียล ในช่วงเทศกาลซากุระที่นี่จะมีการประดับไฟ และสะท้อนกับดอกซากุระอย่างสวยงาม ส่วนกิจกรรมที่ไม่ควรพลาด คือ การล่องเรือชมซากุระ หรือชมซากุระในช่วงกลางคืนที่ประดับไปด้วยแสงไฟก็โรแมนติกแบบสุดๆ


(11) หมู่บ้านซามูไรคาคุโนะดาเตะ อะคิตะ

ช่วงเวลา : กลางเมษายน – ปลายเมษายน

97818154 Building In Kakunodate

หมู่บ้านซามูไรแห่งนี้มีซากุระที่ชื่อว่า ซากุระพันธุ์ดอกย้อย ให้เราได้เดินเที่ยวชมกัน ซึ่งตามริมถนนเราจะเห็นซากุระย้อยห้อยกิ่งลงมาอวดอย่างสวยงาม ว่ากันว่าในสมัยเอโดะ ตระกูลของซามูไรเมืองนี้ได้นำต้นซากุระดอกย้อยหลายต้นจากเกียวโตมาปลูก เพื่อแข่งกันว่าซากุระของใครจะออกดอกสวยงามกว่ากัน ปัจจุบันเลยกลายเป็นต้นซากุระที่ออกดอกอย่างสวยงามให้เราได้ชื่นชม


(12) สวนฟุนะโอกะ มิยางิ

ช่วงเวลา : กลางเมษายน – ปลายเมษายน

23 Funaoka Castle Sakura

สวนฟุนะโอกะแห่งนี้ได้รับการโหวตให้เป็น 1 ใน 100 จุดชมซากุระที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น และช่วงกลางเดือนเมษายนของทุกปีที่สวนนี้จะมีการจัดเทศกาลชมซากุระ (Shibata Sakura Matsuri) ซึ่งไฮไลท์ที่นิยมมากๆของช่วงซากุระ คือการนั่งรถราง ลอดผ่านอุโมงค์ซากุระระหว่างทางขึ้นไปไหว้เจ้าแม่กวนอิมที่อยู่บนยอดเขาด้วยระยะทางราว 300 เมตร ซึ่งเราจะได้เจอกับบรรยากาศที่รายล้อมไปด้วยดอกซากุระอย่างสวยงาม รวมทั้งบนยอดเขายังสามารถชมวิวแม่น้ำชิโรอิชิงะวะ ที่มีต้นซากุระเรียงรายตลอดริมสองฝั่งแม่น้ำอย่างสวยงาม


(13) ฮิโตะเมะเซ็มบงซากุระ มิยางิ

ช่วงเวลา : ต้นเมษายน – ปลายเมษายน

64 Hitome Senbonzakura

หรือที่เรียกว่า “ซากุระ 1,000 ต้น” นั่นเอง ซึ่งอยู่บริเวณริมแม่น้ำชิโรอิชิซึ่งไม่ไกลกับสวนฟุนะโอกะ ความพิเศษของซากุระที่นี่จะอยู่ที่ต้นซากุระกว่า 1,200 ต้น ทอดตัวเป็นแนวยาวประมาณ 8 กิโลเมตร บริเวณริมแม่น้ำชิโรอิชิ และยิ่งในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสเรายังสามารถมองเห็นเทือกเขาซาโอที่ปกคลุมไปด้วยหิมะอยู่ด้านหลังตัดกันกับสีสันของดอกซากุระ ซึ่งให้วิวที่งดงามมากๆ และในตอนกลางคืนที่นี่ก็จะมีการประดับไฟให้เราชมความสวยงามในบรรยากาศที่ดูแตกต่างในช่วงกลางวันอีกด้วยนะ ในช่วงเดือนเมษานี้หากใครมีแพลนเที่ยวชมซากุระ ที่นี่ก็เป็นอีก 1 สถานที่ที่สวยงามอยากแนะนำให้ลองไปชมสักครั้ง


(14) สวนฮิโรซากิ อาโอโมริ

ช่วงเวลา : ปลายเมษายน – ต้นพฤษภาคม

54241519 Aomori Hirosaki Cherry Blossom Festival

ภายในสวนแห่งนี้นอกจากจะมีปราสาทฮิโรซากิที่เปิดให้ชมแล้ว ในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่นี่ยังเป็นจุดชมซากุระที่สวยที่สุดในญี่ปุ่นอีกด้วย ซึ่งจะมีการจัดเทศกาล Hirosaki Cherry Blossom Festival เป็นประจำทุกปี ซึ่งดอกซากุระภายในสวนล้อมรอบตัวปราสาทฮิโรซากิอย่างงดงาม รวมทั้งดอกซากุระภายในสวนนี้ที่ล่วงโรยลงผืนน้ำทำให้ทำให้กลีบซากุระปกคลุมแม่น้ำอย่างสวยงาม เหมือนแม่น้ำเป็นสีชมพูเลย


(15) ป้อมดาวโกะเรียวคะคุ ฮอกไกโด

ช่วงเวลา : ปลายเมษายน – ต้นพฤษภาคม

Cherry Blossom Hakodate Garden Near Goryokaku Tower .

หรือที่เราเรียกกันว่า “ป้อมดาว 5 แฉก” 1 ในสถานที่ชมซากุระสุดฮิตของเมืองฮาโกดาเตะ ซึ่งไอไลท์อยู่ที่ จุดชมวิวบนหอคอยเมื่อเรามองลงมาด้านล่างจะเห็นสวนสาธารณะเป็นรูปดาว 5 แฉก และเมื่อถึงฤดูชมซากุระก็จะให้วิวทิวทัศน์อย่างงดงาม และในตอนกลางคืนที่นี่ก็มีการประดับไฟให้สวยงามมากขึ้นอีกด้วย

โปรแกรมชมซากุระทั่วญี่ปุ่น คลิก >> https://siamorchardgroup.com/program-home-4/

Gifu แหล่งท่องเที่ยว..ใจกลางเกาะญี่ปุ่น

Gifu แหล่งท่องเที่ยว..ใจกลางเกาะญี่ปุ่น

เรื่องน่ารู้ก่อนเลือกทัวร์ญี่ปุ่น

Gifu แหล่งท่องเที่ยว..ใจกลางเกาะญี่ปุ่น


มาทำความรู้จักกับจังหวัดกิฟุ

ถ้าพูดถึงกิฟุแล้วอาจจะยังไม่ได้เป็นที่รู้จักของหลายคนเท่าไรนัก แต่ถ้าบอกว่า หมู่บ้านชิราคาวาโกะ หลายคนต้องรู้จักอย่างแน่นอนเพราะว่าเป็น 1 ในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง ซึ่งจริงๆ แล้วหมู่บ้านชิราคาวาโกะนี้ อยู่ในเขตพื้นที่ของจังหวัดกิฟุซึ่งมีสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากมาย รวมถึงกิจกรรม และวัฒนธรรมที่บ่งบอกถึงเอกลักษณ์ความเป็นญี่ปุ่นได้อย่างน่าสนใจเลยทีเดียว

วันนี้เราเลยอยากมาแนะนำจังหวัดกิฟุ ให้ทุกคนได้รู้จักกันว่าอยู่ตรงไหนของญี่ปุ่น และมีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรที่น่าสนใจบ้าง

แผนที่จังหวัดกิฟุ

Gifu แหล่งท่องเที่ยว..ใจกลางเกาะญี่ปุ่น

กิฟุเป็นจังหวัดที่อยู่ใจกลางของญี่ปุ่น เมื่อเราดูจากแผนที่จะแบ่งออกเป็นเขต กิฟุ ตอนเหนือ พื้นที่จะเต็มไปด้วยภูเขาสูงใหญ่กว่า 3,000 ม. เป็นพื้นที่ที่มีหิมะทับถมสูงในช่วงฤดูหนาว และเขต กิฟุ ทางตอนใต้ เป็นแถบที่ราบมีแม่น้ำใสสะอาดไหลผ่าน และอากาศจะค่อนข้างเย็นน้อยกว่าทางภาคเหนือ ด้วยความแตกต่างนี้จึงทำให้กิฟุมีสถานที่ท่องเที่ยวสวยงามแตกต่างกันออกไปในแต่ละพื้นที่ แต่ละฤดูกาล รวมถึงเป็นแหล่งรวบรวมวัฒนธรรม และประเพณีที่น่าสนใจไว้อย่างมากมาย


แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดกิฟุ

Gifu แหล่งท่องเที่ยว..ใจกลางเกาะญี่ปุ่น

หมู่บ้านชิราคาวาโกะ

หมู่บ้านนี้ตั้งอยู่ในหุบเขาสร้างด้วยสถาปัตยกรรมรูปแบบ “กัสโช” (กัสโช หมายถึง การพนมมือ) ตัวบ้านทำด้วยไม้ และหลังคาที่ทำด้วยฟางข้าวหนาหลายชั้นเพื่อรองรับน้ำหนักช่วงหิมะตกในฤดูหนาวตามสไตล์ภูมิปัญญาของคนท้องถิ่น ที่นี่เป็นหมู่บ้านที่เงียบสงบและได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลก มีบ้านเรือนกว่า 110 หลังคา เรียงรายกันอย่างเป็นเอกลักษณ์ สวยงาม เป็นหมู่บ้านที่มีวิถีชีวิตของคนญี่ปุ่นหลงเหลือไว้ให้ชมกันอีกด้วย จากจุดชมวิวชิโรยาม่าเราสามารถมองวิวทั้งหมดของหมู่บ้านได้อย่างสวยงามราวในฝัน และยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมสูงมากๆ จากนักท่องเที่ยวในบ้านเรา

กระเช้าลอยฟ้าชินโฮทากะ

ชินโฮทากะกระเช้าไฟฟ้า 2 ชั้น 1 เดียวของญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากๆ เราจะได้เห็นวิวเทือกเขาแอลป์ตอนเหนืออย่างงดงาม ในขณะที่กระเช้ากำลังแล่นอยู่บนหุบเขา ที่สำคัญที่นี่ยังสวยในทุกฤดูและเป็น 1 ในสถานที่ไฮไลท์ของกิฟุที่พลาดไม่ได้เลย


Gifu แหล่งท่องเที่ยว..ใจกลางเกาะญี่ปุ่น

เกโระ ออนเซ็น

1 ใน 3 ออนเซ็นขึ้นชื่อของญี่ปุ่น ซึ่งอยู่ใจกลางเมืองเกโระ ส่วนเอกลักษณ์อันโดดเด่นของออนเซ็นนี้ก็คือ น้ำบริสุทธิ์มีคุณสมบัติเป็นด่าง มีความอ่อนโยนต่อผิว ช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น, ฟื้นฟูความเหนื่อยล้า และช่วยให้สุขภาพดี รวมทั้งผิวพรรณก็จะนุ่มลื่นหลังจากการแช่ออนเซ็นแล้ว คนญี่ปุ่นจึงยกให้เป็น ออนเซ็นแห่งความงาม

เทศกาลทาคายาม่าฤดูใบไม้ผลิ

เทศกาลที่จัดขึ้นในฤดูใบไม้ผลิ (ช่วงซากุระ) ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 14 -15 เมษายน ของทุกปีที่ศาลเจ้าฮิเอะ ในงานจะมีซุ้มเทศกาล 12 หลัง ที่ได้รับการแกะสลักสุดหรูพร้อมลวดลายอันสวยงาม ที่สำคัญซุ้มแห่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมเชิงคติชนวิทยาชิ้นสำคัญแห่งชาติ ซึ่งชาวญี่ปุ่นจะแห่ซุ้มนี้วนรอบเมืองอย่างมีเอกลักษณ์ให้เราได้ชมกัน และเทศกาลนี้ยังงดงามจนได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 3 เทศกาลงดงามที่สุดในญี่ปุ่น


Gifu แหล่งท่องเที่ยว..ใจกลางเกาะญี่ปุ่น

น้ำตกโอซะกะ

น้ำตกที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นซึ่งมีน้ำตกเล็กใหญ่กว่า 200 แห่งอยู่บริเวณล้อมรอบเชิงเขาองตาเกะ และในฤดูใบไม้ผลิที่นี่ยังเป็นแหล่งชมซากุระที่สวยงามที่สุดเพราะมีต้นซากุระกว่า 3,000 ต้น รวมถึงในฤดูใบไม้เปลี่ยนสีต้นไม้ก็ยังแข่งกันเปลี่ยนสีอย่างงดงามเช่นกัน

ฮิดะ ทาคายาม่า

เมืองเก่าแห่งทาคายาม่าที่ยังคงอนุรักษ์บ้านเรือนในสมัยเอโดะไว้เป็นอย่างดี ซึ่งในเมืองเก่านี้ยังเป็นที่ตั้งของสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆของทาคายาม่าที่น่าจะสนใจอีก เช่น ย่านเมืองเก่าซันมะจิ ซึ่งเป็นย่านที่เต็มไปด้วยบ้านเรือนของเหล่าพ่อค้าที่มีอายุเก่าแก่ยาวนานกว่า 100 ปี และตามข้างถนนยังเรียงรายไปด้วยร้านขายของอีกมากมาย รวมทั้งบ้านที่นำมาดัดแปลงเป็นทั้งคาเฟ่ร้านอาหารให้เราได้เลือกใช้บริการ เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ยังคงอนุรักษ์กลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่นยุคโบราณไว้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว


Gifu แหล่งท่องเที่ยว..ใจกลางเกาะญี่ปุ่น

Gujo Snow Resort

ถึงกิฟุจะเป็นจังหวัดที่อยู่ใจกลางประเทศญี่ปุ่นก็ตาม แต่ก็มีพื้นที่ที่เต็มไปด้วยภูเขามากมายพอเข้าสู่ฤดูหนาวตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคมถึงปลายเดือนมีนาคมเป็นต้นไปเราก็สามารถเพลิดเพลินไปกับกิจกรรมที่ลานสกีได้โดยเฉพาะที่เมือง “ลานสกีฮิรุกาโนะ” ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองกูโจมีกิจกรรมหลากหลาย เช่น การทดลองเล่นสกี, สไลด์เดอร์, บานาน่าโบ๊ท, ราฟติ้ง และเครื่องเล่นอื่นๆอีกหลากหลาย นอกจากนี้ยังมีลานสกีอื่นๆที่เราสามารถเข้าใช้บริการได้เช่น “ไดน่าแลนด์” และ “ทะคะสุ สโนว์พาร์ค” เป็นต้น

ปราสาทกิฟุ

1 ในสัญลักษณ์ที่สวยงามของจังหวัดกิฟุ มีประวัติความเป็นมาราว 800 ปี จากจุดชมวิว เราสามารถชมความสวยงามของบริเวณรอบๆปราสาทได้ รวมถึงแม่น้ำนะงะระที่อยู่ด้านล่างตัดกับทิวภูเขาที่อยู่ด้านหลังอ่าวอิเซะทางทิศใต้อย่างสวยงาม นับว่าเป็นปราสาทที่สวยงาม และมีวิวทิวทัศน์ที่น่าชื่นชมอีกมากๆ อีกแห่งในกิฟุ


Gifu แหล่งท่องเที่ยว..ใจกลางเกาะญี่ปุ่น

ประเพณีจับปลาด้วยนกกาน้ำที่แม่น้ำนาการะ

ประเพณีนี้เป็น 1 ในประเพณีที่ดั้งเดิมและน่าสนใจมากๆของจังหวัดกิฟุตอนใต้ที่สืบทอดกันมายาวนานกว่า 1,300 ปี และยังเป็นประเพณีดั้งเดิมที่หาดูได้ยากในปัจจุบัน ทุกคนสามารถชมการสาธิตการจับปลาด้วยนกกาน้ำของชาวประมง โดยจะมีการออกเรือ 6 ลำไปด้วยกันโดยมีการจุดโคมไฟเพื่อนำทาง พร้อมกับควบคุมนกกาน้ำ 10 – 12 ตัวในการหาปลา

ถนนนะกะเซ็นโด

เป็นถนนสมัยเก่าที่สร้างขึ้นเพื่อเชื่อมต่อระหว่างเมืองเอโดะ และเมืองเกียวโตตั้งแต่ยุคสมัยเอโดะ ถนนสายนี้สร้างอยู่ทางลาดบนภูเขานะกะเซ็นโด ถือว่าเป็นถนนที่หาดูได้ยากในญี่ปุ่นเลย และตลอดทางเดินยังมีบ้านเรือน ร้านน้ำชา ร้านขายของที่ระลึก ที่เรียงรายอยู่ตลอดสองข้างทางให้เราได้แวะกันอีกด้วย


Gifu แหล่งท่องเที่ยว..ใจกลางเกาะญี่ปุ่น

หุบเขาเอนะเคียว

อีก 1 ในสถานที่ที่มีวิวอันสวยงามของกิฟุตอนใต้ วิวสองฝั่งเต็มไปด้วยหน้าผาสูง และรูปร่างหินที่ดูแปลกตา แต่ละฤดูที่นี่ก็จะให้วิวทิวทัศน์สวยงามแตกต่างกันออกไป เราสามารถชมวิวที่หุบเขานี้อย่างใกล้ชิดได้จากการล่องเรือไปตามหุบเขา

พิพิธภัณฑ์การตีดาบเซกิ

เมืองเซกิเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงเรื่องการตีดาบระดับโลก ดาบญี่ปุ่นจะใช้วิธีการตีดาบแบบโบราณ พิพิธภัณฑ์การตีดาบเซกินี้มีการจัดแสดงให้เห็นถึงเทคนิคการตีดาบของช่างโบราณที่มีมานานกว่า 700 ปี ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่น่าสนใจของเมืองกิฟุ


จริงๆแล้วกิฟุมีสถานที่ท่องเที่ยวอันสวยงามมากมายที่บ่งบอกความเป็นเอกลักษณ์ของญี่ปุ่นซ่อนอยู่ หากเพื่อนๆคนไหนสนใจเดินทางเที่ยวญี่ปุ่นในเร็วๆนี้ กิฟุ ก็เป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่น่าสนใจไม่แพ้สถานที่อื่นๆในญี่ปุ่นเลย

ดูข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวเพิ่มเติม คลิก http://travel.kankou-gifu.jp/th/

ดูทัวร์ญี่ปุ่นทุกเส้นทาง คลิก www.siamorchardgroup.com/ทัวร์ญี่ปุ่น

 

 

Kawazu Sakura Festival สัมผัสเสน่ห์ซากุระแรกแห่งฤดูหนาวที่ญี่ปุ่น

M 100

ทัวร์ญี่ปุ่น Kawazu Sakura สัมผัสเสน่ห์...ซากุระแห่งแรกแห่งฤดูหนาวญี่ปุ่น


การเดินทางท่องเที่ยวทัวร์ญี่ปุ่นในช่วงซากุระนับเป็นช่วงเวลาที่หลายคนอยากเดินทางไปเห็นด้วยตัวเองสักครั้ง นับเป็น Seasons ที่หมายปองของบรรดานักท่องเที่ยวชาวไทยเลยทีเดียว ปกติแล้วทัวร์ต่างๆ ก็จะขายเรื่องการชมซากุระในช่วงหน้าร้อน เพราะที่ประเทศญี่ปุ่นซากุระจะเริ่มบานในฤดูใบไม้ผลิ ไล่เรียงเริ่มมาจากทางเกาะใต้สุดของญี่ปุ่น ขึ้นไปยังเกาะเหนือสุดของญี่ปุ่น

แต่ซากุระแห่งเมือง Kawazu นี้พิเศษกว่าใคร เพราะเค้าจะเริ่มบานเป็นที่แรกๆ ของญี่ปุ่น ตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – ต้นเดือนมีนาคม ของทุกปี

ทัวร์ญี่ปุ่น Kawazu Sakura สัมผัสเสน่ห์...ซากุระแห่งแรกแห่งฤดูหนาวญี่ปุ่น

เพราะว่าซากุระแห่งเมืองนี้เป็นซากุระสายพันธ์ุพิเศษที่มีลักษณะการบานเร็วกว่าพันธุ์อื่นๆประมาณ 1 เดือน นั่นเอง

ทัวร์ญี่ปุ่น Kawazu Sakura สัมผัสเสน่ห์...ซากุระแห่งแรกแห่งฤดูหนาวญี่ปุ่น

ซึ่งไฮไลท์ของที่เมืองนี้จะอยู่ที่ต้นซากุระขนาดใหญ่อายุกว่า 60 ปี รวมถึงทั่วทั้งเมืองก็จะปกคลุมไปด้วยต้นซากุระกว่า 8,000 ต้น ที่แข่งกันผลิดอกสร้างความสวยงามให้กับเมืองแห่งนี้กลายเป็นสีชมพูสดใส

ทัวร์ญี่ปุ่น Kawazu Sakura สัมผัสเสน่ห์...ซากุระแห่งแรกแห่งฤดูหนาวญี่ปุ่น

โดยเฉพาะความสวยงามของซุ้มดอกไม้กว่า 800 ต้น ที่เป็นแนวยาวเรียงรายกันบริเวณเลียบแม่น้ำ Kawazu ในช่วงนั้นเค้าก็จะมีการจัดเทศกาลชมดอกซากุระที่ชื่อว่า Kawazu Sakura Festival ซึ่งเป็นเทศกาลที่มีชื่อเสียง และดึงดูดนักทั่วเที่ยวให้มาเยี่ยมชมที่นี่อย่างไม่ขาดสายในทุกปี

ทัวร์ญี่ปุ่น Kawazu Sakura สัมผัสเสน่ห์...ซากุระแห่งแรกแห่งฤดูหนาวญี่ปุ่น

นอกจากนี้แล้วในช่วงเวลากลางคืนที่นี่ยังมีการเปิดไฟประดับที่ต้นซากุระให้ได้บรรยากาศที่สวยงามไปอีกแบบด้วย (18.00-21.00 น.)

ทัวร์ญี่ปุ่น Kawazu Sakura สัมผัสเสน่ห์...ซากุระแห่งแรกแห่งฤดูหนาวญี่ปุ่น


เมือง Kawazu, จังหวัด Shizuoka, ภูมิภาค Chubu (เข้าชมฟรี)

รวม 10 ที่เที่ยวสุดมหัศจรรย์ ต้องไปให้ได้ใน Iceland

52 Iceland L

52 Iceland Header


การที่เราจะตัดสินใจออกเดินทางไปเที่ยวที่ไหนสักแห่ง เชื่อว่าแรงบัลดาลใจของแต่ละคนนั้นเกิดขึ้นไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะเห็นจากรีวิว รูปถ่าย หรือบางคนอาจเกิดจากการดูหนัง แต่เชื่อเถอะไม่ว่าจะเกิดจากอะไร แต่จุดหมายปลายทางของแต่ละคนนั้นจะไม่ต่างกันเท่าไร..เพราะแค่ได้ก้าวออกไปในประเทศที่เราอยากไปเชื่อว่าทุกคนก็แฮปปีัสุดๆ แล้ว

วันนี้เลยอยากมาแนะนำ 1 ใน ประเทศแถบยุโรปที่เชื่อว่าต้องเป็น Destination ของคนที่อยากจะไปดูแสงเหนือสักครั้งในชีวิต นั่นก็คือ “Ice Land” ดินแดนของนักล่าแสงเหนือ รวมถึงธารน้ำแข็งที่งดงาม ทะเลสาบ น้ำตก และธรรมชาติสุดแปลกที่ดูน่าสนใจ แบบสุดๆไปเลย

ส่วนเดือนที่เหมาะสมสำหรับการชมแสงเหนือของ Iceland ขอแนะนำในช่วง เดือน ตุลาคม – มีนาคม ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เราสามารถเห็นแสงเหนือได้ดีที่สุด เพราะเป็นช่วงฤดูหนาวนั่นเอง เพราะจะมีช่วงกลางคืนยาวนานกว่ากลางวัน

ไปเที่ยว Iceland กับ Siam Orchard คลิกเลย ▷ https://siamorchardgroup.com/Iceland

Crystal Ice Cave (ถ้ำน้ำแข็งคริสตัล)

107 Iceland 2

ถ้ำน้ำแข็งที่เกิดจากการก่อตัวของหิมะทับถมกันจนเป็นภูเขาน้ำแข็งเป็นเวลานาน ว่ากันว่าที่นี่เป็นถ้ำน้ำแข็งที่สวยและใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของไอซ์แลนด์เลย น้ำแข็งในถ้ำจะมีสีฟ้าใสดุจคริสตัล ซึ่งถือว่าเป็นความสวยงามที่มหัศจรรย์ และบรรยากาศน่าถ่ายรูปมากๆ


Blue lagoon Springs (บลูลากูนหรือทะเลสาบสีฟ้า)

107 Iceland 2 Copy

น้ำพุร้อนที่มีชื่อเสียงที่สุดของไอซ์แลนด์ นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวไอซ์แลนด์จะต้องไม่พลาดกับการมาแช่บ่อน้ำร้อนแห่งนี้ เพราะเป็นสถานที่เพื่อสุขภาพระดับโลก และโด่งดังที่สุดของไอซ์แลนด์เลย และในวันที่บรรยากาศเป็นใจเราอาจเห็นแสงเหนือไปพร้อมกับการแช่น้ำแร่ที่นี่อีกด้วย แค่คิดก็ฟินแล้ว แช่ไปดูแสงเหนือไป อะไรจะดีขนาดนี้ทุกคนนน


Jokulsarlon (ธารน้ำแข็งโจกุลซาลอน)

107 Iceland 2 Copy 2

ทะเลสาบน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดของไอซ์แลนด์ เกิดจากการสระสมของธารน้ำแข็งที่ละลายจากภูเขาน้ำแข็ง และไหลลงสู่ทะเล จึงทำให้พื้นที่ถูกขยายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และยังเป็นอีกหนึ่งทำเลถ่ายทำภาพยนตร์ดังๆระดับโลก เช่น Game of Thrones รวมทั้งที่นี่ยังนับว่าเป็นธรรมชาติที่มีอยู่เพียงไม่กี่แห่งในโลก


Reynisfjara Beach (หาดทรายสีดำ)

107 Iceland 2 Copy 3

หาดทรายสีดำที่สวยที่สุดในโลก ซึ่งเกิดจากการสึกกร่อนของหินลาวาและแนวหินบะซอลต์ ที่ถูกพัดพาไปสะสมตัวบริเวณชายหาด ซึ่งบนหาดเต็มไปด้วยกรวดและทรายสีดำที่ดูสวยแปลกตามากๆ


Skogafoss (น้ำตกสโคคาร์ฟอสส์)

107 Iceland 2 Copy 4

ที่นี่เป็นอีก 1 น้ำตกที่มีชื่อเสียงที่สุดของไอซ์แลนด์ ก็ด้วยบรรยากาศที่งดงามของน้ำตก ปนกับแสงแดด และสายรุ้ง ทำให้ได้บรรยากาศที่สวยจับใจมากๆ และด้วยความสวยงามน้ำตกแห่งนี้จึงกลายเป็นทำเลหลักในการถ่ายทำภาพยนตร์หลายเรื่องเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น Thor 2, The Secret Life of Walter Mitty เป็นต้น


Myrdalsjokull Glacier (ทุ่งน้ำแข็งเมียร์ดาลส์โจกูล)

107 Iceland 2 Copy 5 (1)

ทุ่งน้ำแข็งเมียร์ดาลส์โจกูล เป็นดินแดนที่อยู่จุดสูงสุดของโลก มีความกว้างใหญ่เป็นอันดับ 4 มีพื้นที่กว่า 596 ตารางกิโลเมตร ซึ่งมีกิจกรรมให้เราเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ มากมายไม่ว่าจะเป็น ขับรถสโนว์โมบิลตะลุยไปในทุ่งน้ำแข็ง หรือชมถ้ำน้ำแข็งสีสันสดใส


Svartifoss (น้ำตกสวาร์ติฟอส หรือน้ำตกดำ)

107 Iceland 2 Copy 6

น้ำตกที่อยู่ในอุทยานแห่งชาติสกาฟตาเฟลล์ (Skaftafell National Park) เป็นอีกหนึ่งน้ำตกที่สวยงาม แปลกตา และไม่เหมือนที่ใด


Gullfoss (น้ำตกกุลล์ฟอสส์)

107 Iceland 2 Copy 7

หรือไนแองการ่าแห่งไอซ์แลนด์ อีกหนึ่งน้ำตกที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆของไอซ์แลนด์ 1 ใน 3 ของเส้นทาง “วงแหวนทองคำ” และ 1 ในความมหัศจรรย์ของธรรมชาติระดับโลกที่เกิดจากการละลายของธารน้ำแข็ง ซึ่งเป็นความสวยงามที่หาดูได้ยากมากๆ เหมือนกัน


Diamond Beach (หาดไดมอนด์บีช)

107 Iceland 2 Copy 8

หาดทรายสีดำที่มีก้อนน้ำแข็งน้อย ใหญ่ ลอยจากธารน้ำแข็งมาเกยบนชายหาด เมื่อน้ำแข็งบนหาดแห่งนี้ตกกระทบกับแสงก็จะสะท้อนแวววาวเหมือนเพชรที่วางเรียงรายอยู่เต็มชายหาด เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่งดงามแปลกตาที่สุดในไอซ์แลนด์ ซึ่งหาดทรายแห่งนี้อยู่ในบริเวณของธารน้ำแข็งโจกุลซาลอน


Hallgrimskirkja (โบสถ์ฮัลล์กรีมสคิร์คยา)

107 Iceland 2 Copy 9

โบสถ์ที่สูงที่สุดในไอซ์แลนด์ ซึ่งสร้างตามแบบสถาปัตยกรรมแนวอิมพราสชั่นนิส ซึ่งใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างถึง 38 ปี ถือว่าเป็นจุดชมวิวที่งดงามแห่งหนึ่ง ซึ่งด้านล่างเราสามารถชมวิวเมืองเรกยาวิคได้อีกด้วย


 

5 พิกัด..ชมใบแปะก๊วยสวยๆที่ญี่ปุ่น

5 พิกัด เที่ยวชมใบแปะก๊วยที่ญี่ปุ่น

5 พิกัด เที่ยวชมใบแปะก๊วยที่ญี่ปุ่น


เที่ยวญี่ปุ่นชมใบแปะก๊วยสีเหลืองทองอร่ามนี้ จะมาช่วยแต่งแต้มบรรยากาศในแต่ละสถานที่ที่ญี่ปุ่น ให้มีสีสันสวยงาม สดใส ในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีที่จะถึงนี้ วันนี้เลยมาแนะนำ 5 พิกัดสวยๆ ที่เราจะได้เจอต้นแปะก๊วยสวยๆแบบนี้ ลองดูกันเลยค่ะว่ามีที่ไหนบ้าง

1. มหาวิทยาลัยฮอกไกโด

5 พิกัด เที่ยวชมใบแปะก๊วยที่ญี่ปุ่น

นอกจากจะเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง ด้านการศึกษาแล้ว ที่นี่ยังเปิดให้ชาวเมืองและนักท่องเที่ยว ได้เข้าไปเดินเล่น พักผ่อนหย่อนใจ โดยเฉพาะในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ตลอดทางเดินจะสวยงาม โรแมนติก และเต็มไปด้วยใบแปะก๊วยเหลืองอร่าม


2. อาสุมะ สปอร์ต พาร์ค

5 พิกัด เที่ยวชมใบแปะก๊วยที่ญี่ปุ่น

จุุดดชมวิวสวยๆของต้นแปะก๊วย เมื่อถึงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ใบแป๊ะก๊วยก็จะพากันเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองอร่ามอย่างงดงามตลอดแนวทางเดิน


3. สวนเมจิ จิงกุ เคียวเอน

5 พิกัด เที่ยวชมใบแปะก๊วยที่ญี่ปุ่น

บริเวณสวนทางทิศใต้มุ่งหน้าไปยัง พิพิธภัณฑ์ Seitoku Memorial สองข้างทางจะมีต้นแป๊ะก๊วยปลูกไว้ตลอดแนวสองข้างทางกว่า 400 เมตร ช่วยแต่งแต้มให้สวนนี้มีสีสันสดใสสวยงามมากๆ ในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีนี้


4. มหาวิทยาลัยโตเกียว

5 พิกัด เที่ยวชมใบแปะก๊วยที่ญี่ปุ่น

ที่นี่เป็นหนึ่งในสถานที่ชมใบแปะก๊วยที่สวยที่สุดของโตเกียวเลย และใบแปะก๊วยยังเป็นสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยแห่งนี้อีกด้วย จึงไม่แปลกที่เราจะพบเห็นต้นแปะก๊วยขึ้นเรียงรายอยู่เต็มบริเวณพื้นที่ของมหาวิทยาลัยแห่งนี้


5. สวนโชวะ เคียวเอน

5 พิกัด เที่ยวชมใบแปะก๊วยที่ญี่ปุ่น

อีกจุดชมใบแปะก๊วยที่สวยที่สุดอีกแห่งหนึ่งของโตเกียวเลยค่ะ เป็นสวนที่มีขนาดใหญ่มีต้นแปะก๊วยจำนวนมากขึ้นเรียงรายกันเป็นอุโมงค์ต้นแปะก๊วยแสนสวยที่มีระยะทางยาวกว่า 300 เมตร

Glacier Express รถไฟด่วนที่ช้าที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์

51 Content Glacier Express L

51 Content Glacier Express Header


สวิส..เป็นประเทศแถบยุโรปที่ขึ้นชื่อว่าโรแมนติกที่สุดอยู่แล้ว จะดีกว่าไหมถ้าเรามานั่งรถไฟชมวิว มันจะยิ่งทำให้รู้สึกว่าโรแมนติก และชิวมากกว่าเดิมอีกหลายเท่า วันนี้ Siam Orchard เลยอยากมาแนะนำรถไฟชมวิว Glacier Express Train ของสวิสที่จะพาเรา กินลม ชมวิว ท่องบรรยากาศ ที่เหนื่อยล้าจากการทำให้ให้เฟรชมากยิ่งขึ้น

ทำความรู้จักกับรถไฟ Glacier Express

19 Glacier Express (1)

Csm Glacier Express Andermatt Winter 859b723fd0
Picture : www.glacierexpress.ch

Glacier Express รถไฟที่ด่วนที่ช้าที่สุดในโลก และยังเป็นรถไฟชมวิวที่มีทิวทัศน์ที่สวยติดอันดับต้นๆของโลกอีกด้วย จนกลายเป็นเส้นทางที่นักท่องเที่ยวหลายๆ คนใฝ่ฝัน อยากจะไปนั่งสัมผัสบรรยากาศดูสักครั้ง

ในบรรดารถไฟของสวิสที่ใช้คำลงท้ายด้วย Express นี้ Glacier Express ถือว่าเป็นสายที่ด่วนน้อยที่สุด หรือจะเรียกว่าช้าที่สุดก็ว่าได้ แถมค่าโดยสารของรถไฟสายนี้ก็แพงเอาเรื่องกว่ารถไฟสายอื่นๆ อีกด้วย


เส้นทางการวิ่งของรถไฟ Glacier Express

Unesco Mountain Train On Landwasser Viaduct

Csm Header Sommer Rheinschlucht Angebote Schlumpf C6bd4e560e
Picture : www.glacierexpress.ch

ส่วนเส้นทางการเดินทางของรถไฟสาย Glacier Express นี้จะเริ่มต้นที่หุบเขาของเมือง Zermatt วิ่งย้อนออกมาตามทางเดิมของ Matterhorn Gotthard Bahn ที่แยกเข้าไป Zermatt จนถึงเมือง Visp ที่เป็นเมืองปลายทางของอุโมงค์ Lotschberg base tunnel (อุโมงค์ที่มาถึง Interlaken ได้ไม่นาน) ไปทางหุบเขาแม่น้ำโรนผ่านเมือง Brig มุ่งหน้าสู่ Andermatt และมุ่งหน้าสู่เมือง Chur และ St. Moritz

และหากจะใช้เวลานั่งรถไฟสายนี้จากต้นทาง Zermatt ไปยัง สถานีปลายทาง St.Moritz ต้องใช้เวลานั่งทั้งหมดประมาณ 8 ชั่วโมง


Gex Sommer Reduziert 1 1.1504620613
Picture : www.glacierexpress.ch
44052119 2312352312127567 7394043202317058048 O
Picture : www.glacierexpress.ch

บรรยากาศตลอดทางที่รถไฟวิ่งนั้นเราจะได้พบกับบรรยากาศที่แปลกตา สวยงาม ทั้งภูเขา หุบเขา ทุ่งหญ้า อุโมงค์ สะพาน และที่ขาดไม่ได้เลย คือ ธารน้ำแข็งอันงดงาม และจุดสูงสุดของเส้นทางนี้จะอยู่ที่สถานี Oberalp pass ซึ่งสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 2,033 เมตร


Interior Of Glacier Express Train.

ส่วนประเภทตั๋วโดยสาร และอัตราค่าโดยสาร รวมถึงรอบของรถไฟ Glacier Express สามารถเช็คได้จากเว็บไซต์ของ Glacier Express >> www.glacierexpress.ch ได้เลย


 

รวมของฝากสุดฮิต…จากอิตาลี ที่ไม่ควรพลาด!!!

ไปเที่ยวไหนมา แล้วไหนของฝากละ? คงเป็นคำคุ้นเคยสำหรับคนไปเที่ยวบ่อยๆ จะไม่ซื้อของฝากก็อาจจะดูใจร้ายเกินไป สำหรับใครที่ยังเลือกไม่ถูกว่าจะซื้ออะไร วันนี้เรารวบรวมของฝากสุดฮิตจากอิตาลีเอาไว้ให้เลือกกันมากมายถึง 17 อย่าง!!! จะมีอะไรบ้างไปดูกันเลย

 


 

BRAND NAME

 

© Bergdorfgoodman/Selfridges/Vitalsound

 

เริ่มกันด้วยอย่างแรก ถ้าพูดถึงอิตาลี ทุกคนคงรู้กันอยู่แล้วว่าเป็นเมืองต้นกำเนิดแบรนด์เนมสุดฮิต อย่าง PRADA FENDI GUCCI แน่นอนว่าถ้ามาถึงที่แล้วก็ไม่ควรพลาด ด้วยดีไซน์หรูหรา สง่างาม ล้ำสมัย มีความปราณีตในกระบวนการตัดเย็บและขบวนการผลิต ทั้งกระเป๋า เสื้อผ้า และสินค้าแฟชั่นมากมายที่รับรองว่าราคาถูกกว่าที่ไทย และอินเทรนด์กว่าอย่างแน่นอน

 

PERFUMES

 

© Theperfumehouse/Ebay/Profumitest/Luxplus

 

สำหรับสิ่งที่ขาดไม่ได้เวลาไปต่างประเทศแล้วต้องซื้อกลับมาฝาก ครอบครัวและเพื่อนๆ ซึ่งที่อิตาลีก็เป็นแหล่งที่มีน้ำหอมแรร์ๆเพียบ อย่าง CARTHUSIA แบรนด์เก่าแก่ที่ก่อตั้งมาเป็นร้อยปี ดังนั้นเชื่อใจได้ในความคลาสสิคไร้กาลเวลา สะท้อนถึงความหรูหรามีระดับ แต่ก็ผ่อนคลายตามสไตล์ผู้ดีอิตาลี DOLCE & GABBANA แบรนด์น้ำหอม ปรุงแต่งอย่างละเมียดละไม ผสมผสานกลิ่นหอมจากธรรมชาติ ให้ความหอมที่มีเสน่ห์เย้ายวนใจ ติดทนนานตลอดวัน GIORGIO ARMANI แบรนด์ระดับโลกที่มีน้ำหอมบุรุษอันโด่งดัง ซึ่งมีกลิ่นหอมละมุนละไม ที่ให้ความรู้สึกสดชื่นดุจน้ำทะเล ปิดท้ายด้วย LAURA BIAGIOTTI แบรนด์ที่ขึ้นชื่อว่า QUEEN OF CASHMERE กลิ่นออกโทนนุ่ม อบอุ่น ผ่อนคลาย บ่งบอกถึงความร่วมสมัย

 

MARVIS TOOTHPASTE

 

© Thankhugh

 

“มาร์วิส”ยาสีฟันระดับพรีเมี่ยมจากอิตาลี ที่ได้รับความนิยมมายาวนานกว่า 60 ปี โดยได้ถ่ายทอดขั้นตอนผลิตยาสีฟันแบบรุ่นสู่รุ่น จนได้ยาสีฟันที่มากด้วยคุณค่าและช่วยดูแลรักษาช่องปากให้ดียิ่งขึ้น สูตรที่ได้รับความนิยมสำหรับ Marvis ก็คือ Classic strong mint หลอดสีเขียว ด้วยเนื้อครีมที่เนียนนุ่ม แต่ยังมอบรสสัมผัสของมิ้นที่สะอาด และยังสามารถ มอบความขาวสะอาดให้กับฟัน และยังช่วยเรื่องกลิ่นปากให้สะอาดหอมสดชื่นมากยิ่งขึ้น ด้วยกลิ่นอโรม่าหอมสะอาด จึงเหมาะแก่การซื้อเป็นของฝาก

 

LOTIONS FROM SANTA MARIA NOVELLA

 

© Linenboutique

 

SANTA MARIA NOVELLA เป็นร้านขายยา ที่ผลิตน้ำหอมและพวกสกินแคร์ที่เก่าที่สุดในฟลอเรนซ์ ซานตามาเรียโนเวลลามีผลิตภัณฑ์หลากหลายชนิดและยังคงใช้สูตรดั้งเดิมไม่มีส่วนผสมของสารกันบูดและสารเติมแต่ง ผลิตภัณฑ์มีความวินเทจ สามารถพกพากลับได้สะดวกเหมาะแก่การซื้อเป็นของฝาก สำหรับคนที่ที่ชื่นชอบคือโลชั่นบำรุงผิวกลิ่นหอม ผลิตภัณฑ์ที่นี่ตอบโจทย์มากราคาก็สบายกระเป๋า

 

COSMETICS

 

© Thecollegeview

 

KIKO เครื่องสำอางสัญชาติอิตาเลี่ยน ราคาไทยๆ หรือถูกกว่าไทยด้วยซ้ำ ในระดับที่คุณภาพน่าพึงพอใจ มีเอกลักษณ์ตรงไม่มีเคาท์เตอร์ขายตามห้าง แต่จะมีเป็น SHOP กระจายอยู่ทั่วไปในอิตาลี แบรนด์นี้เป็นที่รู้จักกันในหมู่วัยรุ่น นักเรียน นักศึกษา เพราะเน้นตลาดวัยทีน และยังมีอีกแบรนด์ที่น่าสนใจซื้อเป็นของฝาก คือ PUPA เรียกได้ว่าเน้นคุณภาพและเทรนด์แฟชั่นเป็นอันดับสำคัญ ดังนั้นเราจึงได้เห็นสีสันใหม่ๆ ขนขบวนกันมาเอาใจสาวๆ ตลอด และเทคโนโลยีในการผลิตก็นับได้ว่าแนวหน้าเป็นที่สุด

 

MOKA POT

 

© Amazon

 

Moka Pot ซึ่งเป็นการชงกาแฟสไตล์อิตาลี ซึ่งเป็นที่นิยมมากในประเทศอิตาลี เพราะคนที่นั่นส่วนใหญ่ชอบกาแฟรสขม สนองคอคนรักเอสเปรสโซ่ อุปกรณ์ส่วนใหญ่ทำจากอลูมิเนียม และบางรุ่นก็ทำมาจากสแตนเลส วิธีการชงทั่วไป ง่ายๆ เพียงต้มให้กาแฟเดือดพอดี และใช้สัดส่วนที่ถูกต้อง หากต้องการทำให้รสชาติดียิ่งขึ้น ควรใช้เมล็ดกาแฟเอสเปรสโซ่คั่วอ่อน และควรหลีกเลี่ยงเมล็ดกาแฟคั่วเข้ม

 

LEATHER

 

© Capuozzo.it/ Kiosato/ Soulrevolver

 

สำหรับสายแฟชั่นเป็นอันรู้ดีกว่าประเทศอิตาลีเป็นต้นกำเนิดแบรนด์แฟชั่นระดับไฮเอนด์จำนวนมาก โดยเฉพาะสายเครื่องหนังอย่างกระเป๋าถือ กระเป๋าเงิน รองเท้า หรือแจ็คเก็ตที่ใช้มือสองข้างก็ยังนับชื่อแบรนด์ไม่หมด ผลิตภัณฑ์เครื่องหนังของอิตาลีขึ้นชื่อมีคุณภาพสูงและแพง (มาก!) ซึ่งต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงศตวรรษ 1900-1940 ที่เหล่าราชวงศ์และชนชั้นสูงในสมัยนั้นเริ่มนิยมหีบเดินทางและกระเป๋าถือที่สร้างมาจากหนังสัตว์ ทำให้กลุ่มช่างฝีมือเริ่มเติบโต และขยายฐานผลิตอย่างรวดเร็ว มีการบุกเบิกทักษะการเย็บรองเท้า ผสมผสานความรู้จากการเย็บอานม้า การปัก และการทอมาเพิ่มคุณภาพให้ผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะแคว้นทัสคานี (Tuscany) ที่มีองค์ความรู้เรื่องการฟอกหนังสัตว์มานานหลายพันปี เทคนิคเหล่านี้ยังคงสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ทำให้ทัสคานีกลายเป็นแหล่งทำเครื่องหนังที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง

 

MASK

 

©Mardigrasoutlet/Sina

 

เทศกาลหน้ากาก ณ เมืองเวนิสแห่งนี้จะมีผู้คนหลากหลายมาพร้อมกับหน้ากากรูปแบบต่างๆ และมีการแต่งกายที่อลังการ ซึ่งจะมีทั้งแบบย้อนยุคแฟนซี ตัวละครในเทพนิยาย หรือสัตว์ต่างๆ ตามแต่จินตนาการของผู้นั้น ซึ่งสร้างสีสันและความตื่นตาตื่นใจให้กับนักท่องเที่ยวมารอคอยชมขบวนพาเหรด โดยหน้ากากแบบดั้งเดิมของชาวเวนิสนั้น เป็นหน้ากากที่มีสีขาวทรงปลายแหลมคล้ายปากนก แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไปหน้ากากก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ถ้าใครอยากได้ไปเป็นของฝากสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายของที่ระลึกทั่วไป

 

MURANO GLASS

 

© Incollect/Perles & Co

 

Murano เป็นเกาะที่มีการทำเครื่องแก้วจากยุโรปสืบต่อกันมามาหลายปี เกาะมูราโนตั้งอยู่ไม่ไกลจากใจกลางเวนิส ความโด่งดังของมูราโนก็คือ ผลิตภัณฑ์จากเครื่องแก้ว ผลงานอันวิจิตรที่ถูกเป่าออกมาจากช่างฝีมือที่ได้รับการพัฒนาฝีมือจากอิทธิพลของวัฒนธรรมเอเชียกรีกและโรมันมานานหลายปีและพวกเขาได้สร้างงานฝีมือในการทำเครื่องแก้วที่สวยงามแปลกใหม่และน่าหลงใหล ไม่ว่าจะเป็น เครื่องประดับ แจกัน แก้ว กระจก

 

HANDPAINTED CERAMIC

© Walthamwolves/Amazon

 

อีกหนึ่งอย่างที่ควรหิ้วกลับบ้าน ก็คือ เซรามิกนั้นเอง ที่อิตาลีส่วนมากจะนิยมเพ้นท์ด้วยมือทั้งหมดทำให้เกิดเป็นเอกลักษณ์ รูปแบบและการออกแบบจะสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรม ส่วนมากจะเน้นสีสันที่สดใส

 

SMALL SCULPTURE

 

© Amazon

 

คงไม่มีใครไม่รู้จักรูปปั้น “เดวิด” ของศิลปินชื่อดัง “ไมเคิลแองเจลโล” เราคงรู้ว่ารูปปั้นนี้โด่งดังอย่างมาก แต่เราก็ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงดังและรู้จักกันไปทั่วโลกอย่างนี้ นี่คือรูปปั้นหินอ่อนไม่กี่ชิ้นที่สร้างขึ้นในยุคเรนาซองค์ สร้างเสร็จในปี 1504 และตอนนี้ผ่านมากว่า 500 ปี ก็มีกว่า 8 ล้านคนต่อปี ที่ได้มาชมรูปปั้นนี้ที่ Galleria dell’Accademia ในเมือง Florence ประเทศอิตาลี รูปปั้น David สูง 5 เมตร มีน้ำหนักกว่า 5,660 กิโลกรัม โดยสร้างจากหินชิ้นเดียว โดยใช้เวลากว่า 2 ปีในการแกะสลัก (ซึ่งต้นแบบมาจาก Biblical David ผู้พิชิต Goliath ด้วยการยิงหินใส่หัว) แต่ถ้าจะให้ยกรูปปั้นเดวิดกลับบ้านไปฝากแม่คงกระไรอยู่แต่เราสามารถหารูปั้นเดวิดหรือรูปปั้นอื่นๆที่ชิ้นเล็กกว่า ได้ที่ร้านขายของที่ระลึก

 

RELIGIOUS ART

 

© Amazon

 

คุณจะสามารถพบกับงานศิลปะที่สวยงามอยู่รอบๆอิตาลี เช่นภาพวาด ของตกแต่งบ้านหรือแม้ แต่ลูกปัดลูกประคำ นอกจากนั้นของขวัญทางศาสนา อาจรวมถึงภาพวาด รูปปั้น การ์ด เหรียญ ต้องเลือกดีๆเพราะมีทั้งดีและไม่ดี และราคาที่แตกต่างกัน ของพวกนี้สามารถพกพาได้สะดวกเหมาะสำหรับการนำไปฝากคนที่บ้าน

 

PASTA

 

© Boomerhealthinstitute

 

แม้ว่าที่เมืองไทย เส้นพาสต้าจะมีขายอยู่ทั่วไปตามซูเปอร์มาร์เก็ต แต่ถึงอย่างไรเราก็ยังอยากจะแนะนำให้ซื้อกลับไปอยู่ดี นั่นก็เพราะพาสต้าที่อิตาลีจะมีหลายยี่ห้อ หลายรูปลักษณ์ และหลายแบบมาก ทั้งที่เป็นแบบปกติที่เราเคยเห็นทั่วๆ ไป แบบที่ทำจากธัญพืชโฮลเกรน รวมถึงแบบที่ไม่มีโปรตีนกลูเตน เป็นต้น นอกจากนั้นพาสต้าที่ชาวบ้านทำขายในท้องถิ่นตามร้านขายของชำทั่วๆ ไปนี่ก็น่าสนใจ เพราะทำจากวัตถุดิบจากธรรมชาติล้วนๆ แถมยังให้ความเป็นอิตาเลียนแท้ๆ

 

LIMONCELLO

 

© Amazon/ Crowneplaza/ Pietrogalloestate

 

เหล้ามะนาว เป็นเหล้าลิเคียวร์ รสมะนาว ที่นิยมผลิตกันมากทางใต้ของอิตาลีแถวๆ ชายฝั่งอามาลฟี ซึ่งได้จากการนำเปลือกของผลเลม่อนซึ่งใช้มือเก็บ มาผสมผสานทำให้เกิดรสชาติของความมีชีวิตชีวา ส่วนรสชาติก็หวานอมเปรี้ยว และแฝงด้วยรสฝาดและขมเฝื่อนเบาๆ ของเปลือกเลม่อน จนกลายเป็นรสชาติที่กลมกล่อมลงตัว คนอิตาเลียนนิยมดื่มล้างปากหลังมื้ออาหารเย็น

 

WINE

 

© Daily Express

 

ไวน์ในอิตาลีถือเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมที่ผู้คนมักจะดื่มกันในระหว่างมื้ออาหาร และเป็นเครื่องดื่มที่ขาดไม่ได้เลยในวิถีชีวิตของชาวอิตาลี อีกทั้งไวน์อิตาลียังมีชื่อเสียงทั่วโลกในเรื่องของคุณภาพที่ดี โดยไวน์อิตาลีที่หาซื้อได้ง่ายและราคาไม่สูงมากนักก็คงจะเป็นไวน์แดง ซึ่งยี่ห้อที่แนะนำก็ได้แก่ Barbera Piemonte เป็นไวน์ที่มาจากทางเหนือของอิตาลี รสชาติจะออกหวานเล็กน้อย, Chianti และ Montepulciano เป็นไวน์ที่มีชื่อเสียงของแคว้นทัสกานี, Sangiovese, Primitivo ไวน์ที่มาจากทางตอนใต้ของอิตาลี, Lambrusco เป็นไวน์แดงรสหวานมีฟอง ไวน์ซ่าๆ, Vino frizzante, Nero d’ avola ไวน์จากซิชิลี, และ Brunello de Montalcino เป็นต้น

 

OLIVE OIL

 

© Amazon/ Clearspring/VomFassSingapore

 

ด้วยเหตุที่น้ำมันมะกอกนั้นถือเป็นหนึ่งในเครื่องปรุงหลักของอาหารทางฝั่งยุโรป โดยเฉพาะในอาหารฝรั่งเศส อาหารอิตาลี และอาหารสเปน อีกทั้งอิตาลียังได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของอาหารยุโรป เพราะฉะนั้น ของฝากอิตาลี จะมีอะไรดีไปกว่าน้ำมันมะกอก ซึ่งน้ำมันมะกอกของอิตาลีล้วนผ่านขั้นตอนการตรวจว่าไร้สารเคมีเจือปน อีกทั้งรสชาติและกลิ่น ยังได้รับการทดสอบว่าได้มาตรฐานตามที่องค์กรเกี่ยวกับมาตรฐานน้ำมันมะกอกรองรับ มันจึงกลายเป็นของฝากที่เต็มไปด้วยคุณค่าและสารอาหารที่ดีต่อร่างกาย

 

CHEESE

 

© Hello Italy Tours

 

ทุกภูมิภาคของอิตาลีมีการประกอบอาชีพในการทำชีสมายาวนานและชีสที่นี่ก็มีมากมายหลายชนิดให้เลือกทาน การใช้ชีสในการประกอบอาหารอิตาเลียนถ้าจะให้นับคงนับไม่ถ้วน จะพบได้มากด้านบนของพาสต้าอีกทั้งยังเป็นส่วนประกอบของซอสต่างๆ หรือเสิร์ฟในตอนท้ายของมื้อก่อนผลไม้และของหวาน ความแตกต่างระหว่างชีสก็มีสาเหตุมาจากนมหลายชนิดที่ใช้เช่นวัวแพะแกะหรือควาย ชีสที่รู้จักกันดีคือมอสซาเรลล่าที่ทำจากนมควายมีรสชาติที่ดีโดยเฉพาะที่ผลิตใน “กัมปาเนีย”

 


Source :

talontiew

sudsapda

marvis

souvenirfinder

bloggang

thematter

catdumb

mushroomtravel

gpsmycity

 

ทัวร์ญี่ปุ่น ชมวิวฟูจิ..ท่ามกลางทุ่งลาเวนเดอร์สีม่วงที่ Fuji Kawaguchiko Herb Festival

ทัวร์ญี่ปุ่น ชมวิวฟูจิ..ท่ามกลางทุ่งลาเวนเดอร์สีม่วงที่ Fuji Kawaguchiko Herb Festival

ทัวร์ญี่ปุ่น ชมวิวฟูจิ..ท่ามกลางทุ่งลาเวนเดอร์สีม่วงที่ Fuji Kawaguchiko Herb Festival


ทัวร์ญี่ปุ่น ชมวิวฟูจิ..ท่ามกลางทุ่งลาเวนเดอร์สีม่วงที่ Fuji Kawaguchiko Herb Festival เริ่ม 14 มิ.ย. – 7 ก.ค. 62

ในช่วงเดือน มิถุนายน – กรกฎาคม จะมีเทศกาลสมุนไพรที่ชื่อว่า (Fujikawaguchigo Herb) ให้นักท่องเที่ยวได้เดินช้อปปิ้งซื้อสินค้าเกี่ยวกับสมุนไพร ชา ขนม และอีกมากมาย ซึ่งภายในงานแบ่งพื้นที่เป็น 2 ส่วน คือ บริเวณสวน Yagisaki ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของทะเลสาบ และสวน Oishi ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของทะเลสาบ

ทัวร์ญี่ปุ่น ชมวิวฟูจิ..ท่ามกลางทุ่งลาเวนเดอร์สีม่วงที่ Fuji Kawaguchiko Herb Festival

ส่วนไฮไลท์ของงานนี้จะอยู่ที่การเดินชมลาเวนเดอร์สีสันสวยงามและดอกไม้สายพันธุ์อื่นๆที่บานสพรั่งอยู่ริมทะเลสาบที่มีฟูจิซังอยู่ด้านหลัง

ทัวร์ญี่ปุ่น ชมวิวฟูจิ..ท่ามกลางทุ่งลาเวนเดอร์สีม่วงที่ Fuji Kawaguchiko Herb Festival

นอกจากนี้ในช่วงกลางคืนที่นี่ยังมีการประดับไฟอย่างสวยงามอีกด้วย

ทัวร์ญี่ปุ่น ชมวิวฟูจิ..ท่ามกลางทุ่งลาเวนเดอร์สีม่วงที่ Fuji Kawaguchiko Herb Festival

ระยะเวลาการจัดงาน

  • Yagisaki Park : วันที่ 14 มิถุนายน – 7 กรกฎาคม / เปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 9.00 – 18.00 น.
  • Oishi Park : วันที่ 14 มิถุนายน ถึง 15 กรกฎาคม / เปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 9.00 – 17.00 น.

6 คาเฟ่ลับนอกกระแสที่โตเกียว

By Toey Ralinda

เที่ยวญี่ปุ่น – ในโตเกียวยังมีคาเฟ่ชิคๆบรรยากาศชิลๆอีกมากมาย ที่ซ่อนตัวอยู่สำหรับใครที่ชอบใช้ชีวิต สโลว์ไลฟ์ ไม่ชอบคนเยอะ อยากหลีกหนีความวุ่นวาย เราจะพาไปทำความรู้จักกับ 6 คาเฟ่ ที่แต่ละร้านจะมีคอนเซ็ปที่ไม่เหมือนกัน เป็นคาเฟ่เฉพาะกลุ่ม ซึ่งแต่ละร้านจะมีบรรยากาศ เรียบง่าย สงบ เป็นกันเอง จะมีที่ไหนบ้างไปดูกัน

 


1. The Open Book

พิถีพิถันในการทำโซจูผสมโซดาและน้ำมะนาว

หากคุณก้าวเท้าเข้ามาในร้าน คุณจะตื่นตากับผนังที่เต็มไปด้วยหนังสือมากมายซึ่งที่นี่คือคาเฟ่และบาร์ดูเหมือนจะไม่เข้ากันเลย แต่คุณทานากะเจ้าของร้านสามารถผสมผสานการตกแต่งร้านได้อย่างลงตัว จึงออกมาเป็นในรูปแบบนี้

ของขึ้นชื่อของที่นี่คือ “โซจูผสมโซดาและน้ำมะนาว”ลูกค้าสามารถเลือกดูหนังสือได้อย่างอิสระในขณะที่จิบโซจูไปด้วยก็ทำให้ร้านดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้นและแปลกไม่เหมือนบาร์ทั่วไปที่อื่น

The Open Book

ที่อยู่ : Golden Gai 5-Ban Gai, 1-1-6 Kabukicho, Shinjuku-ku ,Tokyo

วันเวลา : เปิด วันจันทร์ – วันเสาร์ เวลา 19.00 น. – 1.30 น. / ปิด วันอาทิตย์

อ้างอิง : https://www.timeout.com/tokyo/bars-and-pubs/the-open-book

 


2. 8bit Cafe

 

ร้านคาเฟ่ชินจูกุแห่งนี้ตั้งอยู่บนชั้นห้าของอาคารพาณิชย์ที่มีสภาพทรุดโทรมเล็กน้อยแต่เป็นสวรรค์สำหรับแฟนวิดีโอเกมทุกคนในยุค 80s

ผนังและโต๊ะตกแต่งด้วยรูปแกะสลักการ์ตูนและโปสเตอร์ มีคอนโซลคลาสสิกและสามารถใช้งานได้อย่างเต็มรูปแบบ – เพียงเลือกเกมที่คุณชื่นชอบจากคอลเล็กชั่นเกมที่มีให้เลือกหลากหลายและเริ่มเล่นกันได้เลย

ขอเพลงได้ตามใจชอบ

ส่วนเครื่องดื่มจะมีชื่อเป็นเกมส์ เช่น Princess Peach’s Temptation และ Dr.Mario สร้างกิมมิกให้เมนูน่าสนใจยิ่งขึ้นสำหรับใครที่หิวๆมาก็มีอาหารให้เลือก เช่น พาสต้าและ ชีสเค้ก

8bit Cafe

ที่อยู่ : Q Bldg. 5F, 3-8-9 Shinjuku, Shinjuku-ku ,Tokyo

วันเวลา : เปิด 18.00 น.- 23.00 น. (ถึง 5.00 น. วันศุกร์ , วันเสาร์) / ปิด วันอังคาร

อ้างอิง : https://www.timeout.com/tokyo/bars-and-pubs/8bit-cafe

 


3. Kiha

 

ทุกคนมาต้องมาถ่ายรูปในสไตล์นี้

ชั้นสองของ Kiha ซึ่งเป็นสถานที่แฮงค์เอาท์หลังเลิกงาน ถูกประดับประดาออกมาเหมือนภายในรถใต้ดินของโตเกียวโดยเก็บลายละเอียดดีมาก มีทั้ง ชั้นวางกระเป๋า, ที่จับ, โฆษณา, ป้ายสถานีและแผนที่เส้นทางล้วนเป็นของแท้

เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมใหม่เพื่อให้ดูสมจริงที่สุดเหมือนรถไฟกำลังเคลื่อนที่โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การให้บริการอาหารให้เหมือนตอนอยู่ในรถไฟ เช่น อาหารกระป๋องหลากหลายประเภทรวมถึงปลาในน้ำเกลือหมูเค็มและขนมขบเคี้ยว ข้าวโพด และ คุณก็สามารถลองใส่เครื่องแบบของนายสถานีได้ด้วย

Kiha

ที่อยู่ : 1-6-11 Nihonbashi-Horidomecho, Chuo-ku ,Tokyo

วันเวลา : เปิด วันจันทร์ – วันเสาร์ 18.00 น. – 23.30 น. / ปิด วันอาทิตย์

อ้างอิง : https://www.timeout.com/tokyo/bars-and-pubs/kiha

 

 


4. SUBstore

 

บริเวณทางเข้าร้าน กับการตกแต่งสุดวินเทจ

SUBstore เมื่อเปิดตัวในปี 2559 การตกแต่งของทางร้านเป็นส่วนผสมของทั้งร้านแผ่นเสียงร้านหนังสือร้านกาแฟ สำหรับคนหลงรักในเสียงเพลงคลาสสิก

สามารถเลือกซื้อได้ มีของแรร์เพียบ

และยังเป็นสถานที่จัดแสดงดนตรีสดทั้งภายในภายนอก และ ทางร้านจะมีอาหารอินโดนีเซียต้นตำรับที่ได้รับความนิยมมาก คุณค่าที่คุณควรลอง

บรรยากาศในร้าน

เป็นที่แฮงค์เอ้าท์ สำหรับนักท่องเที่ยวและชาวต่างชาติอื่น ๆ เพื่อพบปะสังสรรค์กับคนรักดนตรี หรือ ดูงานศิลป์ที่ทางร้านได้จัดทำไว้

SUBstore

ที่อยู่ : 3-1-12 Koenji-Kita, Suginami,Tokyo

วันเวลา : เปิด วันพุธ 17.00 น. – 23.00 น. / วันพฤหัส – จันทร์ 21.00 น. – 23.00 น.

อ้างอิง : https://www.timeout.com/tokyo/music/substore-tokyo

 

 


5. Aparecida

 

ที่นี่บราซิล ใครก็ได้

Aparecida ให้บริการชาวบราซิลในโตเกียวและผู้ที่สนใจวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของดินแดนแซมบ้าแห่งนี้อยู่ Nishi-Ogikubo ย่านชุมชนจะมีการการพูดคุยหรือกิจกรรมอื่น ๆ เกือบทุกคืน

เหล้า cachaça เอกลักษณ์ของทางร้าน

คุณจะไม่พบเบียร์บนก๊อกที่นี่ แต่มีcachaça(เหล้ารัมจากอ้อย) มากกว่า 20 ชนิด และน้ำผลไม้ พร้อมให้บริการพร้อมกับอาหารจำพวกเนื้อเช่นสตูว์ feijoada และไส้กรอกlinguiça

Aparecida

ที่อยู่ : 2F, 3-17-5 Nishi-Ogikubo, Suginami-ku ,Tokyo

วันเวลา : เปิดทุกวัน 18.00 น. – 23.00 น.

อ้างอิง : https://www.timeout.com/tokyo/bars-and-pubs/aparecida

 


6. Cocktail Shobo

ถ้าคุณรักหนังสือ แถมยังชอบดื่ม ทั้งสองอย่างนี้ เราแนะนำ Cocktail Shobo ที่เงียบสงบแห่งนี้ซึ่งเจ้าของร้านที่มีแรงบันดาลใจในการรังสรรค์อาหาร จากนวนิยาย ตัวอย่างเช่น Taisho Croquette ที่ทำจากเยื่อกระดาษเต้าหู้และน้ำพริกปลาตามสูตรในนวนิยาย

Cocktail Shobo

ที่อยู่ : 3-8-13 Koenji-Kita, Suginami-ku ,Tokyo

วันเวลา : เปิด 18.00 น. -23.00 น. / ปิด วันจันทร์ที่ 2 และ วันอังคารที่ 4 ของทุกเดือน

อ้างอิง : https://www.timeout.com/tokyo/bars-and-pubs/cocktail-shobo

 

เที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ ดินแดนในฝันกับ 5 เมืองสุดโรแมนติก

เที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ ดินแดนในฝันกับ 5 เมืองสุดโรแมนติก

“เมื่อเอ่ยถึง สวิตเซอร์แลนด์ น่าจะเป็นประเทศยุโรปในฝันอันดับต้นๆ ของหลายคน เพราะมีทิวทัศน์และบรรยากาศที่สวยงาม เต็มไปด้วยเทือกเขาสูงใหญ่ อย่างมัทเทอร์ฮอร์น รวมทั้งกิจกรรมในการท่องเที่ยวก็หลากหลาย ทั้งล่องเรือ นั่งกระเช้าขึ้นยอดเขา นั่งรถไฟท่ามกลางบรรยากาศที่แสนจะโรแมนติก และเมืองเก่าที่บรรยากาศราวกับอยู่ในดินแดนแห่งเทพนิยาย ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้เลยทำให้สวิสเป็นประเทศยุโรปในฝันที่ใครก็อยากไปเยือนให้ได้สักครั้ง”

ครั้งนี้ เราเลยได้รวบรวม 5 เมืองน่าเที่ยวของสวิสมาให้ทุกคนได้ชมกันว่าจะมีเมืองไหนน่าไปบ้าง ไปดูกันเลย

1. มงเทรอซ์ เมืองปราสาทสวยริมทะเลสาบ

“ปราสาทเชียง” ปราสาทที่สวยที่สุดของสวิส

ที่นี่เป็นเมืองพักตากอากาศขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่หลายคนอาจจะไม่คุ้นหูเท่าไรนัก ซึ่งอยู่ริมทะเลสาบเจนีวา ซึ่งเมืองนี้มีปราสาทที่สวยมากๆ อยู่ใกล้ๆ ชื่อ ปราสาทเชียง เป็นปราสาทที่มีชื่อเสียงที่โด่งดังและสวยงามมากๆแห่งหนึ่งเลย ตัวปราสาทมีขนาดใหญ่ ซึ่งมีลักษณะพิเศษตรงที่สร้างลงไปในทะเลสาบเจนีวา โดยมีสะพานเชื่อมกับชายฝั่ง และยังเป็นปราสาทที่มีชาวสวิสนิยมเข้าชมมากที่สุดอีกด้วย


2. อินเทอร์ลาเก้น เมืองแห่งภูเขาและทะเลสาบ

“สะพานสองทะเลสาบ” จุดชมวิวที่ใกล้กับเมืองอินเทอร์ลาเก้น

อินเทอร์ลาเก้น เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ระหว่างจุดเชื่อมของสองทะเลสาบ โดยมีแม่น้ำอาเร ไหลผ่านจากทะเลสาบ Brienz ไปทะเลสาบ Thun ที่นี่เป็นเมืองเล็กๆ มีผู้คนอาศัยอยู่ประมาณ 5,000 คน และยังเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของสวิสอีกด้วย

ซึ่งเมืองนี้ก็เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวเพราะเมืองนี้เป็นที่ตั้งของสถานีทางผ่านที่ขึ้นไปยังยอดเขาจุงเฟรา ยอดสถานีที่สูงที่สุดของยุโรป และยังเป็นเส้นทางที่มีธรรมชาติสวยงามในทุกช่วงฤดูเลย

นอกจากสถานีรถไฟไปยังยอดเขาจุงเฟราแล้ว เมืองนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง รวมทั้งกิจกรรมที่ให้อารมณ์ผ่อนคลายของนักท่องเที่ยวอีกด้วยไม่ว่าจะเป็น เดินเล่นย่านเมืองเก่า ล่องเรือชมทะเลสาบ Thun และ ฺBrienz หรือจะนั่งรถไฟเที่ยวไปตามยอดเขาที่สวยงามต่างๆ


3. ลูเซิร์น เมืองแห่งการท่องเที่ยวของสวิตเซอร์แลนด์

ที่นี่เป็นเมืองท่องเที่ยวที่โด่งดังที่สุดของสวิสเลย นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ต้องมาแวะที่เมืองนี้ก่อนเสมอ รวมถึงที่นี่ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่โด่งดังหลายแห่งไม่ว่าจะเป็น Tilis, Pilatus และ Rigi นอกจากนี้ในเมืองก็ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของเมืองอย่าง สะพานไม้ชาเปลและหอคอยกลางน้ำ กำแพงเมืองเก่า ถนนช้อปปิ้ง และวิหารที่สวยงามอีกหลายแห่งด้วยกัน

“สะพานไม้ชาเปล” สัญลักลักษณ์แห่งเมืองลูเซิร์น

วิวเมืองลูเซิร์น

กระเช้าขึ้นยอดเขา Tilis ชมวิวแบบ 360 องศา

4. เซอร์แมท เมืองเล็กๆที่แสนโรแมนติก

62 Zermatt Spring

เซอร์แมท หมู่บ้านเล็กๆ ในหุบเขาลึกของสวิส ซึ่งอยู่บริเวณเชิงเขามัทเทอร์ฮอร์น เป็นเมืองที่อยู่ค่อนข้างไกลมากๆ และเป็นเมืองจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวที่ชอบความเงียบสงบ และต้องการสัมผัสบรรยากาศของ มัทเทอร์ฮอร์น แบบเต็มอิ่ม

 

ซึ่งเมืองแห่งนี้มีทั้งสถานีรถไฟ กระเช้า สำหรับการเดินทางขึ้นไปชมความสวยงามของมัทเทอร์ฮอร์น นอกจากนี้ยังมีร้านค้า ร้านอาหาร ถนนสายช้อปปิ้ง และสีสอร์ทสวยๆให้เราได้เลือกใช้บริการกันอีกด้วย ซึ่งไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนของเมืองนี้เราก็สามารถมองเห็นยอดเขา มัทเทอร์ฮอร์น ที่อยู่ห่างออกไปเพียง 8 กม. ได้อย่างชัดเจน

ส่วนการเดินทางของเมืองนี้รถยนต์ส่วนบุคคลจะสามารถเข้าไปได้แค่เมือง Tasch เท่านั้น ซึ่งจะมีจุดจอดรถให้นักท่องเที่ยวและต้องใช้บริการรถสาธารณะเข้าไป ทั้งนี้เพื่อจำกัดการวิ่งของรถยนต์ในเมือง หรือ ที่เรียกว่า car-free town นั่นเอง


5. Locarno เมืองแห่งเทศกาลหนังริมทะเลสาบ

เป็นเมืองที่อยู่ใกล้ๆ อิตาลี เมืองนี้จึงได้รับอิทธิพลมาจากอิตาลีเล็กน้อย และเมืองนี้ยังเป็นที่ตั้งของศาสนสถานที่สำคัญอย่างพระแม่มารีด้วย ซึ่งมีความสวยงาม และเป็นที่รู้จักกันดีมาตั้งแต่สมัยโบราณ

โบสถ์พระแม่มารี Madonna del Sasso

เมืองนี้ถือว่าเป็นสถานที่พักตากอากาศริมทะเลสาบชั้นดีและมีอากาศที่อุ่นสบาย และยังถือว่าเป็นที่รู้จักกันในเทศกาลภาพยนตร์ที่โด่งดัง ซึ่งจะจัดขึ้นในช่วงฤดูร้อนของทุกปี (ช่วงสิงหาคม) โดยมีการฉายหนังที่โรงกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งสามารถจุคนเข้าชมได้ถึง 8,000 คนเลยทีเดียว

จตุรัส Piazza Grande ที่จัดเทศกาลหนัง

9 ข้อที่ควรรู้…ก่อนไปอิตาลี

9 ข้อที่ควรรู้...ก่อนไปอิตาลี

9 ข้อที่ควรรู้...ก่อนไปอิตาลี


ก่อนที่เราจะเดินทางท่องเที่ยวประเทศยุโรปนั้นอย่างน้อยเราก็ควรศึกษาข้อมูลเบื้องต้นของประเทศที่เราจะไปก่อนเสมอว่ามีสถานที่ท่องเที่ยวที่ไหนน่าสนใจบ้าง ผู้คนเป็นยังไง มีเรื่องอะไรที่ต้องระวังเป็นพิเศษไหม ที่สำคัญเพื่อความสนุกสนานและราบรื่นในการเดินทางตลอดทริปนั้นๆ ของเรา

วันนี้เลยลองนำ 9 เรื่องที่ต้องรู้ของประเทศอิตาลีมาให้ดูกันว่ามีเรื่องอะไรที่เราควรรู้เป็นพื้นฐานก่อนจะออกเดินทางบ้าง ไปดูกันเลย ..

1. คนอิตาลีใช้รถไฟในการเดินทางเป็นหลัก

 

9 ข้อที่ควรรู้...ก่อนไปอิตาลี

อิตาลีเป็นประเทศทางยุโรปที่มีรถไฟครอบคลุมทั่วประเทศ จึงทำให้การเดินทางไปไหนมาไหนนั้นสะดวกมากๆ ซึ่งรถไฟนั้นก็มีให้เราได้เลือกขึ้น 2 แบบ คือ

รถไฟท้องถิ่น รถไฟประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องจองตั๋วล่วงหน้าเลย สามารถไปซื้อตั๋วได้ในระยะเวลาใกล้ๆ เพราะราคาเท่ากัน โดยตั๋วจะมีอายุ 3 เดือน หลังจากที่เราซื้อ ก่อนจะขึ้นรถไฟต้องนำตั๋วไปตอกบัตรก่อนใช้ทุกครั้ง ไม่อย่างนั้นจะโดนปรับหากเจ้าหน้าที่ตรวจเจอ

รถไฟความเร็วสูง เป็นรถไฟที่วิ่งระหว่างเมืองใหญ่ๆ เช่น โรม มิลาน ฟลอเรนซ์ เวนิส ควรจองตั๋วล่วงหน้าเพราะจะได้ราคาที่ถูกกว่า และควรจองที่นั่งด้วยเพราะเป็นรถไฟที่ได้รับนิยมมากๆ มีคนจำนวนมากรวมถึงนักท่องเที่ยวที่ใช้เดินทางข้ามเมืองเป็นจำนวนมาก


2. ห้องน้ำสาธารณะในอิตาลีหายาก

 

9 ข้อที่ควรรู้...ก่อนไปอิตาลี

วิธีที่ดีที่สุดคือเข้าในร้านคาเฟ่หรือร้านอาหาร หรือตามพิพิธภัณฑ์ใหญ่ๆ ที่มีห้องน้ำให้ใช้บริการฟรี สำหรับสาวๆ ควรพกทิชชู่เปียกไว้เช็ดที่รองนั่งด้วยนะจ๊ะ เพราะห้องน้ำบางแห่งไม่มีที่รองนั่งให้


3. ควรข้ามถนนตรงสัญญาณไฟแดง หรือทางม้าลายเท่านั้น

 

9 ข้อที่ควรรู้...ก่อนไปอิตาลี

เพราะคนอิตาลีขับรถค่อนข้างใจร้อนมาก ดูรีบเร่ง และบีบแตรใส่กันบ่อยๆ ดังนั้นต่อให้ข้ามถนนบนทางม้าลายหรือตรงสัญญาณไฟแดงก็ควรดูให้ดีก่อน เพราะชอบมีรถยนต์ชอบฝ่าไฟแดงอยู่บ่อยครั้ง


4. ก่อนซื้อกาแฟต้องเช็คราคาให้ดี

 

9 ข้อที่ควรรู้...ก่อนไปอิตาลี

คนอิตาลีชอบดื่มกาแฟกันเป็นชีวิตจิตใจเลย และดื่มได้ทุกเวลา ถ้าสั่ง “Coffee” จะได้กาแฟเอสเพรสโซ่แก้วเล็กๆ แต่ถ้าอยากลองทานกาแฟชนิดอื่นต้องระบุให้ชัดเจน และควรดูราคาก่อนสั่งกาแฟด้วยเสมอเพราะบ้านร้านใหญ่ๆ ทำเลดีๆ ราคาค่อนข้างสูงมาก โดยเฉพาะตามสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง ขายประมาณแก้วละ 5 ยูโร เลย ราคาปกติของกาแฟตกแก้วละ 1-2 ยูโร เท่านั้นเอง


5. น้ำดื่มเป็นสิ่งจำเป็น

 

9 ข้อที่ควรรู้...ก่อนไปอิตาลี

ปกติแล้วร้านค้าทั่วไปจะขายน้ำดื่มอยู่ที่ 1-2 ยูโร ส่วนน้ำอัดลมและน้ำผลไม้จะอยู่ที่ 2-3 ยูโร ถ้าต้องการประหยัดให้ซื้อน้ำขวดใหญ่ไว้ที่โรงแรมแล้วแบ่งออกมาดื่มตอนเดินเที่ยว หรือจะรองน้ำดื่มจากน้ำพุตามแต่ละเมืองไว้ดื่มก็ได้เช่นกัน และเวลาซื้อน้ำควรอ่านฉลากดีๆ เพราะที่อิตาลีมีน้ำเปล่า 2 แบบ คือ นำแร่ธรรมชาติ และน้ำโซดาอัดแก๊ส


6. ร้าน Tabacchi ร้านสารพัดประโยชน์ที่มีของจำเป็นขาย

 

9 ข้อที่ควรรู้...ก่อนไปอิตาลี

เช่น บัตรรถบัส ตั๋วรถไฟ น้ำ ของที่ระลึก และแผนที่ต่างๆ


7. โบสถ์ทุกแห่งในกรุงโรมสามารถเข้าชมได้ฟรี

 

9 ข้อที่ควรรู้...ก่อนไปอิตาลี

โบสถ์ทุกแห่งในกรุงโรมสามารถเข้าชมได้ฟรี รวมทั้งมหาวิหารเซ็นต์ปีเตอร์ที่กรุงวาติกันด้วย ส่วนโบสถ์ในเมืองอื่นๆบางแห่งก็เสียค่าเข้าชมอย่างเช่น ในเมืองฟลอเรนซ์ และควรอ่านข้อมูลล่วงหน้ามาก่อนว่าด้านในมีอะไรให้ชมบ้าง ก่อนเสียเงินซื้อบัตรเข้าชม เพราะว่าโบสถ์บางแห่งมีการตกแต่งที่เรียบง่าย ไม่ได้หรูหราเท่าโบสถ์ในกรุงโรม และที่สำคัญควรแต่งกายให้สุภาพเรียบร้อยเช่นเดียวกับการไปวัดในบ้านเรา


8. เวลาทำการของร้านค้า

 

9 ข้อที่ควรรู้...ก่อนไปอิตาลี

ร้านค้าย่อยส่วนใหญ่มักจะหยุดทำการในช่วง 13.00-15.00 น. เพราะว่าชาวอิตาลีจะมีการพักผ่อนช่วงบ่าย หลังเวลาอาหารและจะเปิดทำการปกติอีกทีในช่วงเย็น ส่วนวันอาทิตย์จะปิดทำการทั้งวันเลย


9. ระวังของมีค่า

 

9 ข้อที่ควรรู้...ก่อนไปอิตาลี

อิตาลีเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องขโจรขโมยมากๆ ดังนั้นเราควรเก็บของมีค่าไว้ให้ดี เวลาไปตามสถานที่ท่องเที่ยวที่คนเยอะๆ ควรเอากระเป๋ามาอุ้มไว้ด้านหน้าเพื่อความปลอดภัย เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเราบ้าง แต่ก็ไม่ต้องกังวลจนมากเกินไปเพราะจะทำให้การเที่ยวไม่สนุกแค่ระวังไว้ก็พอ

และหวังว่า 9 ข้อนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่กำลังหาข้อมูลและเดินทางไปเที่ยวอิตาลีนะคะ

ทัวร์ตุรกี..ดินแดนแห่งคาบสมุทรอนาโตเลีย

ทัวร์ตุรกี..ดินแดนแห่งคาบสมุทรอนาโตเลีย
ทัวร์ตุรกี..ดินแดนแห่งคาบสมุทรอนาโตเลีย
ตุรกี..ดินแดนแห่งคาบสมุทรอนาโตเลีย

“ตุรกีคือตัวเลือกหนึ่งในประเทศที่หลายคนอยากไปอย่างแน่นอน เพราะเป็นประเทศที่มี 2 ทวีป ระหว่างยุโรป และเอเชีย ถ้าได้ไปยืนอยู่ในสถานที่แสนมหัศจรรย์อันมีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่าพันปี มันคงจะดีไม่น้อย

และที่พลาดไม่ได้คือกิจกรรมต่างๆ ที่น่าสนใจไม่ว่าจะเป็น การขึ้นบอลลูน แช่น้ำแร่ อาบน้ำในโรงอาบน้ำแบบตุรกี เดินเล่นที่เมือง อิสตันบูล และกิจกรรมอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกมากมาย ลองไปชมกันเลย…”

 

ทัวร์ตุรกี..ดินแดนแห่งคาบสมุทรอนาโตเลีย

คัปปาโดเกีย

2 สิ่งที่พลาดไม่ได้จริงๆ เมื่อมาถึงที่แห่งนี้

“พักโรงแรมถ้ำ” แต่ละโรงแรมในบริเวณคัปปาโดเกีย ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นสไตล์โรงแรมถ้ำทั้งหมด ซึ่งจะมีบางส่วนที่เป็นถ้ำจริงๆ และที่มนุษย์สร้างขึ้นมา เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสประสบการณ์ที่แตกต่าง

“กิจกรรมขึ้นบอลลูน” ต้องบอกว่าที่แห่งนี้ เป็นจุดขึ้นบอลลูนที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว ซึ่งใครต่อใครที่มาที่นี่ ก็ล้วนแต่ต้องมาลองขึ้นบอลลูนชมวิวซักครั้งหนึ่งในชีวิต

ทัวร์ตุรกี..ดินแดนแห่งคาบสมุทรอนาโตเลีย

“ปามุกคาเล่” หรือ ปราสาทปุยฝ้าย

มรดกโลกทางธรรมชาติของตุรกี ซึ่งเมื่อในสมัยก่อนชาวโรมันสร้างเมืองใกล้กับแหล่งน้ำแร่แห่งนี้เพื่อเป็นสถานที่พักตากอากาศ

ทัวร์ตุรกี..ดินแดนแห่งคาบสมุทรอนาโตเลีย

ปราสาทอุชิซาร์

ปราสาทหินธรรมชาติขนาดใหญ่ แห่งคัปปาโดเกีย เต็มไปด้วยรู และโพลงขนาดเล็กคล้ายรังมด ดึงดูดผู้มาเยือนด้วยประวัติอันน่าสนใจและทิวทัศน์ตระการตา

ทัวร์ตุรกี..ดินแดนแห่งคาบสมุทรอนาโตเลีย

โชว์ระบำหน้าท้อง

การแสดงที่หาชมได้ยากมากๆ มีเพียงไม่กี่แห่งบนโลก

ทัวร์ตุรกี..ดินแดนแห่งคาบสมุทรอนาโตเลีย

นครโบราณเฮียราโปลิส

โรงละคร ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางเฮียราโพลิส จุคนได้ประมาณ 12,000 คน อยู่ใกล้ๆกับปราสาทปุยฝ้าย

ทัวร์ตุรกี..ดินแดนแห่งคาบสมุทรอนาโตเลีย

เอฟิซัส

เมืองมรดกโลกโบราณ ซึ่งสมัยโรมัน เอฟิซัสเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของจักรวรรดิโรมันรองจากโรมที่เป็นเมืองหลวง

ทัวร์ตุรกี..ดินแดนแห่งคาบสมุทรอนาโตเลีย

วิหารอโครโพลิส

ขึ้นชมมหาวิหารโบราณอโครโพลิส ด้วยการนั่งกระเช้า

ทัวร์ตุรกี..ดินแดนแห่งคาบสมุทรอนาโตเลีย

อิสตันบูล

เมืองแห่งประวัตศาสตร์อันยาวนาน ที่มีสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ที่น่าสนใจมากมาย เช่น สุเหร่าสีน้ำเงิน ฮายาโซเฟีย พระราชวังต่างๆ และตลาดชื่อดังอย่างสไปซ์และแกรนด์บาซาร์

ทัวร์ตุรกี..ดินแดนแห่งคาบสมุทรอนาโตเลีย

สไปซ์ บาซาร์

แหล่งช้อปปิ้งของเมืองอิสตันบูล ที่มีสินค้ามากมาย อย่างขนมชื่อดังต่างๆ เครื่องเทศ กาแฟ สบู่ ของที่ระลึกมากมาย

ทัวร์ตุรกี..ดินแดนแห่งคาบสมุทรอนาโตเลีย

ล่องเรือช่องแคปบอสฟอรัส

เป็นช่องแคบระหว่างทวีปยุโรป และเอเชีย นั่งเรือพร้อมทานอาหาร จิบไวน์ ชมวิวสองข้างทาง เป็นอะไรที่ไม่ควรพลาดอย่างมาก เมื่อมาอิสตันบูล

 

ทัวร์ตุรกี..ดินแดนแห่งคาบสมุทรอนาโตเลีย

Evil Eye

เครื่องรางชื่อดังของชาวตุรกี เชื่อกันว่าช่วยขับไล่สิ่งที่ไม่ดีออกจากตัว นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็จะซื้อเครื่องรางนี้ไปฝากคนที่รัก เพื่อกันสิ่งไม่ดี

ทัวร์ตุรกี..ดินแดนแห่งคาบสมุทรอนาโตเลีย

ขนมชื่อดัง “เตอร์กิชดีไลท์”

เมื่อไปตุรกีทั้งที ต้องไปลองขนมหวาน เตอร์กิชดีไลท์ โดยปกติแล้ว คนตุรกีมักนิยมทานกับชาหรือกาแฟ

>> 9 จุดเช็คอิน ฮอกไกโด..ฤดูร้อน ถ่ายรูปสวยไม่มีเบื่อ <<

9 จุดเช็คอิน ฮอกไกโด

 9 จุดเช็คอิน ฮอกไกโด


ญี่ปุ่นเที่ยวได้ทุกฤดูจริงๆ โดยเฉพาะที่ฮอกไกโดว่าหน้าหนาวนี่สวยบาดใจแล้ว แต่พอมาถึงฤดูร้อนฮอกไกโดก็จะเต็มไปด้วยสีสันของทุ่งดอกไม้ ทั้งดอกลาเวนเดอร์ และดอกไม้นานาพันธุ์ที่ปลูกสลับกันตามเนินเขาต่างๆ อย่างสวยงาม รวมทั้งอาหารการกินก็อร่อย กิจกรรมต่างๆ ก็น่าสนใจ ทั้งนั่งรถชมสวน ลองชิมผลไม้ฤดูร้อน ถ่ายรูปคู่กับทุ่งดอกไม้ หื้อออ เป็นอะไรที่น่าสนใจไม่แพ้ฤดูอื่นเลย

ครั้งนี้เลยนำสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในช่วงฤดูร้อน ที่ถ่ายรูปสวยแบบไม่มีเบื่อมาแนะนำ รับรองต้องถูกใจทุกคนอย่างแน่นอน สนใจเที่ยวฮอกไกโดฤดูร้อน

01. Tomita Farm

 9 จุดเช็คอิน ฮอกไกโด

 9 จุดเช็คอิน ฮอกไกโด

ที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากๆ หากใครไปฮอกไกโดฤดูร้อนก็ต้องไม่พลาด และที่นี่ยังได้ชื่อว่าเป็นตำนานลาเวนเดอร์ และ จุดชมลาเวนเดอร์ที่โด่งดังที่สุดบนเกาะฮอกไกโดอีกด้วย รวมถึง ทุ่งดอกไม้ 5 สี บนเนินเขาที่เป็นแถบสีรุ้ง ไม่ว่าจะถ่ายรูปมุมไหนๆ ก็สวยไม่แพ้กันเลย

02. Shikisai no Oka

 9 จุดเช็คอิน ฮอกไกโด

 9 จุดเช็คอิน ฮอกไกโด

สวนดอกไม้ ชิคิไซ โนะ โอกะ ที่นี่เป็นอีกหนึ่งสวนดอกไม้ที่เป็นไฮไลท์ของฮอกไกโดเลย โดยเฉพาะคนไทยนิยมไปที่นี่มากๆ ทางเข้าด้านหน้าจะเป็นร้านค้าขายของพอเดินผ่านร้านค้าเข้ามาก็จะเจอเจ้าตุ๊กตากองฟางตัวใหญ่ และทุ่งดอกไม้หลากหลายสายพันธุ์ปลูกสลับสีกันอย่างสวยงาม ซึ่งกิจกรรมสุดฮิตของที่นี่คือ การนั่งรถแทร็กเตอร์ชมสวน

03. Hill of the Buddha

 9 จุดเช็คอิน ฮอกไกโด

 9 จุดเช็คอิน ฮอกไกโด

หรือที่เรียกว่า เนินพระพุทธเจ้า เป็นผลงานชิ้นเอกของทาดาโอะ อันโดะ ซึ่งพื้นที่มีลักษณะเป็นเนินเขาล้อมรอบรูปปั้นพระพุทธรูปที่มีความสูง 13.5 เมตร และมีน้ำหนัก 1,500 ตัน พื้นที่รอบๆ จะค่อยๆ ลาดชันลง และรายล้อมด้วยธรรมชาติอันงดงาม โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนนี้เราจะเห็น ทุ่งลาเวนเดอร์จำนวนกว่า 150,000 ต้น ล้อมรอบรูปปั้นพระพุทธรูป ซึ่งเป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างสถาปัตยกรรมที่มนุษย์สร้างขึ้นกับความงดงามจากธรรมชาติ

04. Blue Pond

 9 จุดเช็คอิน ฮอกไกโด

หรือที่เราเรียกกันว่า บ่อน้ำสีฟ้า แห่งเมืองบิเอะ และเหตุผลที่ Blue Pond เป็นสีฟ้าก็เพราะว่าก้นบ่อนํ้าจะมีแร่ธาตุที่เกิดจากโคลนภูเขาไฟ จึงทำให้น้ำเป็นสีฟ้าหรือเขียวมรกตนั่นเอง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ่อน้ำแห่งนี้ สวยงาม แปลกตา และดึงดูดผู้คนมากมายให้มาชมกัน ในฤดูร้อนนี้น้ำสีฟ้าก็จะสะท้อนกับแสงแดด และดูตัดกับสีของต้นไม้อันเขียวชะอุ่ม ให้อารมณ์สวยสดใสไปอีกแบบ

05. Otaru Canal

 9 จุดเช็คอิน ฮอกไกโด

คลองโอตารุ สถานที่สุดโรแมนติกแห่งหนึ่งบนเกาะฮอกไกโด เพราะด้วยเสน่ห์ของเมืองเก่าที่ดูน่าสนใจมากๆ บวกกับบรรยากาศของตัวเมืองมีแม่น้ำไหลผ่านซึ่งดูเข้ากับอาคารเก่าสไตล์ย้อนยุคได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะฤดูไหนๆ ที่นี่ก็มีนักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปคู่กับคลองแห่งนี้อย่างไม่ขาดสายเลยทีเดียว

06. Hakodate Night View

จุดชมวิวยอดเขาฮาโกดาเตะ เป็นจุดชมวิวกลางคืนที่สวยติดอันดับ 1 ใน 3 ของญี่ปุ่น มีความสูงที่ 334 เมตร เวลามองลงมาเราจะเห็นท่าเรือและตัวเมืองที่โอบล้อมด้วยทะเลทั้งสองข้างในยามค่ำคืนอย่างสวยงามมากๆ

07. Jigokudani

 9 จุดเช็คอิน ฮอกไกโด

หรือ หุบผานรก หุบเขาแห่งนี้จะมีควันสีขาวพุ่งออกมาตามรอยแยกของหิน อันเป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติของที่นี่ รวมทั้งบริเวณนี้ยังเป็นแหล่งรวบรวมออนเซ็นไว้สำหรับพักผ่อนของนักท่องเที่ยวอีกด้วย บริเวณนี้จึงมีรีสอร์ทชื่อดังมากมายไว้สำหรับนักท่องเที่ยวไว้พักผ่อน

08. Red Brick Warehouse

 9 จุดเช็คอิน ฮอกไกโด

โกดังอิฐแดง เป็นโกดังที่มีอายุเก่าแก่กว่าร้อยปีแห่งท่าเรือริมทะเลเมืองฮาโกดาเตะ ที่นี่สร้างตามแบบตะวันตกด้วยอิฐสีแดง สมัยก่อนเป็นโกดังที่พ่อค้าสร้างขึ้นมาเพื่อไว้เก็บสินค้าโดยเฉพาะ แต่ปัจจุบันกลายเป็นสถานที่ไว้สำหรับท่องเที่ยว บรรยากาศเหมาะกับการเดินเล่น กินลม ชมวิว เก็บภาพสวยๆ

09. ทำเนียบรัฐบาลเก่า

 9 จุดเช็คอิน ฮอกไกโด

ที่นี่คือ ทำเนียบรัฐบาลเก่าของฮอกไกโด เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ไม่ควรพลาดของฤดูร้อนเลย เพราะความสวยงามของตัวอาคาร ที่ถูกออกแบบมาด้วยอิฐสีแดงทั้งหลัง ทำให้ดูเข้ากับฤดูร้อนที่เต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียวๆ

ทั้งหมดนี่คือเสน่ห์ในช่วงฤดูร้อนของฮอกไกโด สนใจเที่ยวฮอกไกโดฤดูร้อน

เที่ยว “พม่า” สุดแกรนด์ ทริปเดียว ครบ 5 มหาบูชาสถานของ “พม่า”

เที่ยวพม่าสุดแกรนด์

เที่ยวพม่าสุดแกรนด์
1. พระธาตุอินทร์แขวน เมืองไจก์โท

ก้อนหินแห่งศรัทธา บูชาสถานศักดิ์สิทธิ์สูงสุดแห่งลุ่มน้ำอิระวดี

เที่ยวพม่าสุดแกรนด์ พระธาตุอินทร์แขวน

พระธาตุศักดิ์สิทธิ์ ที่คนไทยคุ้นตา ภาพก้อนหินสีทองริมหน้าผาที่คุ้นตาเรามาหลายปี สร้างความอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็น เนื่องจากตัวหินพระธาตุ ไม่ร่วงหล่นลงไปหรือขยับจากจุดเดิม หินหนักกว่า 600 ตันก้อนนี้ ตั้งอยู่บนหน้าผาหินบนภูเขาปองลอง เขตเมืองไจ้โถ่ ในรัฐมอญของพม่า ตั้งอยู่อย่างหมิ่นเหม่ว่าจะตกมิตกแหล่ เพราะมองด้วยสายตาแล้ว กว่าครึ่งของเนื้อก้อนหินนั้นยื่นออกมานอกหน้าผา แถมหน้าผายังลาดเอียงลงต่ำ มิได้ยื่นและพุ่งขึ้นสูงเหมือนภูชี้ฟ้าที่เชียงรายบ้านเรา แล้วยังมีการสร้างองค์เจดีย์ตั้งไว้บนก้อนหิน เพิ่มน้ำหนักกดทับเข้าไปอีก ชาวพม่ามีความเชื่อว่า ก้อนหินก้อนนี้ พระอินทร์ท่านจับมาแขวนไว้ ณ ตรงนี้ จึงเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ให้ชาวเมียนมาร์สักการะบูชา คอยเป็นที่พึ่งทางจิตใจ มานานกว่า 1,000 ปี

2.พระมหาเจดีย์ ชเวดากอง เมืองย่างกุ้ง

มหาเจดีย์ใหญ่ที่สุดของพม่า กลางเมืองหลวง

เที่ยวพม่าสุดแกรนด์ มหาเจดีย์ ชเวดากอง

เป็นสถานที่ไหว้พระที่พม่า ที่ขึ้นชื่อมากที่สุดตั้งอยู่บริเวณเนินเขาเชียงกุตระ เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า โดยชื่อ “ชเว” หมายถึง ทอง “ดากอง” นั้นเป็นชื่อเดิมของเมืองย่างกุ้ง เป็นมหาเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศพม่า บรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้าจำนวน 8 เส้น บนยอดสุดของพระเจดีย์ และมีเพชรอยู่ 5,448 เม็ด เจดีย์มีความสูงถึง 326 ฟุต สร้างโดยพระเจ้าโอกะลาปะ เมื่อกว่า 2,000 ปีก่อน มหาเจดีย์ชเวดากองมีทองคำโอบหุ้มอยู่เป็นน้ำหนักถึง 1100 กิโลกรัม ชาวมอญและชาวพม่า ถือการกราบไหว้บูชาเจดีย์ชเวดากอง จะนำมาซึ่งบุญกุศลอันเป็นหนทางสู่การหลุดพ้นทุกข์โศกโรคภัยทั้งมวล บริเวณโดยรอบจะมีการนั่งทำสมาธิ เดินประทักษัณรอบองค์เจดีย์ เป็นต้น ผู้ที่เข้ามานมัสการ หรือเยี่ยมชมจะต้องถอดรองเท้าทุกครั้งเมื่อมาถึงทางเข้า ให้เดินตามเข็มนาฬิกา ขึ้นอยู่กับดวงวันเกิดของผู้เข้าที่จะดูตาม 12 นักษัตรรอบๆ

สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ของเจดีย์ชเวดากอง คือบริเวณที่เป็นลานอธิษฐาน จุดที่บุเรงนอง มาขอพรก่อนออกรบทุกครั้ง ซึ่งคือลานอธิษฐานในปัจจุบันนั่นเอง นอกจากนี้รอบองค์เจดีย์ยังมีพระประจำวันเกิดประดิษฐานทั้งแปดทิศรวม 8 องค์ หากใครเกิดวันไหนก็ให้ไปสรงน้ำพระประจำวันเกิดของตัวเอง จะเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต อีกด้วย

การสักการะมหาเจดีย์ชเวดากอง เราจะแนะนำให้ไปช่วงเช้า หรือ เย็นไปจนถึงค่ำ เพราะเราต้องถอดรองเท้าเดินรอบ องค์พระมหาเจดีย์ ถ้ามาในช่วงค่ำ เราจะพบชาวพม่า มานั่งสมาธิ สวดมนต์ จุดประทีปถวายองค์พระมหาเจดีย์ เพิ่มความสงบ และความขลังในการสักการะบูชาเข้าไปอีก ในบริเวณรอบเจดีย์ จะมีพระประจำวันเกิดตั้งอยู่ โดยแต่ละวันจะมีรูปปั้นเป็นสัญลักษณ์ แต่ไม่ต้องกลัวว่าจะอ่านไม่ออกเพราะมีเขียนชื่อวันกำกับไว้ทั้งภาษาพม่าและภาษาอังกฤษ ดังนี้

    • วันอาทิตย์(ตะนิ้นกะหนู่เอเนะ) – มีสัญลักษณ์เป็นรูปปั้นครุฑ
    • วันจันทร์ (ตะนิ้นลาเนะ) – มีสัญลักษณ์เป็นรูปปั้นเสือ
    • วันอังคาร (เอ็งก่าเนะ) – มีสัญลักษณ์เป็นรูปปั้นสิงห์
    • วันพุธกลางวัน (บูดาหู้) – มีสัญลักษณ์เป็นรูปปั้นช้างมีงา
    • วันพุธกลางคืน (ราหูเนะ) – มีสัญลักษณ์เป็นรูปปั้นช้างไม่มีงา
    • วันพฤหัสบดี (จ่าฏ่าบเดเนะ) – มีสัญลักษณ์เป็นรูปปั้นหนูใหญ่หางสั้น (คล้ายอ้น)
    • วันศุกร์ (เฏ้าจ่าเนะ) – มีสัญลักษณ์เป็นรูปปั้นหนูหางยาว
    • วันเสาร์ (เสน่ห์เนะ) – มีสัญลักษณ์เป็นรูปปั้นพญานาค

เวลารดน้ำ ให้ไหว้พระก่อน อธิษฐาน แล้วตักน้ำรดพระพุทธรูปหินอ่อน และเทพเทวดาที่ยืนอยู่หลังพระหินอ่อน เสร็จแล้วก็รดน้ำสัตว์ประจำวันเกิด โดยให้รดเป็นจำนวนเท่ากับอายุของเรา +1 เป็นการถือเคล็ดเพื่อเสริมสิริมงคล …. (รีบไปกันตอนนี้ จะได้ไม่ต้องรดเยอะมาก)

 

3.พระมหาธาตุเจดีย์ ชเวมอดอ เมืองหงสา

ชาวไทยคุ้นกับที่นี่ในชื่อ พระธาตุมุเตา

เที่ยวพม่าสุดแกรนด์ เจดีย์ชเวมอร์ดอร์

พระธาตุมุเตา แปลว่า “จมูกร้อน” ทั้งนี้เพราะกล่าวกันว่าพระมหาธาตุองค์นี้สูงมาก จนต้องแหงนหน้ามองต้องกับแสงแดด ทั้งนี้เนื่องจากพระมหาธาตุเจดีย์ชเวมอดอนั้นเป็นเจดีย์ที่มีความสูงที่สุดในพม่า (พระเจดีย์สูง 114 เมตร สูงกว่า พระเจดีย์ชเวดากอง 14 เมตร) และเป็นหนึ่งในเจดีย์โบราณที่เก่าแก่มีอายุกว่า 2,600 ปี มีจุดอธิษฐานที่ศักดิ์สิทธิ์อยู่ตรงบริเวณยอดฉัตร

เป็นพระมหาธาตุเจดีย์สำคัญที่อยู่ในเมืองพะโค (หงสาวดี) เป็นเจดีย์โบราณที่ก่อสร้างมาตั้งแต่สมัยมอญเรืองอำนาจ มีการบูรณะและต่อเติมอีกหลายครั้ง ภายในเจดีย์บรรจุพระเขี้ยวแก้วไว้ตั้งแต่สมัยพระเจ้าราชาธิราช และต่อมาในสมัยพระเจ้าธรรมเจดีย์ได้โปรดให้มีการหล่อระฆังจารึกไว้ที่ฐาน เวลาขอพรให้เอามือและหน้าผากไปแตะที่พระธาตุองค์เดิมที่หัก แล้วอธิษฐาน หลายคนมักจะประสบผลสำเร็จ หรือ นมัสการ ยอดเจดีย์หัก ซึ่งชาวมอญและชาวพม่าเชื่อกันว่าเป็นจุดที่ศักดิ์สิทธิ์มาก สามารถนำธูปไปค้ำกับยอดของเจดีย์องค์ที่หักลงมาเพื่อเป็นสิริมงคลซึ่งเปรียบเหมือนดั่งค้ำจุนชีวิตให้เจริญรุ่งเรือง

4.พระมหามัยมุณี เมืองมัฑะเลย์

ที่นี่มีพิธีล้างหน้าพระ ทุกเช้ามืด

เที่ยวพม่าสุดแกรนด์ พระมหามัยมุนี

พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของพม่า เปรียบได้กับพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ซึ่งเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของไทย และเป็นหนึ่งในห้าศาสนวัตถุที่ศักดิ์สิทธิ์ของพม่า คำว่า มหามัยมุนี แปลว่า “ผู้รู้อันประเสริฐ” (The Great Sage) ชาวพม่าจะเรียกว่า มหาเมียะมุนี เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องกษัตริย์ ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่เมืองมัณฑะเลย์ อดีตราชธานีของพม่าในยุคราชวงศ์คองบอง เดิมทีเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของยะไข่

ทำไมถึงมีพิธีล้างหน้าพระทุกเช้า?

มีความเชื่อว่าพระพุทธมหามัยมุนี เป็นพระพุทธรูปที่มีชีวิต เพราะที่ได้รับประทานลมหายใจจากพระพุทธเจ้า จึงมีประเพณีล้างพระพักตร์ถวายโดยเวลาประมาณ 04.00 น. ของทุกวัน พระมหาเถระและสาธุชนทั่วไปที่ศรัทธาจะมาทำพิธีล้างพรพักตร์ด้วยน้ำอบน้ำหอมและทานาคา รวมไปถึงการใช้ปแปรงทองแปรงพระโอษฐ์ เสมือนการแปรงพระทรต์ถวายพระพุทธเจ้า ก่อนใช้ผ้าจากศรัทธาสาธุชนถวายมาเช็ดจนแห้งสนิท พร้อมใช้พัดทองโบกถวายเป็นอันดีเสมือนหนึ่งได้อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ยังทรงพระชนมชีพอยู่จริงๆ เชื่อกันว่าใครที่ได้เข้าร่วมพิธีก็จะได้มาซึ่งบุญกุศลอย่างยิ่ง

ในประเทศไทย มีองค์พระจำลองของพระมหามัยมุนี ตั้งอยู่ที่วัดหัวเวียง อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน และวัดพระธาตุดอยแต ตำบลเหมืองจี้ อำเภอเมืองลำพูน ซึ่งมีขนาดเท่าองค์จริง

5. พระมหาธาตุเจดีย์ชเวซีกอน (Shwezigon Pagoda) เมืองพุกาม

“เจดีย์ทองแห่งชัยชนะ”

เที่ยวพม่าสุดแกรนด์ มหาเขดีย์ ชเวสิกอง

เรียกกันสั้นๆ ว่า เจดีย์ชเวซีโกน, เจดีย์ชเวสิกอง เป็นเจดีย์ใหญ่ สวยงาม ศักดิ์สิทธิ์และเก่าแก่ที่สุด เป้นต้นแบบเจดีย์ของพม่า ตั้งอยู่บนพื้นทราย สร้างโดยพระเจ้าอโนรธา มหาราชองค์แรกภายในเจดีย์เชื่อว่าบรรจุพระเขี้ยวแก้วและพระสารีริกธาตุ โดยอัญเชิญมาจากลังกา บนหลังช้างเผือก พระเจ้าอโนรธามังช่อได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้าช้างเผือกคุกเข่าลงที่ใด จะสร้างเจดีย์ไว้ที่นั่น

พระเจ้าอโนรธามังช่อ ผู้รวบรวมชนชาติพม่าเป็นปึกแผ่นได้เป็นครั้งแรกในอาณาจักรพุกามเมื่อ 900 ปีเศษมาแล้ว ทรงส่งราชสาส์นไปขอพระไตรปิฎก 30 คัมภีร์จากเมืองสะเทิมของพวกมอญ แต่พระเจ้ามอญพระนามว่ามนุหาไม่ทรงยินยอม เป็นเหตุให้พระเจ้าอโนรธายกกองทัพไปรบตีชนะเมืองมอญ ทรงอัญเชิญพระไตรปิฎกมายังเมืองพุกาม และได้กวาดต้อนชาวบ้านรวมทั้งกษัตริมอญให้มาเป็นเชลยศึกที่พุกาม เจดีย์ชเวสิกองสร้างแล้วเสร็๗ในรัชสมัยของพระเจ้าจันสิทธา เมื่อปี พ.ศ. 1656

เจดีย์ เป็นทรงระฆังคว่ำสูง 98 เมตร อยู่บนฐาน 3 ชั้น มีบันไดขึ้นทั้ง 4 ทิศ รูปทรงคล้ายพีระมิดที่มุมประดับเจดีย์รายที่วางบนหม้อน้ำมนต์ แต่ละชั้นมีใบเสมาขนาดเล็กเรียงเป็นราวระเบียง ท้องไม้่ของฐานประดับด้วยแผ่นดินเาเคลือบสลักเรื่องชาดก 550 ชาติ องค์ระฆังมีลวดลายคาดตรงกลาง ใต้สายคาดเป็นลายเฟื่องอุบะ เหนือสายคาดเป็นลายกรวยเชิงสามเหลี่ยม หัวระฆังมีลายพวงอุบะสามเหลี่ยมห้อยลงมา เหนือองค์ระฆังเป็นปล้องไฉน ปัทมบาทปลียอดและฉัตร องค์ระฆังหุ้มด้วยโลหะปิดด้วยทองคำเปลว (ทองจังโกหรือทองสำริดปิดด้วยทองคำเปลว) ให้อิทธพลมายังเจดีย์ของล้านนาไทยด้วย

ความอัศจรรย์ ๙ ประการของพระมหาธาตุชเวซีโกน

    • ยอดพระเจดีย์ไม่มีการใช้เหล็กเสริม
    • กระดาษห่อแผ่นทองคำเปลวที่นำไปปิดส่วนยอดพระเจดีย์ จะไม่ปลิวพ้นฐานสี่เหลี่ยมของพระเจดีย์
    • เงาพระเจดีย์จะไม่ล้ำออกนอกฐานสี่เหลี่ยมของพระเจดีย์ (ถ้าเงาล้ำออกไป ถือว่าเป็นลางร้าย)
    • ภายในเขตองค์พระเจดีย์ สามารถรองรับผู้แสวงบุญได้ไม่จำกัดจำนวน (ไม่เคยเต็ม)
    • มีการให้ทานด้วยข้าวสุกร้อน ๆ ทุกเช้า (ไม่ว่าเราจะตื่นเช้าสักเพียงใด จะพบข้าวสุกในบาตรอยู่ก่อนหน้าเราเสมอ)
    • เมื่อตีกลองใบใหญ่จากด้านหนึ่งของพระเจดีย์ จะไม่สามารถได้ยินเสียงกลองจากด้านตรงข้าม
    • แม้พระเจดีย์จะตั้งอยู่บนพื่นราบ แต่เมื่อมองจากภายนอก จะเกิดภาพลวงตาคล้ายพระเจดีย์ตั้งอยู่บนที่สูง
    • ไม่ว่าฝนจะตกหนักเพียงใด จะไม่มีน้ำฝนขังอยู่ในอาณาเขตขององค์พระเจดีย์
    • มีต้นพิกุล ซึ่งจะออกดอกตลอดทั้งปี (ปรกติจะออกปีละครั้ง)

 

  • เทพทันใจ(นัตโบโบยี) เจดีย์โบตาทาวน์ ย่างกุ้ง

เทพทันใจ เทพศักดิ์สิทธิ์ ที่มีชื่อเสียงอย่างมากในกลุ่มนักขอพรชาวไทย ว่ากันว่าทันใจ จริงๆ

เที่ยวพม่าสุดแกรนด์ เทพทันใจ

วิธีการสักการะ นัตโบโบยี หรือ พระเทพทันใจ เพื่อขอสิ่งใดแล้วสมตามความปราถนา ให้เอาดอกไม้ ผลไม้ โดยเฉพาะมะพร้าวอ่อน กล้วย จากนั้นก็ให้เอาเงินจะเป็นดอลล่า บาท หรือจ๊าด ก็ได้ แล้วเอาไปใส่มือของนัตโบโบจี 2 ใบ ไหว้ขอพรแล้วดึกกลับมา 1 ใบ เอามาเก็บรักษาไว้ จากนั้นก็เอาหน้าผากไปแตะกับนิ้วชี้ของนัตโบโบยี แค่นี้ท่านก็จะสมตามความปราถนาที่ตั้งใจไว้ (*โบโบยี เป็นคำกลางเรียก นัตผู้ชายที่เป็นที่เคารพนับถือ คล้ายกับคำว่า เจ้าพ่อ หรือเจ้าปู่ ที่คนไทยใช้เรียกอารักษ์แบบไทยๆ)

  • พุกาม เมืองแห่งทะเลเจดีย์ และอารยธรรมโบราณ

เที่ยวพม่าสุดแกรนด์ ชมวิวพุกาม

เมืองพุกาม เป็นเมืองเก่าแก่ตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ 16 เป็นเมืองที่ติดอันดับเมืองที่มีแหล่งท่องเที่ยวทางด้านประวัติศาสตร์ที่สวยงามมากแห่งหนึ่งของประเทศพม่า โดยเฉพาะความยิ่งใหญ่ของเจดีย์จำนวนมากกว่า 5,000 องค์ จนได้รับสมญาว่าเป็นเมืองแห่งเจดีย์สี่พันองค์ ซึ่งเป็นลักษณะที่บ่งบอกถึงความรุ่งเรืองของพุทธศาสนาในประเทศพม่าได้เป็นอย่างดีคนทั่วไปจึงขนานนามเมืองพุกามนี้ว่าเป็นอู่อารยธรรมของประเทศเมียนมาร์ ชมบรรยากาศยามพระอาทิตย์ตกดิน สุดงดงาม ท่ามกลางทะเลเจดีย์ เป็นที่สุด อีก 1 สถานที่บนโลกใบนี้

  • พระราชวังบุเรงนอง พระราชวังของผู้ชนะสิบทิศ

เที่ยวพม่าสุดแกรนด์ พระราชวังบุเรงนอง

พระเจ้าบุเรงนองได้รับสั่งให้สร้างพระราชวังบุเรงนองขึ้น เพื่อเป็นศูนย์กลางทางการปกครอง พระนเรศวรก็เคยประทับที่นี่ในระหว่างที่พระองค์ทรงเป็นองค์ประกัน พระเจ้าบุเรงนองจึงรับสั่งให้สร้างพระราชวังให้ยิ่งใหญ่ โดยกำแพงเมืองชั้นนอกมีประตูถึง 20 ประตู พื้นที่ภายในกำแพงเมืองกว้างใหญ่มาก แม้แต่ พระธาตุมุเตา ยังจัดเป็นส่วนหนึ่งในกำแพงเมืองพระราชวังบุเรงนองแห่งนี้ ภายหลังพระเจ้าบุเรงนองสิ้นพระชนม์ พระเจ้านันทบุเรงจึ่งขึ้นครองราชย์ ก็ได้ถูกศัตรูยกกองทัพมาตีหงสาวดีจนย่อยยับ เมืองถูกทำลายโดยพวกยะไข่และตองอู จนถึงเวลานี้วันเวลาผ่านไปกว่า 400 ปี สิ่งที่รัฐบาลพม่าทำได้คือ ขุดเอาซากเสาขึ้นมาเก็บ และสร้างพระราชวังเลียนแบบของเดิมทับลงไป ตัวอาคารสร้างใหม่มี 2 ส่วน ส่วนแรกเรียกว่า “กามโบสะตาหริ” หรือ “กัมโพชธานี” เป็นส่วนที่เอาไว้ว่าราชการ และส่วนที่ 2 คือ “บัลลังก์ผึ้ง” เป็นส่วนที่บรรทม แต่ด้วยความที่รัฐบาลพม่าสร้างเลียนแบบจากของจริง ทำให้พระราชวังบุเรงนอง ที่เป็นสีเหลืองทองนี่ เป็นของปลอมนั้นเอง

  • พระพุทธไสยาสน์ชเวตาเลียว หงสาวดี

เที่ยวพม่าสุดแกรนด์ พระราชวังชเวตาเลียว

พระนอนที่สวยที่สุดในประเทศพม่า แห่งเมืองหงสา จนได้รับฉายาว่า พระนอนตาหวาน

ปูชนียสถานศักดิ์สิทธิ์อันดับสองของเมืองหงสาวดี รองจากพระมหาธาตุมุเตา และเป็นพระพุทธไสยาสน์ที่มีความยาว 181 ฟุต สูง 50 ฟุต สร้างโดยพระเจ้าเมงกะติปะ พ.ศ.1537 ในสมัยมอญเรืองอำนาจ มีพุทธลักษณะงดงาม โดยจะวางพระบาทเหลื่อมพระบาท ต่างจากพระพุทธไสยาสน์ของไทยที่นิยมวางพระบาทเสมอกัน

  • พระราชวัง มัณฑะเลย์ มันฑะเลย์

เที่ยวพม่าสุดแกรนด์ พระราชวังมัณฑะเลย์

มัณฑะเลย์ เป็นราชธานีสุดท้ายของพม่า เป็นจุดจบของราชวงศ์ คอง-บอง ถือได้ว่าเป็นพระราชวัง ที่สร้างอย่างอลังการมากที่สุดของพม่า แต่กลับมีอายุเพียง 28 ปี ก็เดินทางมาถึงจุดจบ กษัตริย์องค์สุดท้ายของพม่า ได้ทำการสู้รบกับอังกฤษ ถึง 3 ครั้ง ในครั้งสุดท้ายได้รับความพ่ายแพ ทำให้พม่าเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ ส่วนกษัตริย์ ธีบอ ก็ถูกเนรเทศไปอินเดียจนกระทั่งสวรรคต พระราชวัง มัณฑะเลย์ ยังโดนถล่มอีกครั้งในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เนื่องจากญี่ปุ่นได้ใช้ที่นี่เป็นฐาน จึงโดนกระหน่ำด้วย ระเบิด เสียจนพังยับเยิน

พระราชวังแห่งนี้สวยติดอันดับต้นๆ ของภูมิภาคเอเชีย และในปัจจุบัน มีการซ่อมแซม บางส่วนถูกสร้างขึ้นมาใหม่ โดยทำให้คล้ายของเดิมมากที่สุด การซ่อมแซมอาจไม่ค่อยประณีต เท่าที่คนไทยเคยชิน

 

 

 

สนใจเดินทางในเส้นทางสุดยิ่งใหญ่ของพม่า สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่พนักงานขาย

สาขา กรุงเทพฯ โทร 05-612-8500 สาขา เชียงใหม่ โทร 053-111-889

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

9 Romantic Destination

รวบรวม 9 สถานที่สุดโรแมนติค
รวบรวม 9 สถานที่สุดโรแมนติค
9 Romantic Destination

รวบรวม 9 สถานที่สุดโรแมนติค ที่เป็นจุดหมายปลายทางสำหรับคู่รักหลายๆ คู่ ที่ตั้งใจ ใฝ่ฝัน อยากจะกุมมือคนรักไปยัง ณ จุดหมายปลายทางเหล่านั้น ลองไปดูกันเลยว่ามีที่ไหนน่าสนใจบ้าง

รวบรวม 9 สถานที่สุดโรแมนติค

” ฮัลสตัท ” ประเทศ ออสเตรีย เมืองตากอากาศชื่อดัง ที่เป็น Dream Destination ของหลายๆ คนทั่วโลก ด้วยบรรยากาศของเมืองริมทะเลสาบ ที่โอบล้อมไปด้วยภูเขาสูง ทำให้เมืองเล็กๆ แห่งนี้ เป็นเหมือนโลกส่วนตัว ของผู้มาเยือน ความ “ช้า” ของที่นี่ ทำให้เรามีเวลาคุยกันมากขึ้น นั่นจึงทำให้หลายๆคู่รัก มาใช้เวลาแบบช้าๆ ที่นี่กันตลอดทั้งปี

รวบรวม 9 สถานที่สุดโรแมนติค

” เวนิส “ หรือ เวเนเซีย เมืองโรแมนติค บนสายน้ำ ประเทศ อิตาลี การได้ล่องเรือ กอนโดล่า กับคนที่เรารัก ชมเมืองสุดโรแมนติค งดงามไปด้วยสถาปัตยกรรม

รวบรวม 9 สถานที่สุดโรแมนติค

” ปารีส “ ฝรั่งเศส เป็นอีก 1 Landmark ของความโรแมนติค เราจะพบเจอรูปคู่สวยๆ หวานๆ ที่มี Background เป็น หอไอเฟล อยู่บ่อยๆ (แอบส่องตาม IG ดาราก็เยอะเลย ) “ลา ตูค์ อิฟเฟล” (La Tour Eiffel) เป็นหอคอยเหล็กที่ตั้งตระหง่านขึ้นมากลางเมืองนี้ ในช่วงแรก ถูกชาวฝรั่งเศสต่อต้านมากๆ ถึงขนาดให้คำจำกัดความว่า “หอไอเฟลคือความอัปลักษณ์บนใบหน้าของปารีส” เนื่องจากเป็นแท่งเหล็ก โผล่ขึ้นมากลางกรุงปารีส ซึ่งไม่เข้ากับอะไรเลยสักอย่าง แต่ก็ยืนหยัด ตั้งตระหง่านมาจนเป็นที่ยอมรับของชาวเมือง และ นักท่องเที่ยวต่างๆ ทั่วโลก ลองหาโอกาสไปให้ได้สักครั้งนะคะ

รวบรวม 9 สถานที่สุดโรแมนติค

” กรุง ปราก “ เมืองโรแมนติค ที่โรแมนติคทุกซอก ทุกมุมของเมือง เอาง่ายๆ แค่เดินมากลางสะพาน “ชาร์ล” แล้วยืนมองสายน้ำใหลไป เคล้ากับ บรรยากาศของเหล่าศิลปิน ที่เปิดการแสดงบนสะพาน เช่น การเล่นดนตรีเปิดหมวก วาดภาพเหมือน แค่นี้หัวใจเราก็พองโตขึ้นมาแล้วค่ะ อย่าลืมขอพรกับรูปปั้นนักบุญนะคะ เราจะได้อยู่กับความรักของเราตลอดไป

รวบรวม 9 สถานที่สุดโรแมนติค

” เกียวโต “ ญี่ปุ่น เมืองหลวงเก่าสุดตลาสสิคแห่งนี้ ขอชื่นชมในการอนุรักษ์ สถาปัตยกรรม และวัฒนธรรม เอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น จนทำให้เมืองนี้เกิดเป็นความ “ร่วมสมัย” เอาไว้อย่างลงตัว ลองใส่กิโมโนเดินเล่นในเกียวโตดูค่ะ เดินไป ทานขนมหวานๆ ไป แอดมินรับรอง จะเพิ่มความโรแมนติคอีก 3 เท่าตัวเลยค่ะ

รวบรวม 9 สถานที่สุดโรแมนติค

” บูดาเปส “ ประเทศ ฮังการี เมืองที่มีวิวของแม่น้ำดานูป ที่สวยที่สุด วิวโค้งน้ำที่ตัดกับ อาคารรัฐสภาเก่า หรือจะเป็น สะพานโซ่ ที่พอใกล้ค่ำ จะเปิดไฟประดับอย่างสวยงาม แอดมินแนะนำให้ล่องเรือแม่น้ำดานูปนะคะ ยิ่งถ้าได้จิบไวน์บนเรือด้วย ก็ยิ่งโรแมนติคเพิ่มขึ้นเลยค่ะ

รวบรวม 9 สถานที่สุดโรแมนติค

” กรุงโรม “ อิตาลี ประเทศที่สถาปัตยกรรมงดงามอย่างอิตาลี ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็สวยงาม จริงไหมคะ กรุงโรมมีหลากหลายถนนให้เราไปเดินหวานๆ กันได้ ( แต่ต้องระวังของนิดนึงค่ะ พวกจ้องจะขโมยของจะเยอะหน่อย ) พอหลายๆ สถานที่เริ่มเปิดไฟ ก็ยิ่งโรแมนติคค่ะ

รวบรวม 9 สถานที่สุดโรแมนติค

” ซานโตรินี่ “ กรีซ เมืองตากอากาศ ริมทะเล ที่สุดโรแมนติค เรียกได้ว่า หลายๆคู่ ใฝ่ฝันที่จะจัดงานแต่งงานกันที่เกาะนี้เลยแหละค่ะ ภาพที่พักสีขาวๆ สไตล์เฉพาะตัวแบบนี้ ให้อยู่ซัก 1 อาทิตย์ก็ไม่เบื่อแน่นอนค่ะ

รวบรวม 9 สถานที่สุดโรแมนติค

” นอยชวานสไตน์ “ แคว้นบาวาเรีย เยอรมนี ปราสาทที่สวยงามราวกับเทพนิยาย ( เทพนิยาย เขียนขึ้นตามรูปร่างของปราสาทแห่งนี้ ) ของพระเจ้า ลุดวิก ที่พระองค์ ทรงใช้จินตนาการ และใช้คำบอกเล่า แก่นักออกแบบในสมัยนั้น ก็สร้างปราสาทแห่งนี้ขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์

ชมโปรแกรมเที่ยวยุโรป คลิก >> Europe Program

Kusatsu Onsen เที่ยวออนเซ็นเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในญี่ปุ่น

Kusatsu Onsen เที่ยวออนเซ็นเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในญี่ปุ่น
Kusatsu Onsen เที่ยวออนเซ็นเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในญี่ปุ่น
Kusatsu Onsen เที่ยวออนเซ็นเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในญี่ปุ่น

เที่ยวญี่ปุ่น – คุซัทสึ ออนเซ็น เป็นเมืองท่องเที่ยวเล็กๆ กลางหุบเขา ตั้งอยู่ระหว่างภูเขาชิราเนะและภูเขาโมโตชิราเนะในจังหวัด Gunma ที่นี่ได้รับการยกย่องให้เป็นแหล่งออนเซ็นเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดอีกแห่งหนึ่ง และยังเป็น 1 ใน 3 แหล่งออนเซ็นที่ดีที่สุดในญี่ปุ่นอีกด้วย

Kusatsu Onsen เที่ยวออนเซ็นเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในญี่ปุ่น

จากข้อมูลได้ระบุว่าที่นี่เป็นน้ำแร่ธรรมชาติ 100% ที่ไหลออกมาจากตาน้ำ ในปริมาณมากถึง 32,000 ลิตร/นาที ซึ่งต้นกำเนิดแหล่งน้ำพุร้อนนี้อยู่ที่ภูเขาไฟชิราเนะ ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่ยังไม่ดับ

Kusatsu Onsen เที่ยวออนเซ็นเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในญี่ปุ่น

ว่ากันว่าน้ำแร่ที่นี่มีส่วนประกอบของธาตุซัลเฟอร์ (กำมะถัน) อะลูมิเนียมซัลเฟต และคลอไรด์ ซึ่งเป็นแหล่งน้ำแร่ที่มีสรรพคุณในการรักษาโรค เนื่องจากมีฤทธิ์ในการต้านเชื้อแบคทีเรียและค่าความเป็นกรดสูง (pH 2.1) ซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อย ฟกช้ำ เคล็ดขัดยอก, รักษาโรคผิวหนัง, ปวดข้อ, ความดันสูง เป็นต้น

Kusatsu Onsen เที่ยวออนเซ็นเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในญี่ปุ่น

จุดเด่นของที่นี่อีกอย่างหนึ่งคือ อ่างแช่ที่ทำมาจากวัสดุอย่างดีจากทางรีสอร์ท ส่วนออนเซ็นหรือโรงอาบน้ำแร่หลายแห่งยังคงใช้วิธีปล่อยให้น้ำแร่จากต้นน้ำไหลออกมาตามท่อไม้ที่ทำจากไม้สนหรือไม้ไซปรัสที่ยังมียางไม้อยู่มาก ซึ่งยางไม้เหล่านั้นถือว่าเป็นวัสดุอย่างดีในการลำเลียงน้ำแร่ที่มีความเป็นกรดสูงของที่นี่

Kusatsu Onsen เที่ยวออนเซ็นเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในญี่ปุ่น

และนอกจากจะได้แช่ออนเซ็นจากแหล่งน้ำพุร้อนคุณภาพสูงแล้ว วิวของเมืองนี้ก็สวยงามเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับการมาพักผ่อน และเป็นการพักฟื้นร่างกายที่ดีตามความเชื่อของคนญี่ปุ่นอีกด้วยค่ะ

สนใจท่องเที่ยวญี่ปุ่น เลือกดูโปรแกรม > ทัวร์ญี่ปุ่น กับเรา

☘ แนะนำ 5 จุดชมดอกไม้ฤดูใบไม้ผลิที่สวยที่สุดใน..ญี่ปุ่น ☘

แนะนำ 5 จุดชมดอกไม้ฤดูใบไม้ผลิที่สวยที่สุดใน..ญี่ปุ่น
#ทัวร์ญี่ปุ่น #ทัวร์ชมดอกไม้ #BabyBlueEyes #Pinkmoss #Wisteria #Tulip #ทัวร์ญี่ปุ่นเดือนพฤษภาคม
☘ แนะนำ 5 จุดชมดอกไม้ฤดูใบไม้ผลิที่สวยที่สุดใน..ญี่ปุ่น ☘

เที่ยวญี่ปุ่น เมื่อช่วงฤดูใบไม้ผลิมาถึง..เป็นช่วงเวลาที่อากาศเย็นสบายมากๆ เหมาะกับการออกไปท่องเที่ยวมากที่สุด ใบไม้ ดอกไม้ ก็เริ่มออกดอกให้เราได้ชมความงดงามกัน โดยเฉพาะที่ญี่ปุ่น เค้าปลูกดอกไม้กันอย่างจริงจังเป็นที่สุด จึงทำให้แต่ละพื้นที่มีการจัดเทศกาลชมดอกไม้นาๆ ชนิด ให้เราได้ชมกันอย่างหลากหลายเลยทีเดียว

ครั้งนี้ก็เลยลองคัด 5 สถานที่ๆเป็นไฮไลท์ที่สวยงามที่สุด เหมาะกับการไปเที่ยวชมในฤดูใบไม้ผลิมาให้ดูกันค่ะ ว่ามีที่ไหนน่าไปบ้าง ลองไปดูกันเลย >>

1. Baby Blue Eyes, สวน Hitachi Seaside Park

#ทัวร์ญี่ปุ่น #ทัวร์ชมดอกไม้ #BabyBlueEyes #Pinkmoss #Wisteria #Tulip #ทัวร์ญี่ปุ่นเดือนพฤษภาคม

#ทัวร์ญี่ปุ่น #ทัวร์ชมดอกไม้ #BabyBlueEyes #Pinkmoss #Wisteria #Tulip #ทัวร์ญี่ปุ่นเดือนพฤษภาคม

สวน Hitachi Seaside Park เป็นสวนดอกไม้ริมทะเลขนาดใหญ่มีพื้นที่ติดกับมหาสมุทแปซิฟิค เนื่องจากมีพื้นที่กว้างมาก ภายในสวนจึงถูกแบ่งออกเป็นหลายโซน แต่โซนที่จะมาแนะนำในครั้งนี้คือ “มิฮาราชิ” ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ปลายเดือนเมษายน – กลางเดือนพฤษภาคม ของทุกปี บริเวณนี้จะกลายเป็นทุ่งสีฟ้าอ่อนที่เต็มไปด้วยดอกนีโมฟีลาหรือที่เรารู้จักกันในชื่อ Baby Blue Eyes กว่า 4 ล้านต้น และยังเป็นช่วงเวลาที่สวยงามมากๆ เปรียบเป็นโลกแห่งสีฟ้าที่รวมดอกนีโมฟีลา ท้องฟ้าและท้องทะเลเอาไว้ด้วยกันเลย

2. Pink Moss, Fuji Shibazakura

#ทัวร์ญี่ปุ่น #ทัวร์ชมดอกไม้ #BabyBlueEyes #Pinkmoss #Wisteria #Tulip #ทัวร์ญี่ปุ่นเดือนพฤษภาคม

#ทัวร์ญี่ปุ่น #ทัวร์ชมดอกไม้ #BabyBlueEyes #Pinkmoss #Wisteria #Tulip #ทัวร์ญี่ปุ่นเดือนพฤษภาคม
เทศกาลชมดอก Fuji Shibazakura Matsuri หรือที่เรียกว่าเทศกาลชม ดอกพิงค์มอส ที่หลายๆ คนรู้จัก เป็นเทศกาลที่สวยและมีชื่อเสียงมากๆ อีกเทศกาลซึ่งจัดที่บริเวณเชิงเขาฟูจิ ในพื้นที่ของ Fuji Five Lakes ในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส เราจะได้ชมวิวฟูจิผ่านทุ่งกว้างที่แต่งแต้มไปด้วยดอกพิงค์มอสสีชมพูสดในกว่า 800,000 ดอก เลยทีเดียว ซึ่งปีนี้เทศกาลนี้จะจัดวันที่ 13 เมษายน – 26 พฤษภาคม นี้

3. Wisteria, Kawachi Fuji Garden

#ทัวร์ญี่ปุ่น #ทัวร์ชมดอกไม้ #BabyBlueEyes #Pinkmoss #Wisteria #Tulip #ทัวร์ญี่ปุ่นเดือนพฤษภาคม
สวนนี้ถูกยกให้เป็นจุดชมดอกวิสทีเรียที่มีมากถึง 22 สายพันธุ์เลยค่ะ ช่วงพีคของที่นี่คือช่วง ปลายเดือนเมษายน – กลางเดือนพฤษภาคม แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศในแต่ละปีด้วย และจุดเด่นที่น่าสนใจที่สุดของสวนนี้คือ อุโมงค์วิสทีเรีย สีม่วง สีชมพู สีขาว ที่ไล่เฉดสี ผลิบานกันอย่างสวยงามบริเวณทางเดินเป็นระยะทางกว่า 100 เมตร เป็นอีกหนึ่งสถานที่ๆน่าสนใจมากๆเลย

4. Wisteria, Ashikaga Flower Park

ที่นี่เป็นสวนดอกไม้ที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมือง Ashigawa เลย ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 90,000 ตารางเมตร สามารถเที่ยวชมได้ทุกฤดู (ยกเว้นฤดูหนาว) แต่ช่วงที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่จะอยู่กลางเดือนเมษายน – กลางเดือนพฤษภาคม เพราะเป็นช่วงที่จัดเทศกาลชมดอกวิสทีเรีย (The Tale of Fuji no hana) ทั่วทั้งสวนจะเต็มไปด้วยดอกวิสทีเรียหลากหลายสายพันธุ์ หลากสีสัน แข่งกันบานสพรั่งอย่างสวยงามมากๆ

5. Tulip, Kamiyubetsu Park


ภายในสวนทิวลิปแห่งนี้มีจุดเด่นที่น่าสนใจหลายแห่งเลย ไม่ว่าจะเป็น กังหันลมสไตล์ฮอลแลนด์ที่เราสามารถขึ้นไปด้านบนได้, สตรีทออร์แกนที่บรรเลงเพลงสดๆ พร้อมทั้งมีบริการรถบัสวิ่งรอบสวน และโซนขายดอกไม้ที่มีให้เราสามารถเลือกซื้อกลับบ้านได้ นอกจากนี้ยังมีร้านขายของที่ระลึกเกี่ยวกับดอกทิวลิป รวมทั้งสินค้าพื้นเมืองของเมืองยูเบ็ทสึอีกด้วย

เช็ควันเดินทาง คลิก >>

10 เมืองสุดโรแมนติกแดนยุโรป

10 เมืองสุดโรแมนติกแดนยุโรป

10 เมืองสุดโรแมนติกแดนยุโรป


แนะนำ 10 เมืองสุดโรแมนติกในยุโรปว่ามีเมืองไหนน่าเที่ยวบ้าง ??

10 เมืองสุดโรแมนติกแดนยุโรป

1. เซอร์แมท ทวีปยุโรป

เมืองชนบทเล็กๆ ในหุบเขาแอลป์ ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นเมืองปลอดมลพิษโลก ตั้งอยู่บนความสูง 1,620 เมตร และยังเป็นเมืองที่ไม่ได้รับอนุญาตให้รถยนต์วิ่ง ซึ่งนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาที่นี่ต้องโดยสารโดยรถไฟเท่านั้น ส่วนรถที่สามารถวิ่งได้ในเมืองนี้จึงเป็นรถประเภทรักษาสิ่งแวดล้อมไม่ก่อให้เกิดมลพิษ (คือใช้แบตเตอรี่หรือไฟฟ้าแทนน้ำมัน) ที่สำคัญเป็นที่ตั้งของภูเขาที่สวยที่สุด อย่างมัทเทอร์ฮอร์น รายละเอียดเพิ่มเติม

10 เมืองสุดโรแมนติกแดนยุโรป

2. มิวนิค ทวีปยุโรป

เมืองที่ได้ชื่อว่ามีเสน่ห์มากๆ มีสถาปัตยกรรมที่เก่าแก่สุดคลาสสิคตั้งอยู่มากมาย และยังเป็นเมืองที่มีอากาศดี สวยงาม จนกลายเป็นที่หมายปองของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก รายละเอียดเพิ่มเติม

10 เมืองสุดโรแมนติกแดนยุโรป

3. เมืองโคโลญจน์ ทวีปยุโรป

เมืองที่ได้ฉายาว่า “เมืองแห่งน้ำหอม” ซึ่งตั้งอยู่ 2 ริมฝั่งแม่น้ำไรน์ มีบรรยากาศสุดโรแมนติก โดยเฉพาะย่านสะพาน Hohenzollern ระหว่างทางเดินข้ามสะพาน จะเห็นคู่รักต่างๆ นำกุญแจมาแขวนอย่างมากมาย แล้วโยนลูกกุญแจทิ้งลงไปใต้แม่น้ำ ด้วยความเชื่อว่าจะทำให้เกิดรักที่ยืนยาว รายละเอียดเพิ่มเติม

10 เมืองสุดโรแมนติกแดนยุโรป

4. อัมสเตอร์ดัม ทวีปยุโรป

เมืองแห่งสายน้ำที่ทุกคนต้องรู้จักกันดีแห่งหนึ่งของโลก และเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยลำคลองนับร้อยสาย และยังได้ฉายาว่าเป็นเมืองแห่งจักรยานอีกด้วย ผู้คนส่วนใหญ่ก็จะใช้จักรยานในการเดินทางเป็นหลัก ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเมืองที่ให้บรรยากาศที่โรแมนติกมากๆ อีกหนึ่งแห่งของโลก รายละเอียดเพิ่มเติม

10 เมืองสุดโรแมนติกแดนยุโรป

5. ฮัลชตัท ทวีปยุโรป

เป็นหมู่บ้านในแหล่งมรดกโลกซัลซ์คัมแมร์กุท ตั้งอยู่ในรัฐอัปเปอร์ออสเตรีย ซึ่งอยู่ใกล้กับทะเลสาบฮัลชตัททางตะวันตกเฉียงใต้ และยังเมืองริมทะเลสาบที่สวยที่สุดในโลก หนึ่งในเมืองท่องเที่ยวที่ได้รับความยมมากเป็นอันดับต้นๆ ของออสเตรีย รายละเอียดเพิ่มเติม

10 เมืองสุดโรแมนติกแดนยุโรป

6. ปารีส ทวีปยุโรป

เมืองที่นักท่องเที่ยวหลายคนฝันไว้ว่าต้องไปสักครั้ง เพราะที่เที่ยวแต่ละที่มักมีเสน่ห์ และแฝงไปด้วยความโรแมนติก อย่างไอเฟล ที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ที่โดดเด่นของกรุงปารีส ทวีปยุโรป รายละเอียดเพิ่มเติม

10 เมืองสุดโรแมนติกแดนยุโรป

7. โรม ทวีปยุโรป

เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของแคว้นลาซีโอและประเทศอิตาลี เป้นเมืองที่แฝงไปด้วยเสน่ห์ทางสถาปัตยกรรมและเรื่องเล่าที่ดูน่าสนใจมากมาย รับรองไปแล้วทุกคนจะรักเมืองนี้อย่างแน่นอน รายละเอียดเพิ่มเติม

10 เมืองสุดโรแมนติกแดนยุโรป

8. บาร์เซโลน่า ทวีปยุโรป

เมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องสถาปัตยกรรมที่แปลกตา และสวยงามดูแตกต่างจากประเทศอื่นๆ ที่ผสมผสานความเป็นยุโรปได้อย่างลงตัวมากๆ รวมทั้งยังเป็นบ้านของสโมสรฟุตบอลทีมดังอย่าง บาร์เซโลนาอีกด้วย

10 เมืองสุดโรแมนติกแดนยุโรป

9. เวนิส ทวีปยุโรป

เมืองที่เป็นหนึ่งในฝันของนักท่องเที่ยวหลายๆ คน หรือเรียกได้ว่าเป็นเมืองแห่งสายน้ำ ที่เป็นมนต์เสน่ห์ของอิตาลี เพราะด้วยลักษณะคลองเล็กๆ ที่ไหลผ่านส่วนต่างๆ ของเมืองและการใช้เรือกอนโดลาสุดน่ารักในการเดินทาง มีสถาปัตยกรรมที่ดูคลาสสิก จึงทำให้เวนิสเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่โรแมนติกที่สุดในโลก และยังสามารถเที่ยวได้ทั้งปีอีกด้วย รายละเอียดเพิ่มเติม

10 เมืองสุดโรแมนติกแดนยุโรป

10.เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ทวีปยุโรป

เป็นเมืองที่มีศิลปะที่สวยงาม ดูล้ำค่า และเต็มไปด้วยเรื่องราวประวัติศาสตร์ต่างๆ อันน่าจดจำ รวมกับบรรยากาศที่โรแมนติกผสมความเก่าแก่แบบล้ำๆ ทำให้เป็นเมืองที่น่าไปเยือดสุดๆ เลย