ทัวร์ญี่ปุ่น เที่ยว Jigokudani Park ดูลิงหิมะ

ใครที่ชอบท่องเที่ยว ทัวร์ญี่ปุ่น ในช่วงฤดูที่มีอากาศหนาวๆโปรยปรายเต็มไปด้วยหิมะขาวโพลนมีลิงหน้าแดงๆ ออกมาแหวกว่ายอยู่ในบ่อน้ำพุร้อน เราขอแนะนำต้องมาที่นี่เลย Jigokudani Park หรือ หุบเขานรก ที่นี่มีสวนลิงโกคุดานิ (Jigokudani Monkey Park) อยู่ในจังหวัดยามาโนอูจิ(Yamanouchi) ของประเทศญี่ปุ่น มีการสร้างสระว่ายน้ำที่สร้างขึ้นมา ไว้ให้สำหรับเจ้าลิงทั้งหลายโดยเฉพาะ มีเจ้าลิงนับร้อยนับพันที่กำลังแช่บ่อน้ำพุร้อนกับอากาศที่หนาวมาก -3 องศา อยู่ท่ามกลางหุบเขายาวตลอดเส้นทาง ซึ่งคุณไม่ต้องตกใจมันไม่น่ากลัวอย่างที่คิดแถมดูๆไปก็ช่างน่ารักเหลือเกิน นักท่องเที่ยว ทัวร์ญี่ปุ่น ที่รักและชอบเดินทางผจญภัยแบบลุยๆ นั้น ไม่ควรพลาดมาสถานที่นี้คุณจะได้สัมผัสกับบรรยากาศอย่างใกล้ชิด ที่อบอวลเต็มไปด้วยฝูงลิงที่ต่างก็มีความสุข ต่างเพลิดเพลิน สนุกสนานกับการเล่นน้ำ ที่อยู่กันเป็นกลุ่มๆบ้างหรืออยู่เป็นคู่บ้าง บางตัวนอนอาบแดดอย่างสบายใจ ใครๆที่เห็นนั่งดูไปดูมาต่างก็คงคิดเหมือนกันว่าเจ้าลิงน้อยทำอะไรทำไมเหมือนกับคนซะจริงๆตลกเหมือนกันนะเนี่ย สำหรับใครที่อยากเห็นลิงออนเซ็นตัวเป็นๆของจริงนั้นสามารถเดินทางมาดูกันได้ที่นี่ เราเลยรับรองคุณคุณจะไม่ผิดหวังที่ได้เดินทางมาเที่ยวแน่นอน

[สนใจจองโปรแกรม ทัวร์ญี่ปุ่น 2566  ]

ขากลับ อย่าลืมแวะดูของที่ระลึกกันหน่อย มี Magnet น่ารักมากมาย สำหรับหาซื้อของฝากเล็กๆน้อยๆ ก็แวะกันได้เลย และเราได้เก็บภาพบรรดาเหล่าเจ้าลิงน้อยมาฝากให้ชมกันด้วย อาจทำใครหลายคนอยากเดินทางมาเที่ยวกันมากขึ้น

( ดูภาพตัวอย่าง : ลิงโกคุดานิ Jigokudani Monkey Park )

( ภาพตัวอย่าง : ลิงโกคุดานิ Jigokudani Monkey Park )

 

การให้บริการ

( ช่วงเดือนที่นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปชม ลิงโกคุดานิ Jigokudani Monkey Park )

  • เดือนเมษายน – เดือนตุลาคม จะเปิดตั้งแต่ 08.30 – 17.00 น.
  • เดือนพฤศจิกายน – เดือนมีนาคม เปิด 09.00 – 16.00 น.

 

( ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ / อายุ 18 ปีขึ้นไป ค่าเข้าชม = 800 เยน/คน

: เด็ก / อายุ 6-17 ปี ค่าเข้าชม = 500 เยน/คน

: เด็กเล็ก อายุต่ำกว่า 6 ปี = (เข้าชมฟรี)

 

( วิธีการเดินทาง ไปสวนลิงโกคุดานิ (Jigokudani Monkey Park)

  • จากสถานี Yudanaka Station โดยสารรถบัสไปยัง Kanbayashi Onsen(10-15 นาที 310 เยน บัสออกชั่วโมงละ 1 รอบ), Shibu Onsen(5-10 นาที 190 เยน บัสออกชั่วโมงละ 1-2 รอบ) หรือ Nagano Station(40 นาที 1,400 เยน บัสออกวันละ 4-10 รอบ)
  • โดยรถบัส Yudanaka-Kanbayashi จะจอดที่ Kanbayashi Onsen bus stop แต่บัสสายอื่นๆจะจอดที่ Kanbayashi Onsen-guchi bus stopแล้วเดินต่ออีกเล็กน้อย
  • จากลานจอดรถที่คิดค่าบริการ (ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของสวนลิง) เดินไปประมาณ 10-15 นาที แต่อย่างไรก็ตามถนนเส้นแคบๆจาก Shibu Onsen ไม่มีระบบขนส่งสาธารณะให้บริการ จะต้องขับรถยนต์ส่วนตัวไปเองและจะปิดทางในช่วงฤดูหนาว แต่ท่านสามารถเดินเท้าได้ หากไม่มีหิมะปกคลุม ใช้เวลาประมาณ 45-60 นาที

四姑娘山 l Siguniangshan l ซื่อกู่เหนียง

Siguniangshan l ซื่อกู่เหนียงซาน ในชื่อไทยว่า “สี่ดรุณี” ดูกี่ทีๆก็สวิสชัดๆ ตั้งอยู่ในมณฑลเสฉวน เอาแบบเข้าใจง่ายๆคือห่างจากเมืองเฉิงตูประมาณ 200 Km. การจะมาเยี่ยมเยือนที่นี่สามารถมาได้โดยรถประจำทาง และสามารถพักได้ที่เมือง Siguniangshan Town แต่เส้นทางที่วางไว้คือเราเดินทางมาจากเมืองกาจือ อยู่ที่ซื่อกู่เหนียงนี้ 2 คืน ค่อยเข้าเมืองเฉิงตูค่ะ

ส่วนใหญ่ที่พักบริเวณนี้จะมีทั้งแบบโรงแรม และเกสเฮาส์ อาจจะไม่ได้สะดวกสบายนัก แต่บอกได้เลยว่าเงียบ สงบ อากาศดีสุดไปเลยค่ะ หากมาถึงนี่แนะนำให้พักสัก 2 คืนนะคะ กำลังดีได้สัมผัสอย่างเต็มที่ค่ะ

ช่วงเวลาที่เดินทางตามรีวิวจะเป็นช่วงเดือน พ.ค. ค่ะ อากาศกลางวันกำลังดี(ประมาณสิบกว่า) เย็นสบายกลางคืนหนาว(เลขตัวเดียว) สังเกตุได้ว่ายอดภูเขายังมีหิมะอยู่ค่ะ ช่วงเดือนนี้ส่วนตัวว่าน่าเที่ยวเพราะบรรยากาศจะออกเขียวๆขาวๆ

ถึงข้างหน้าแล้วเริ่มค่ะ…ขอบอกก่อนว่าการจะเที่ยวชมซื่อกู่เหนียงสามารถเลือกเส้นทางการเดินทางได้หลายรูปแบบ วันนี้ยกตัวอย่างมา 3 รูปแบบ
1. ขี่ม้า-แคมปิ้ง-เทรกกิ้ง
2. เทรกกิ้ง-แคมปิ้ง-เทรกกิ้ง
3. นั่งรถบัส-เดินนิดๆชม-ชิว

ให้ทายว่าเลือกการเดินทางแบบไหน แน่นอน…วัยแข็งแรงฟิตๆ ใจๆแบบเราเลือกอันสุดท้ายสิคะ555

รถบัสจะวิ่งวนภายในอุทยานค่ะ จะวนมาจอดเป็นจุดๆเป็นเวลา นั่งไปเพลินๆยิ่งเข้าไปลึกๆยิ่งเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของภูเขาหิมะใกล้เข้ามาทุกที

แค่นั่งมองอยู่เฉยๆก็สบายใจแล้ว

วิวนี้จะเป็นจุดจอดสุดท้ายของรถบัสค่ะ เห็นยอดเขาสุดอลังการ

บริเวณนี้จะเป็นทางเดินทางอย่างดีให้เดินถ่ายรูปอย่างชิว

ตอนแรกจะเดินเป็นหนาวๆ แต่ด้วยแดดที่แรงมาก ทำให้เสื้อกันหนาวที่ใส่มานั้นค่อยๆถอดทีละชิ้น

นี่แค่บรรยากาศที่จอดรถจุดสุดท้ายนะ เห็นร่มที่เรียงกันนั่นไหมคะ เป็นร้านขายพวกผลไม้แห้ง กีวีแห้ง สตรอเบอรี่แห้ง และน้ำดื่ม มาม่าต่างๆค่ะ^^ ขายเหมือนกันหมดทุกร้านเลย

บริเวณจุดพักรถก็จะมีของอร่อยๆให้ลอง(คิดเองว่าอร่อย) อันนี้เป็นเนื้อย่าง และโรยด้วยผงพริกอย่างหนักหน่วง อย่าถามว่าเป็นเนื้อหมู วัว หรือจามรี เพราะไม่รู้เหมือนกัน แต่ที่แน่ๆมีเห็ดชัวร์…

และแล้วก็ได้เวลากลับ เพลินๆดูนาฬิกาอีกทีจะบ่ายสามแล้ว โห๊ะนี่ขนาดมาแต่เช้านะเนี้ยเวลาผ่านไปเร็วมากกกก…

ดูไปก็คล้ายๆกับยอดเขามัทเทอร์ฮอร์นของสวิสนะคะเนี้ย^^

แนะนำว่าทุกจุดที่บัสจอด ต้องลงค่ะ ต่อให้มองจากบนบัสที่ว่าสวยแล้ว ถ้าได้ลงมาเดินมันจะยิ่งสวยมากกกก….

ทิ้งท้ายไปกับรูปนี้ค่ะ….

ติดตามการเดินทางก่อนหน้า > หย่าเฉิน การ์ l ཡ་ཆེན་སྒར་ l Yarchen Gar Monastery สถาบันพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของโลก

และตอนต่อไป(ตอนสุดท้าย) เราจะเข้าเมืองเฉิงตูกันกันค่ะ รอติดตามนะคะ…..

ทัวร์ญี่ปุ่น เที่ยวพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก

พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำชุราอูมิ (Churaumi Aquarium) เป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่ดีที่สุดในประเทศญี่ปุ่น เปิดให้เข้าชมตั้งแต่ปี 2002 ตั้งอยู่ใน ที่เคยจัดแสดงงานนานาชาติเอ็กซ์โปในปี 1975 ไฮไลท์ของการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแห่งนี้คือแท็งก์น้ำคุโรชิโอะ (Kuroshio Tank) ซึ่งเป็น 1 ในแท็งก์น้ำที่ใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งภายในนั้นเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตในทะเลแถบโอกินาว่าที่หลากหลาย สัตว์น้ำที่โดดเด่นที่สุด คือ ฉลามวาฬยักษ์ และกระเบนราหู รวมถึงยังมีสื่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในน้ำลึก รวมถึงปลาเรืองแสง และยังมีการแสดงของ โลมาแสนรู้, เต่าทะเล , พะยูน อีกด้วย นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปกับทัวร์ญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะใช้เวลาชม ณ จุดนี้นานที่สุด เพราะที่นี่มีโรงภาพยนตร์ที่ฉายวีดีโอเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตทางทะเลของโอกินาว่าให้ได้ชมกันด้วยดูกันให้เพลินไปเลย

แท็งก์น้ำคุโรชิโอะ (Kuroshio Tank) ซึ่งเป็น 1 ในแท็งก์น้ำที่ใหญ่ที่สุดของโลก ชมการแสดงของ โลมาแสนรู้, เต่าทะเล , พะยูน

พิพิธภัณท์สัตว์น้ำ โอซาก้า (Kaiyukan Osaka Aquarium) Osaka Aquarium หรือที่หลายคนเรียกสั้นๆว่า Kaiyukan อควาเรียมแห่งหนึ่งที่มีความยิ่งใหญ่ระดับโลก และถูกจัดเป็นอควาเรียมที่ดีที่สุดในญี่ปุ่น และในเอเชีย

ภายในพิพิธภัณฑ์จัดแสดงเหล่าสิ่งมีชีวิตไว้ตามถิ่นที่อยู่ มีให้ชมถึง 15 ตู้ จัดแสดงให้ชมทั้งสัตว์น้ำ สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สัตว์เลื้อยคลาน นก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สัตว์ไม่มีกระดูก รวมไปถึงพืชพันธุ์ต่างๆ มากถึง 30,000 ชีวิต ราว 620 สายพันธุ์ ดังนั้น อย่ารอช้า เราไปดูกันดีกว่าว่าในพิพิธภัณฑ์นี้ มีอะไรให้ชมกันบ้าง

มาเริ่มจาก Aqua Gate (ทางผ่านของปลา) อุโมงค์ใต้น้ำ มีปลามากมายหลากหลายชนิด รวมถึงปลากระเบนตัวใหญ่ ที่ชวนเห็นแล้วต้องมองกันตาค้างแน่นอน

  • Japan Forest (ป่าญี่ปุ่น)
  • Aleutian Island (หมู่เกาะอะลูเซียน) มีการจำลองหมู่เกาะจำลองในสหรัฐอเมริกา ที่มีอากาศหนาวเย็น มีทั้งสัตว์ปีกและสัตว์น้ำ เช่น นกพัฟฟิน ที่ปกติจะอาศัยอยู่ในท้องทะเลที่ต้องมีความอุดมสมบูรณ์มากๆ
  • Monterey Bay (อ่าวมอนเทอเรย์) จำลองชายฝั่งแคลิฟอร์เนีย ซึ่งจะมีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอาศัยอยู่ เช่น แมวน้ำ
  • Ecuado Rainforest (ป่าฝนเขตร้อนเอกวาดอร์) จำลองสัตว์ที่อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของอเมริกา ที่ตั้งอยู่ตรงเส้นศูนย์สูตรที่มีปลาอาศัยอยู่ที่นี่นับล้านล้านปี
  • Antarctica (ทวีปแอนตาร์กติกา) โซนนี้จะมี นกเพนกวิน ให้ชมน่ารักๆ อีกทั้งยังมีปลาโลมา ที่มาอาศัยอยู่ในแถบบริเวณน้ำอุ่น ในประเทศนิวซีแลนด์
  • Great Barrier Reef (เกรตแบร์ริเออร์รีฟ) จำลองเกรตแบร์ริเออร์รีฟ ของประเทศออสเตรเลีย แนวประการังมากกว่า 5000 แนว ความยาวกว่า 2,000 กิโลเมตรไว้ที่นี่ เราจะได้ชมปะการังที่มีรูปร่างและสีสันที่หลากหลาย กับบรรดาน้องปลาสีสันสดใส
  • Pacific Ocean (มหาสมุทรแปชิฟิก) โซนจัดแสดงปลาฉลามวาฬ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
  • Seto Island (ทะเลเซะโตะโน) โซนของทะเลต้นกำเนินของการประมงแบบเพาะเลี้ยง มีสัตว์น้ำหลากหลายให้เราได้ชม
  • Seasonal Exhibit ( แทงค์น้ำจัดแสดงพิเศษ ) โซนนี้จะจัดแสดงสิ่งมีชีวิตที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำไคยูคังคัดสรรมาว่าน่าสนใจ เช่น ปลาแสงอาทิตย์ หน้านิ่ง เห็นแล้วแปลกตาจริงๆ
  • Coast of chile (แนวหินชายฝั่งของชิลิ) โซนนี้เป็นเป็นโซนที่ปลาซาร์ดีนว่ายวนรอบหินตามกระแสน้ำเย็นจากทางใต้ที่ไหลไปยังชายฝั่งของชีลี
  • Jellyfish ( แมงกะพรุน ) เป็นธีมกาแล็กซี่ แมงกะพรุนโปร่งใส ตัวน้อย ๆ ขยับไปขยับมาเต็มพื้นน้ำท้องทะเล เหมือนดวงดาวที่กระพริบอยู่บนท้องฟ้าเลย
  • สัมผัสใหม่ โซนนี้เพื่อนจะได้เห็นสัตว์น้ำอย่างใกล้ชิด สัตว์หลายอย่าง อย่างน้องแมวน้ำตัวอ้วนกลม และนกเพนกวินที่ส่งเสียงร้องเรียกกันไปมาดังก้องกังวาลเชียว

ก่อนกลับ ที่นี่ก็มีร้านค้าให้แวะซื้อสินค้าของที่ระลึก เช่น กาชาปอง ตุ๊กตาสัตว์น้ำน่ารักๆ มากมายให้เลือกซื้อสะสม และไว้เป็นของฝากกันอีกด้วย

เยือนญี่ปุ่น ไปสักการะศาลเจ้าอิเสะ อายุพันปี

ศาลเจ้าแห่งแรกของญี่ปุ่น เป็นที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่นที่สำคัญ ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ และยังเป็นที่ประดิษฐานของ “อามะเทระสึ โอมิคามิ” เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ หรือเทพแห่งแสงสว่าง มีอายุนับ 2,000 ปี เลยทีเดียว ถือว่าเป็นสถานที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ใครที่มีโอกาสเดินทางมา ทัวร์ญี่ปุ่น เราอยากใหคุณลองเดินทางแวะมาสักการะไหว้พระที่ศาลแห่งอันศักดิ์สิทธิ์ ที่นี่เป็นยังแหล่งโบราณสถานที่ถือว่าเป็นแหล่งศูนย์รวมจิตใจศาลเจ้าอิเสะ-จิงกุ (Ise Jingu Shrines) จังหวัดมิเอะ ประเทศญี่ปุ่น ที่แห่งนี้จะมีการบูรณะใหม่ทุกๆ 20 ปี โดยให้ทุกอย่างคงเดิมมากที่สุด

ศาลแห่งนี้เป็นที่ประดิษฐานของเทพเจ้าองค์นี้นับว่ามีความสำคัญกับชาวญี่ปุ่นมากๆ ถือเป็นเทพของศาสนาชินโต อันเป็นรากฐานของพิธีกรรมต่างๆมากมาย ทั้งยังเชื่อกันว่า จักรพรรดิของชาวญี่ปุ่นนั้น สืบเชื้อสายมาจากเทพองค์นี้โดยตรง รวมถึงธงชาติญี่ปุ่น ที่ยังมีสัญลักษณ์ของดวงอาทิตย์ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ศาลนี้ชาวญี่ปุ่นต่างต้องมาสักการะให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต

บรรยากาศของที่นี่ นับว่ามีมนต์ขลังสมดั่งคำร่ำลือจริงๆ ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางป่าสนอันเงียบสงบ ที่แฝงไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์ และลึกลับ แถมบริเวณนี้ยังอากาศหนาวเพราะอยู่ติดทะเล

สถานที่นี้ประกอบไปด้วย ศาลเจ้าหลัก 2 ศาล คือ ศาลเจ้าชั้นใน (Naiku) และ ศาลเจ้าชั้นนอก (Geku) และศาลเจ้าขนาดเล็กอีกกว่า 125 ศาลเจ้าย่อย

ศาลเจ้าชั้นใน ด้านหน้าของบริเวณนั้นมีถนน Oharai-machi และ Okage-yokocho ซึ่งเป็นชุมชนที่ก่อตั้งขึ้นมาเนิ่นนาน เพื่อรับคนที่เดินทางมาให้ได้พักกินข้าว และน้ำก่อนจะเดินทางต่อเข้าไปในยังศาลเจ้า เก่าขนาดที่ร้านค้าที่เก่าที่สุดบนถนนเส้นนี้ที่ยังคงเปิดกิจการอยู่มีอายุกว่า 300 ปี

ศาลเจ้าชั้นนอก (Outer Shrine) หรือ เงะกุ (Geku) จากสถานี Ise-Shi เดินตามเสาหินประดับโคมไฟริมถนนไปเรื่อยๆ ไม่ถึง 10 นาที ก็จะถึงทางเข้าศาลเจ้าชั้นนอก ข้ามสะพานเล็กๆ เข้าไปในบริเวณศาลเจ้าก็เห็นประตูโทริอิ ซึ่งทำจากไม้ต้นใหญ่ตั้งอยู่

หากเราเดินทางมาทัวร์ญี่ปุ่น สามารถลงเครื่องบินโอซาก้าเดินทางมายังเมืองอิเสะ จังหวัดมิเอะ ด้วยตั๋วรถไฟ Kintetsu Pass มุ่งหน้าสู่ศาลเจ้าอิเสะในทันที

ศาลเจ้าอิเสะ เปิดบริการให้เข้าชม : ทุกวัน โดยแบ่งเวลาเปิด-ปิดในแต่ละปี ดังนี้

05:00 – 18:00 น. (มีนาคม, เมษายน, กันยายน และตุลาคม)

04:00 – 19:00 น. (พฤษภาคม – สิงหาคม)

05:00 – 17:00 น. (พฤศจิกายน – ธันวาคม)

05:00 – 17:30 น. (มกราคม – กุมภาพันธ์)

เที่ยวญี่ปุ่นเดินทางไปเยือน อามาโนะฮาชิดาเตะ

ทัวร์ญี่ปุ่น อามาโนะฮาชิดาเตะ (Amanohashidate) บนสันทรายยาว 3.6 กิโลเมตร ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติกลางอ่าวมิยาซุ (Miyazu) ในจังหวัดเกียวโตกลายเป็นทางเชื่อมระหว่างแผ่นดิน 2 ฝั่งอ่าว และเป็นจุดชมวิวที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดติด 1 ใน 3 ของญี่ปุ่นมาตั้งแต่โบราณ มีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี และมีชื่อปรากฏอยู่ในบทกวีโบราณ ตั้งแต่ช่วง ค.ศ. 1020

(สันทรายยาว 3.6 กม. ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติกลางอ่าว มิยาซุ (Miyazu) จังหวัดเกียวโต )

บนแผ่นดินทั้ง 2 ฝั่งของอามาโนะฮาชิดาเตะเป็นชุมชนเก่าแก่ ที่ปัจจุบันเต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยว และมีร้านค้ามากมาย เราจึงอยากขออาสาพาผู้อ่านไปย้อนรอยประวัติศาสตร์ยาวนาน ชมทิวทัศน์สวยงาม ชิมอาหารอร่อย ไหว้พระในวัดศักดิ์สิทธิ์ และนั่งรถไฟวินเทจเลียบริมฝั่งทะเลของญี่ปุ่นกัน ฉะนั้น เราอย่ารอช้าไปอ่านเรื่องราวน่าประทับใจเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้กันเลย

เมื่อได้มาเที่ยวในจุดที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดติด Top 3 ของประเทศญี่ปุ่นแล้ว สิ่งที่พลาดไม่ได้เลย คือ การได้หาวิวทิวทัศน์สวยๆ จุดที่น่าถ่ายภาพ มีหลายวิธีที่สามารถทำได้ คือ การขี่จักรยานไปเรื่อยๆ บนสันทรายเพื่อเก็บภาพจากมุมมองด้านในอย่างใกล้ชิด หรือจะนั่งเรือข้ามฝั่งเพื่อซึมซับกับบรรยากาศรอบๆด้าน ก็ได้

จุดชมวิวอามาโนะฮาชิดาเตะ วิวแลนด์ (Amanohashidate View Land) จุดชมวิวฝั่งนี้เราจะเห็นสันทรายในมุมมองที่ต่างออกไป เป็นรูปมังกรตัวใหญ่กำลังเหาะขึ้นท้องฟ้า อีกทั้ง สถานที่เที่ยวแห่งนี้ยังมีเครื่องเล่น เช่น ม้าหมุน ชิงช้าสรรค์ รถบั๊ม หรือเล่นเครื่องเล่น Cycle-car หรือการขี่จักรยานบนรางลอยฟ้า ทำให้เห็นวิวโดยรอบได้ 360 องศา ช่างดูน่าสนุกจัง

จุดที่พลาดไม่ได้เลยเมื่อขึ้นมาบนนี้ คือ ไฮเรียวกัง ไคโร (Hiryukan-kairo) สถาปัตยกรรมโครงสร้างโปร่ง มีทางเดินเล็กๆ คดเคี้ยวที่ได้แรงบันดาลใจมากจากลำตัวของมังกร

จุดชมวิว คาสะมัสสึ พาร์ก (Kasamatsu Park) ตั้งอยู่บนเนินเขาทางทิศเหนือของสันทราย สามารถชมวิวทิวทัศน์บรรยากาศจากมุมที่สูงได้ ปัจจุบันนี้ มีกระเช้าเคเบิ้ลให้ใช้บริการแล้วด้วยนะ

จุดชมวิวอีกจุดเพิ่มความหวาดเสียวด้วยการเดินบนพื้นไปเดินพื้นกระจกที่ยื่นออกไปนอกหน้าผา มันดูช่างน่าตื่นเต้นใช่ไหม

ทัวร์ยุโรป ไปเที่ยวประเทศไหนดี 2

เยอรมนี (Germany) เมืองมิวนิก (Munich) เมืองมิวนิค (Munich ) ประเทศเยอรมนี เมืองหลวงของรัฐไบเอิร์น (บาเยิร์น) หรือแคว้นบาวาเรียในภาษาอังกฤษนั่นเอง และยังได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงแห่งเบียร์เยอรมันอีกด้วย ย้อนอดีตไปเมื่อราวศตวรรษที่ 10-11 มีพระจาก Tegernsee Abbey ได้มาตั้งรกรากที่ริมฝั่งแม่น้ำอีซาร์ (Isar) ซึ่งมีน้ำที่เขียวใสไหลลงมาจากเทือกเขา จึงเรียกชื่อเมืองนี้ว่า Muenchen หากใครได้มาเยือนเมืองมิวนิค รับรองไม่ผิดหวังกับการได้ชื่นชมศิลปะและสถาปัตยกรรมในสไตล์บาร็อค และเรอเนสซองส์ ความรุ่งเรืองมั่งคั่งทางศิลปวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรมอันล้ำค่าก็ยังคงปรากฏอยู่จวบจนทุกวัน

มหาวิหารโคโลญ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น 1 ใน 12 คริสตจักรโรมันอันงดงามของสถาปัตยกรรมยุคกลาง นักท่องเที่ยวที่ใฝ่ฝันมาเยือน ด้วยความเป็นเมืองเก่าแก่ที่มีสถาปัตยกรรมที่สวยงามของโลก

ปราสาทนอยชวานชไตน์ (Neuschwanstein Castle) อยู่ในเทือกเขาแอลป์ ต้นแบบของการสร้างปราสาทเทพนิยายเจ้าหญิงนิทราที่สวนสนุกดิสนีย์แลนด์นั่นเอง

อิตาลี (Italy)

อิตาลี ประเทศที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวมากที่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลก มีสถาปัตยกรรมที่สวยงาม มีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆหลายที่ เป็นผู้นำทางด้านแฟชั่น เช่น

กรุงโรม (Rome) เมืองหลวงที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมากกว่า 2,800 ปี รุงโรมเป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของแคว้นลาซีโอและประเทศอิตาลีจ้า มีคนอาศัยประมาณ 2.5 ล้านคน ถือเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สวย และน่าไปที่สุดอีกเมืองหนึ่งของอิตาลี

โคลอสเซียม (Colosseum) โคลอสเซียม หนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลก เป็นสนามกีฬากลางแจ้งที่ใหญ่โตแอนด์มโหฬารที่สุดในสมัยโบราณค่า สร้างขึ้นในปี ค.ศ.72 โดยจักรพรรดิเวสปาเซียน รูปทรงโค้งเป็นวงกลม ก่อด้วยอิฐและหินขนาดใหญ่ วัดโดยรอบ ยาว 527 เมตร สูง 57 เมตร มี 4 ชั้น จุคนได้ถึงประมาณ 80,000 คน ที่นี่เคยเป็นฉากในเกมการต่อสู้ที่ดุเดือดของกลาดิเอเตอร์หรือนักสู้ในโรมัน สำหรับขังนักโทษที่รอประหารและสิงโตที่หิวโซมาสู้กัน ถ้านักโทษคนไหนเอาชนะฆ่าสิงโตได้ก็ได้รอดชีวิตแถมยังให้นักโทษ และทาสมาประลองฝีมือ ใครที่สามารถฆ่าคู่ต่อสู้ตายได้ก็จะได้รับเกียรติอย่างสูง

 

นอร์เวย์ (Norway)

นอร์เวย์ (Norway) สถานที่ท่องเที่ยวในฝันของนักเดินทางทั่วโลก ด้วยที่นี่มีแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติสุดอลังการมากมาย ทั้งภูเขา น้ำตก ท้องทะเล และยังเป็นสถานที่ยอดนิยมในการเดินทางไปดูแสงเหนืออีกด้วย

ออสโล (Oslo) เอกลักษณ์ของที่นี่คือมีสถาปัตยกรรมทั้งเก่า และใหม่สวยงามมากมาย มีทั้งพิพิธภัณฑ์ แกลลอรี่ และโรงละคร

Nidaros Cathedral วิหารที่มีความเก่าแก่และสวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรป มีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบโกธิค ทั้งภายในและภายนอกออกแบบอย่างสวยงามวิจิตรบรรจง

Reine หมู่บ้านชาวประมงบนเกาะ Lofoten มีบรรยากาศที่สวยงามและเงียบสงบ บ้านเรือนเป็นแบบดั้งเดิมมีสีสันสดใส ชวนให้หลงใหล

Latefossen น้ำตกขนาดใหญ่ในเขต Odda ของเมือง Hordaland เป็นสถานที่ห้ามพลาด เพราะน้ำตกแห่งนี้มีความสูงประมาณ 165 เมตร มีลักษณะเป็นสายน้ำ 2 สาย ที่นี่จึงเป็นจุดแวะพักยอดนิยมของนักท่องเที่ยว

รัสเซีย (Russia)

รัสเซีย มีนักท่องเที่ยวเดินทางไปเที่ยวหลายล้านคน เพื่อสัมผัสกับศิลปวัฒนธรรม และศึกษาประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะ “กรุงมอสโก” เมืองหลวง ที่วันนี้ได้พลิกโฉมเป็นมหานครทันสมัย รวมไว้ด้วยสถาปัตยกรรมสุดตระการตาผสานกับวัฒนธรรมที่โดดเด่น สถานที่สำคัญน่าชม อาทิ

จัตุรัสแดง (Red Square) เป็นดั่งใจกลางเมืองมีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุด เพื่อชมความงามของสถาปัตยกรรมอันสวยงามที่ตั้งอยู่ในเมือง

พระราชวังเครมลิน (Grand Kremlin Palace) เป็นอาคารที่มีความสวยงามโออ่ามาก ประกอบด้วย 700 ห้อง เนื้อที่ใช้สอยประมาณ 20,000 ตรม. ด้วยการออกแบบของสถาปนิกชาวมอสโคว์ คือ N.I. Chichagov,F.F. Richter, N.A. Shokhin และ P.A. Gerasimov มีห้องใช้สอยหลายห้อง และที่พักส่วนพระองค์ของราชวงศ์ตั้งอยู่ชั้นล่าง ภายในมีการตกแต่งอย่างหรูหรา ด้านบนชั้นสองมีห้องโถงหลายห้องเช่น St.George, St. Vladimir และ St.Catherine มีการซ่อมแซมในปี ค.ศ. 1930 ห้องที่ใหญ่ที่สุดและหรูหราที่สุดนั้นสร้างอุทิศให้แก่เซนต์จอร์จ (St.George) นักบุญแห่งความกล้าหาญของรัสเซียที่คุ้มครองในการทำสงคราม

สวีเดน (Sweden)

สวีเดน ดินแดนดวงอาทิตย์เที่ยงคืน และดินแดนแห่งไวกิ้ง เป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกปรารถนาจะมาเยือนสักครั้งในชีวิตโดยเฉพาะเมืองหลวง เช่น กรุงสต็อกโฮล์ม โอบล้อมด้วยทะเลบอลติก (Baltic Sea) ทะเลสาบมาลาเร็น (Lake Malaren) ทำให้สตอกโฮล์มเป็นเมืองหลวงสวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก


พระราชวังหลวง (Stockholms slott) เป็นที่ประทับของพระราชวงศ์สวีเดน กล่าวกันว่า ที่นี่คือพระราชวังที่งดงามที่สุดในบรรดาพระราชวังทั้งหมดของทวีปยุโรป
ย่านเมืองเก่า (Gamla Stan) ย่านเมืองเก่าที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป อีกหนึ่งแลนมาร์กที่น่าตื่นตา บ้านเรือนสิ่งปลูกสร้างที่สวยงามด้วยสถาปัตยกรรมแบบสวีเดน ที่ยังคงรักษาสภาพดั้งเดิมไว้ได้เป็นอย่างดี

สวิตเซอร์แลนด์ (Switzerland)

สวิตเซอร์แลนด์ สถานที่ท่องเที่ยวอย่างเทือกเขาจุงเฟรา, เมืองเจนีวา, ภูเขาทิตลิต ทั้งที่ประเทศนี้ยังมีสถานที่น่าสนใจอื่นๆ อีกมากมาย อาทิ

ทะเลสาบโอชิเนน (Oeschinen Lake) ตั้งอยู่ตรงกลางหุบเขาโอชิเนน ที่ระดับความสูง 1,578 เมตร เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาจุงเฟรา มีความสวยงามเป็นอย่างมาก

ธารน้ำแข็งอเลิท์ซ กลาเซียร์ (Aletsch Glacier) ธารน้ำแข็งที่ยาวที่สุดในบรรดาธารน้ำแข็งของเทือกเขาแอลป์ มีความยาวถึง 22 กิโลเมตร หนาถึง 700 เมตร ครอบคลุมพื้นที่มากกว่า 120 ตารางกิโลเมตร มีน้ำแข็งอัดทับถมกันราว 27 พันล้านตัน กลายเป็นที่เที่ยวมรดกทางธรรมชาติสุดอัศจรรย์

ยอดเขาแมทเทอร์ฮอร์น (Matterhorn) ได้ชื่อว่าสูงที่สุดในเทือกเขาแอลป์ สูงเหนือระดับน้ำทะเลถึง 4,478 เมตร มีจุดเด่นแปลกตาเรียกว่าฮอร์น (เขาสัตว์) ลักษณะสามเหลี่ยมพีระมิด

ทะเลสาบลูเซิร์น (Lucerne lake) เป็นทะเลสาบสวยที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์ อยู่ท่ามกลางหุบเขา มีทิวทัศน์ที่สวยงาม น่าเดินทางไปพักผ่อนหย่อนใจ

บทความนี้เราแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยๆน่าเดินทางทัวร์ยุโรปซะจริงๆเลยใช่ไหม เป็นสถานที่น่าดึงดูดให้ใครหลายคน และต้องเดินทางมาให้เห็นกับตาว่าสมคำร่ำลือจริงๆหรือไม่ ดังนั้น เราขอเป็นส่วนหนึ่งที่อยากบอกว่าแต่ละที่สวยงามตามภาพที่ได้เห็นเลยจริงๆ เราก็อยากให้ทุกท่านที่ชอบเรืองของสถานที่เก่าแก่ เมืองโบราณหรือสถาปัตยกรรมสวยๆ ดินแดนแห่งธรรมชาติอันน่าหลงใหลน่าอัศจรรย์ คุณต้องมาประเทศที่เราแนะนำให้นี่ดีชัวร์ คุณต้องลองไปดูแล้วคุณจะเชื่อ

ทัวร์ยุโรป ไปเที่ยวประเทศไหนดี 1

ออสเตรีย (Austria)

เวียนนา (Vienna) เมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดของประเทศ อันขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแสนสะอาดรายล้อมด้วยธรรมชาติและขุนเขา เป็นเมืองที่น่าอยู่ และคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดในโลก สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวไม่ควรพลาด มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าไป เช่น

พระราชวังมรดกโลก-พระราชวังเชินบรุนน์ (Schoenbrunn Palace)

สถานที่นี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโก้ถึงสองแห่ง คือ เขตเมืองเก่าใจกลางกรุงเวียนนา ปี ค.ศ. 2001 และพระราชวังเชินบรุนน์ ปี ค.ศ. 1996 ดินแดนแห่งปราสาทและตำนานลี้ลับ ตกแต่งพระราชวังสไตล์แบบรอคโคโคทั้งหมด (Schonbrunn Palace) แหล่งท่องเที่ยวที่เป็นที่ประทับในช่วงฤดูร้อนของราชวงศ์ฮับสเบิร์กแห่งออสเตรีย ชื่อ เชินบรุนน์ มีความหมายว่า น้ำพุอันสวยงาม เพราะด้วยแต่เดิมมีการผุดขึ้นของน้ำบาดาลที่อยู่รายล้อมพระราชวังแห่งนี้นั่นเอง ตรงบริเวณด้านหน้าพระราชวังเชินบรุนน์แสดงถึงความอลังการที่อยู่เบื้องหลังสวนดอกไม้นานาชนิด ด้วยสถาปัตยกรรมที่มีความโอ่อ่าหรูหราจึงทำให้มีนักท่องเที่ยวจากทุกมุมโลก ที่เดินทางแวะเวียนเข้ามาเยี่ยมชมความสวยงาม และความอลังการของพระราชวังแห่งนี้กันมาก หากคุณมีโอกาสได้มาเยือนแประเทศออสเตรีย คุณจึงไม่ควรพลาดมาชม

จัตุรัสสเตฟาน (Stephansplatz) ศูนย์กลางกรุงเวียนนา ผู้คนมากมายนิยมมาเที่ยวที่จัตุรัสแห่งนี้ เพราะเป็นที่ตั้งของ มหาวิหารเซนต์สตีเฟน (St. Stephen) สัญลักษณ์ของเมืองและสำคัญที่สุดของออสเตรีย ด้วยสถาปัตยกรรมแบบโกธิคที่อ่อนช้อยงดงามมาก เป็นต้น

เบลเยี่ยม (Belgium)

ประเทศนี้ มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานมากกว่า 1,000 ปี ประเทศเล็กๆแห่งนี้แสนสงบอากาศดี อุณหภูมิเฉลี่ย 5-18 องศาเซลเซียส ตลอดปี น่าไปชมความสวยงามของสถาปัตยกรรมและธรรมชาติ โดยเฉพาะ “กรุงบรัสเซลส์” (Brussels) เมืองหลวง ซึ่งเป็นศูนย์กลางของสหภาพยุโรป มีความงามเป็นเอกลักษณ์ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือน จัตุรัสกรองด์ ปลาส (Grong Plas) สถานที่ท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของเบลเยียม อายุกว่า 400 ปี ถือเป็นจุดดึงดูดให้ทุกกรุ๊ปทัวร์มาเยือน เพราะสวยงามติดอันดับต้นๆ ของทวีปยุโรป เเวดล้อมไปด้วยอาคารเก่าเเก่สถาปัตยกรรมเเบบบาร็อก, โกธิก เเละนีโอโกธิก เเต่ละอาคารที่โอบล้อม ล้วนสูงตระหง่านสง่างาม และขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกตั้งแต่ปี 1983


เดนมาร์ก (Denmark)

โอบล้อมด้วยมหาสมุทร และเต็มไปด้วยสถานที่สวยงามมากมาย ทั้งธรรมชาติและสถาปัตยกรรมสุดอลังการ ไม่ว่าจะเป็น อาทิเช่น

พระราชวังอะเมรินโบรก ที่ยิ่งใหญ่ เคยเป็นที่ประทับของ สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก อาคารเป็นสถาปัตยกรรมร็อคโคโค ตรงกลางมีลานกว้างใหญ่แบบแปดเหลี่ยม ประดิษฐานอนุสาวรีย์ King Frederik V ประทับบนหลังม้า

พระราชวังโรเซนเบิร์ก กรุงโคเปนเฮเกนซึ่งเป็นงานสถาปัตยกรรมดัตส์เรเนสซอง อายุกว่า 400 ปี ด้านนอกโอบล้อมด้วยสวนคิงส์การ์เด้น


จัตุรัสซิตี้ฮอลล์ สถานที่ที่มีสถาปัตยกรรมเก่าแก่สวยที่สุดของกรุงโคเปนเฮเกน และใกล้ๆ กัน ยังมี ถนนคนเดินสตรอยก์ (Stroget) แหล่งช้อปปิ้งที่ถูกยกให้เป็นถนนคนเดินยาวที่สุดในยุโรป

อังกฤษ (England)

ประเทศที่มีอิทธิพลต่อทวีปยุโรปมาตั้งแต่อดีตจวบจนมาถึงปัจจุบัน เสน่ห์ที่ทำให้ใครต่อใครหลงรัก อังกฤษมีวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ มีธรรมชาติที่สวยงามพร้อมสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์

พระราชวังบักกิงแฮม (Buckingham palace) ถือเป็นอีกหนึ่งสถาปัตยกรรมและสถานที่ท่องเที่ยวชั้นนำของโลกที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดชมความยิ่งใหญ่อลังการของที่นี่ เพราะนอกจากจะเป็นพระราชฐานที่มีชื่อเสียงที่สุดของบริเตน ยังเป็นที่ประทับส่วนพระองค์ และที่ทรงงานสุดหรูหราของสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 เป็นพระราชฐานอย่างเป็นทางการของราชวงศ์อังกฤษ นับตั้งแต่ค.ศ.1837 และยังเป็นศูนย์กลางของระบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญของอังกฤษ เพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมสำคัญไว้จัดงานสมาคมอันหรูหรา และจัดงานเลี้ยงต้อนรับบุคคลสำคัญของราชวงศ์อยู่เสมอ

หอนาฬิกาบิ๊กเบน (Big Ben) สถาปัตยกรรมอันเป็นเอกลักษณ์กลางกรุงลอนดอน อายุมากกว่า 150 ปี สูงเกือบ 100 เมตรมีหน้าปัดนาฬิกาทั้ง 4 ด้าน ระฆังด้านในหนักถึง 13 ตัน

สโตนเฮนจ์ (Stonehenge) อนุสรณ์สถานที่สร้างความแปลกตาอันน่าอัศรรย์ มีกลุ่มแท่งหินมหึมา อายุมากกว่า 5,000 ปี เรียงเป็นวงกลม 2 วง ซ้อนกัน ช่างน่าทึ่ง และน่าไปสัมผัสด้วยตาตัวเองจริงๆ

ฝรั่งเศส (France)


พระราชวังแวร์ซาย (Château de Versailles) ออกแบบและตกแต่งอย่างสวยงามตระการตา ภายในมีห้องถึง 700 ห้อง พร้อมจิตรกรรมและประติมากรรมประดับตกแต่ง ด้านนอกมีสวนแวร์ซายที่ยิ่งใหญ่ให้ถ่ายรูปที่ระลึก มีสถาปัตยกรรมตะวันตกแบบบาโรค และรอคโคโค ตกแต่งอย่างวิจิตรตระการตา ผสานกับลวดลายอันอ่อนช้อยบรรจง มีขนาดพื้นที่ของพระราชวัง ทั้งหมด 800 เฮกการ์ (5,000 ไร่) โดยแบ่งออกเป็น 5 ส่วนใหญ่ ได้แก่ The Palace, The Gardens, The Estate of Trianon และ The Park

พระราชวังฟงแตนโบล (Château de Fontainebleau) พระราชวังหลวงอันเก่าแก่และใหญ่ที่สุดของฝรั่งเศส มีสัญลักษณ์สำคัญ คือ บันไดเกือกม้าด้านหน้าพระราชวัง ซึ่งเป็นสถานที่นโปเลียนได้บัญชาการรบเพื่อขยายแสนยานุภาพไปทั่วทวีปยุโรปและยังมีห้องเลี้ยงรับรองสุดหรูซึ่งเคยเป็นที่รับเสด็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5


( รัชกาลที่ 5 ทรงเสด็จเยือนประทับที่พระราชวังฟงแตนโบล Château de Fontainebleau )
เป็นอย่างไรกันบ้างค่ะ สำหรับ 5 ประเทศในทวีปยุโรป แต่ละที่ล้วนมีความสวยงามแตกต่างกันไป ใครที่สนใจรีบๆจองตั๋วทัวร์ยุโรปกันสักครั้งสิ ลองหาเวลาเดินทางมาชมสถานที่น่าอัศจรรย์สวยงาม และมีความอลังการ ดูใหญ๋โตหรูหราชวนชม ดังนั้น คุณจึงไม่ควรพลาดการเดินทางมาเที่ยวยุโรป

ทัวร์หาดทรายสวยๆ ในญี่ปุ่น

ไปทัวร์ญี่ปุ่น ใครๆก็คงอยากไปท่องเที่ยวหาดทรายขาวๆ น้ำทะเลใสๆ ที่มีความสวยงามมองเห็นปะการังใต้น้ำ เป็นที่ชอบของบรรดาผู้ที่ชอบทำกิจกรรมดำน้ำดูปะการังแน่นอน เรามาจัดอันดับหาดทรายบนเกาะต่างๆที่สวยติดอันดับต้นในประเทศญี่ปุ่น และเราจะยกตัวอย่างแต่ละหาดมีความสวยงามอย่างไรบ้างไปชมกันเลย

อันดับเกาะ หรือหาดทรายที่สวยที่สุด ในประเทศญี่ปุ่น

Nishihama Beach (Hateruma Island, Okinawa)
Yonaha Maehama Beach (Miyako Island, Okinawa)
Kozamami Beach (Zamami, Okinawa)
Hatenohama Beach (Kume Island, Okinawa)
Aharen Beach (Tokashiki, Okinawa)
Kondoi Beach (Taketomi Island, Okinawa)
Sunayama Beach (Miyako Island, Okinawa)
Chirihama Nagisa Driveway (Hakui, Ishikawa)
Aragusuku Beach (Miyako Island, Okinawa)
Tatadohama Beach (Shimoda, Shizuoka)

Nishihama Beach (Hateruma Island, Okinawa)

เกาะฮาตารุมะ ที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของหมู่เกาะยาเอะยามะ และ เกาะอิริโอโมเตะ โดย

“หาดนิชิบามะ” ที่อยู่บนเกาะนี้ได้ติดอยู่ในอันดับ 1 ของญี่ปุ่น และได้รับเลือกให้เป็นสุดยอดชายหาดในญี่ปุ่น

หาดนิชิบามะ เป็นชายหาดที่มีทะเลสีน้ำเงินสวย และน้ำทะเลใสมาก อีกทั้งยังมีหาดทรายสีขาวที่มีความยาวต่อเนื่องมากกว่า 1 กิโลเมตร

Yonaha Maehama Beach (Miyako Island, Okinawa)

เกาะมิยาโกะ (Miyako Island : 宮古島) ตั้งอยู่ห่างจากเกาะหลักโอกินาวาไปทางตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 300 กิโลเมตร ซึ่งสามารถเดินทางด้วยเครื่องบินโดยใช้เวลาเดินทางประมาณ 50 นาที เกาะมิยาโกะเป็นหนึ่งในเกาะเล็กใหญ่ 8 เกาะที่เกิดจากการก่อตัวของแนวปะการัง

“สะพานอิราบุโอฮาชิ” (Irabu Bridge : 伊良部大橋) ที่เชื่อมต่อระหว่างเกาะมิยาโกะและเกาะอิราบุ มีความยาวทั้งหมดเป็นระยะทาง 3,540 เมตร โดยหลังจากที่มีการเปิดสะพานเมื่อปี ค.ศ.2015 ก็ได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนเป็นจำนวนมาก, “หาดโยนาฮะมาเอฮามะ” (Yonaha Maehama beach : 与那覇前浜ビーチ) ที่มีหาดทรายสีขาวทอดยาวเป็นระยะทางถึงประมาณ 7 กิโลเมตร, “ยาบิจิ” (Yabiji : 八重干瀬) สถานที่ซึ่งเกิดจากอะทอลล์ที่มีอายุมากกว่า 100 ปี และว่ากันว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นก็เป็นแหล่งดำน้ำลึกและดำน้ำตื้นยอดนิยม

Kozamami Beach (Zamami, Okinawa)

เกาะคุเมะ (久米島 / Kumejima) เป็นเกาะที่อยู่ห่างออกไปทางทิศตะวันตกประมาณ 100 กม. จากอำเภอเมืองนาฮะจังหวัดโอกินาว่า เกาะทั้งเกาะถูกกำหนดให้เป็นอุทยานธรรมชาติของจังหวัดอันเนื่องมาจากจุดชมวิวและสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่มีแนวปะการังอยู่อาศัยและเติบโต นอกจากนี้ ยังมีชื่อเสียงในฐานะเกาะแห่งของอร่อยที่มีการผลิตสุรากลั่นอะวาโมริ รวมไปถึงของอร่อยอย่างเช่นอาหารทะเลสดและผลไม้เมืองร้อนด้วย

เกาะทาเคโทมิ (Taketomi) เกาะแห่งนี้เป็นที่รู้จักจากที่ทิวทัศน์ทางธรรมชาติอันเก่าแก่ ที่มีหาดทรายสีขาวอันแพรวพราว และบ้านเรือนท้องถิ่นแบบโอกินาว่าที่เปี่ยมด้วยเสน่ห์ ที่มีประชากรราว 300 คน ซึ่งเกาะอันเงียบสงบ และแปลกตาแห่งนี้จึงมีความเป็นชนบทที่แตกต่างออกไปและไม่เหมือนกับสถานที่ที่คุณเคยได้ไปในเยือนที่โอกินาว่า บนเกาะนี้ นักท่องเที่ยวจะได้พบเห็นสวนที่ถูกแต่งแต้มด้วยดอกไม้อันงดงามจำนวนมาก และบ้านไม้บ้านหินที่มีเทพสีแดงคอยปกปักษ์รักษา ทัวร์ญี่ปุ่นที่ไปเยือนเกาะทาเคโทมินั้น จะเริ่มขึ้นหลังเรือออกเดินทางจากจุดนัดพบของคุณได้โดยจะใช้เวลาเดินทางราวๆประมาณ 10-15 นาที จากเกาะอิชิงากิ (Ishigaki)

เกาะทาเคโทมิ (Taketomi)

หาดโยนาฮะมาเอะฮามะ ถูกจัดอันดับว่าเป็นชายหาดที่อยู่ในอันดับต้นๆ ของญี่ปุ่น เป็นหาดที่มีสีสันสดใสที่ค่อยๆ ไล่ระดับจากทรายสีขาวบนชายหาดไปยังน้ำทะเลสีเขียวมรกตที่จะค่อยๆ กลายเป็นน้ำทะเลสีฟ้าครามไปทางเกาะคุริมะที่อยู่อีกฝั่งเป็นความสวยงามอันแสนวิเศษ ถูกกล่าวไว้ว่าเป็นหาดที่สวยที่สุดในซีกโลกตะวันออก และด้วยความยาวของชายหาดที่ยาวที่สุด ที่เกาะมิยาโกะนั้น คุณสามารถเล่นกิจกรรมทางน้ำต่างๆ เช่น เจ็ทสกี, บานาน่าโบ๊ท, พาราเซลลิ่ง ฯลฯ เกาะมิยาโกะถูกจัดอันดับอยู่ในอันดับต้นๆ ของอันดับชายหาดภายในประเทศจากรายการทีวี

เกาะนี้ มีสะพานที่อยู่เหนือทะเล ไม่ว่าทัศนียภาพใดก็แสนวิเศษ เป็นทัศนียภาพมากมายที่เห็นได้โดยขึ้นอยู่กับน้ำขึ้นน้ำลง และองศาของพระอาทิตย์ ฯลฯ ไม่เพียงข้ามไปยังเกาะทั้ง 5 ได้อย่างสะดวกเท่านั้น แต่ยังเป็นสะพานที่ให้คุณได้เพลิดเพลินกันทัศนียภาพต่างๆ ด้วย

รีวิวการใช้งาน Card Point ก่อนออกทัวร์ญี่ปุ่น

ใครที่จะกำลงัจะไปเที่ยวญี่ปุ่น ต้องมีบัตรสะสมแต้มสุดคุ้มอย่าง d POINT CARD นั้นมีกลุ่มเป้าหมายหลักคือนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติคุณจึงสามารถสมัครได้อย่างง่ายดายโดยไม่เสียค่าธรรมเนียมรายปีหรือค่าสมัครสมาชิก และหากคุณสมัครตอนนี้คุณจะได้รับสิทธิพิเศษมากมายเลยนะคะ ใครที่ยังไม่ได้สมัครเป็นสมาชิกหรือยังไม่มี d POINT CARD ล่ะก็ครั้งนี้จะมาแนะนำวิธีการรับบัตรรวมไปถึงวิธีการใช้งานจริงเพื่อเพื่อนๆ

ก่อนที่คุณจะออกเดินทางไปทัวร์ญี่ปุ่น มีขั้นตอนการสมัครลงทะเบียน เพียง 3 นาที เท่านั้น

  • เข้าไปที่หน้าเว็บไซต์สำหรับลงทะเบียนและกรอกพร้อมยืนยันอีเมล์ของคุณ
  • จากนั้นใส่ข้อมูลชื่อ-นามสกุล วันเดือนปีเกิด และประเทศที่คุณอาศัยอยู่ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
  • คุณสามารถไปรับบัตร d POINT CARD ของจริงและเชื่อมโยงกับบัญชีของคุณได้อย่างง่ายดาย กับเคาน์เตอร์ DOCOMO ทุกที่หรือแม้แต่ในสนามบินก็ตาม มองหาสัญลักษณ์ตัวหนังสือสีแดงที่เขียนว่า “NTT DOCOMO” เท่านั้นเอง
  • เมื่อคุณไปถึงที่เคาน์เตอร์ DOCOMOแจ้งกับพนักงานว่าคุณ “ต้องการบัตร d POINT CARD ” เพียงเท่านี้ คุณก็จะได้รับบัตรแข็งของจริงพร้อมกับขั้นตอนการลงทะเบียนสำหรับ d POINT CARD และคำอธิบายเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ของสมาชิกเพียบ
  • เมื่อคุณได้รับบัตรจริงเรียบร้อยแล้ว ใส่ข้อมูลสำคัญในการลงทะเบียนจำเป็นต้องใช้หมายเลข d POINT CARD Number และ Security Code ที่อยู่ด้านหลังบัตร เพราะฉะนั้น อย่าลืมเพิ่มหมายเลขสมาชิกบัตรของคุณไปยังหน้าสมาชิกผ่านทางเว็บไซต์ด้วย เพียงเท่านี้ก็เป็นอันเสร็จสมบูรณ์

 

หมายเหตุ

  • หากคุณสแกน QR Code จากกระดาษที่คุณได้รับไปยังหน้าเว็บไซต์แคมเปญล่ะก็คุณจะได้รับไปเลย 300 แต้มแบบฟรีๆ (ตัวอย่างตามภาพด้านล่าง)
  • สำหรับข้อมูล และสิทธิประโยชน์ สิทธิพิเศษจากร้านค้าต่างๆ ที่คุณสะสมแต้ม d POINT ได้ด้วย
  • ลงทะเบียนเป็น d POINT CLUB ล่ะก็จะยังได้รับสินค้าที่มีจำนวนจำกัดอย่าง POiNCO BROTHERS เป็นของขวัญฟรีๆ จำนวนทั้งสิ้น 1 ชิ้น
  • เมื่อคุณมีบัตร d POINT CLUB คุณสามารถใช้ Wi-Fi Free 1 Day จาก “docomo Wi-Fi” ได้ทั่วญี่ปุ่นอีกด้วย แถมยังได้รับส่วนลดจากโรงแรมที่พักถึง 15 %

( ตัวอย่าง : สิทธิประโยชน์ และสิทธิพิเศษต่างๆ ที่ได้จากบัตร d POINT CARD )

เมื่อทานไอศกรีมที่ร้าน Cold Stone : POINT 1 แต้มนั้นมีมูลค่า 1 เยน

หากเพื่อนๆไปรับบัตร d POINT CARD ล่ะก็จะได้แต้มถึง 300 คะแนน

ภาพร้านค้าที่เข้าร่วมรายการกับ บัตร d POINT CARD

อย่าลืม เข้าร่วมบริการดีๆแบบนี้ก่อนเดินทางทัวร์ญี่ปุ่นกันนะค่ะ เพราะมันคุ้มค่าจริงๆ ถือเป็นบัตรที่ให้ประโยชน์ครบครัน แค่เพียงใช้บัตรเดียวก็เที่ยวญี่ปุ่นได้อย่างสบายใจแล้ว

มหาวิหารเซนต์บาซิล..ความงดงามที่เปี่ยมไปด้วยประวัติศาสตร์อันน่าจดจำ


มหาวิหารเซนต์บาซิล (St. Basil) หนึ่งในมหาวิหารที่มีชื่อเสียงระดับโลก และได้กลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญของกรุงมอสโควไปแล้ว เมื่อใครมาเยือนก็จะต้องไปชมความสวยงามของมหาวิหารแห่งนี้ เพราะด้วยรูปทรงการสร้างที่สวยงาม โดดเด่น ไม่เหมือนวิหารใด ซึ่งถูกประดับไปด้วยโดมหัวหอม 9 ยอด มีสีสันแตกต่างกันราวกับลูกกวาด ถูกออกแบบให้มีรูปทรงคล้ายกับเปลวไฟพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า และได้รับการยกย่องว่างดงามไม่มีโบสถ์ใดเหมือน รวมทั้งได้รับเลือกให้เป็นมรดกโลกจาก UNESCO ในปี 1990 อีกด้วย

มหาวิหารเซนต์บาซิล (Saint Basil’ s Cathedral) ภาษารัสเซีย : Собор Василия Блаженного) ได้ถูกสร้างขึ้นในสมัยของพระเจ้าซาร์อีวานที่ 4 ค.ศ. 1555-1561 เพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะเหนือมองโกลที่เมืองคาซาน เมื่อปี ค.ศ. 1552 ผลจากชัยชนะครั้งนี้ทำให้รัสเซียสามารถรวมชาติได้เป็นปึกแผ่น จึงสร้างมหาวิหารแห่งนี้ขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1555

โดยมีรูปแบบสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมแบบรัสเซียโบราณซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากไบแซนไทน์ที่เป็นโดมทรงหัวหอม กับสถาปัตยกรรมที่เรียกกันว่ารัสเซียนกอธิก หอคอยสูงรูปกระโจมซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากยุโรปตะวันตก ผสมผสานกันจนกลายเป็นรูปทรงคล้ายกับเปลวไฟพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า

มหาวิหารนี้ได้รับการออกแบบโดยสถาปนิกชื่อปอสต์นิค ยาคอฟเลฟ (Postnik Yakovlev) และมีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่าซาร์อีวานที่ 4 หรือ ซาร์อีวานจอมโหดได้สั่งให้ควักดวงตาของสถาปนิกผู้ออกแบบ เซนต์บาซิล เพื่อที่จะไม่สามารถไปสร้างวิหารที่ไหนให้สวยกว่านี้ได้อีก จนกลายเป็นที่มาของสมญานามว่า “อีวานจอมโหด”

เนื่องจากมหาวิหารเซนต์บาซิลรอดพ้นภัยสงครามมาได้ทุกครั้ง และภายในค่อนเก่าข้างเก่าแก่ตามสภาพดั้งเดิม ลวดลายและสีสันอาจจะซีดจางไปตามกาลเวลา หากสังเกตดีๆจะเห็นรายละเอียดที่สวยงาม และน่าประทับใจมากๆ

แนะนำ 4 จุดเช็คอินใหม่ในญี่ปุ่นปี 2020


วันนี้นำสถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิปที่เหมาะสำหรับครอบครัวและเด็กๆ ซึ่งกำลังจะเปิดให้บริการในปี 2020 มาฝากค่ะ เพื่อท่านไหนจะแพลนพาครอบครัวเดินทางเที่ยวญี่ปุ่นในอนาคต จะได้มีสถานที่ใหม่ๆไว้เช็คอิน และให้เด็กๆได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ๆกัน จะมีที่ไหนบ้างลองไปดูเลย

(1) ซูเปอร์นินเทนโดเวิลด์ (ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ เจแปน)

เปิดให้บริการ:ช่วงฤดูร้อนปี 2020

 

Photo by Universal Studios Japan © Nintendo

 

Photo by Universal Studios Japan © Nintendo

 

ซูเปอร์นินเทนโดเวิลด์ (Super Nintendo World) เป็นพื้นที่สร้างใหม่ภายในสวนสนุกยูนิเวอร์ซัล สตูดิโอส์ เจแปน (Universal Studios Japan) ที่เตรียมเปิดตัวในช่วงฤดูร้อนปี 2020 พร้อมกับมหกรรมกีฬาโอลิมปิก ภายในโซนจะจำลองบรรยากาศเมืองของมาริโอ้ที่ทุกคนเคยเห็นผ่านหน้าจอเกมส์ มีทั้งร้านค้า และร้านอาหาร ที่ตกแต่งด้วยคาแรคเตอร์ต่างๆ และเครื่องเล่นอีกมากมาย เช่น รถแข่งมาริโอ้คาร์ท ปราสาทเจ้าหญิงพีช ปราสาทคุปป้า พื้นที่ผจญภัยกับเจ้าไดโนเสาร์น้อยยชชี่ และอาณาจักรเห็ด เป็นต้น ซึ่งทางสวนสนุกได้ใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดพัฒนาขึ้น นอกจากนี้โซนซูเปอร์นินเทนโดเวิลด์ (Super Nintendo World) ยังมีเครื่องเล่นแบบอินเตอร์แอคทีฟ ที่ผู้เล่นจะได้สวมสายรัดข้อมือ Power Up Band และเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชั่นบนมือถือ เพื่อเก็บคะแนนผ่านการนั่งเครื่องเล่น รวมถึงการทำกิจกรรมในบริเวณต่างๆ เพื่อให้ผู้เล่นได้สนุกกับกับเกมเสมือนจริง

รายละเอียดเพิ่มเติม : www.usj.co.jp


(2) โซนนิวแฟนตาซีแลนด์ (โตเกียวดิสนีย์รีสอร์ท)

เปิดให้บริการ : 15 เมษายน 2020

 

© Disney

 

© Disney

 

สวนสนุกโตเกียวดิสนีย์แลนด์ (Tokyo Disneyland) ได้ขยายพื้นที่สร้างโซนนิวแฟนตาซีแลนด์ (New Fantasyland) ภายในธีม “Enchanted Tale of Beauty and the Beast” ตามภาพยนตร์ดิสนีย์เรื่อง “โฉมงามกับเจ้าชายอสูร” โดยจะเนรมิตปราสาทของเจ้าชายอสูร และหมู่บ้านของเบลล์ที่ปรากฏในต้นเรื่องให้มาอยู่บนโลกแห่งความเป็นจริง พร้อมกับมีเครื่องเล่นใหม่อย่าง Enchanted Tale of Beauty and the Beast ที่เป็นถ้วยหมุนตามจังหวะเพลง ให้อารมณ์เหมือนผู้เล่นกำลังอยู่ในงานเต้นรำ และโซนที่จำลองหมู่บ้าน Maurice’s Cottage จากในภาพยนต์มาสร้างเป็นจุดกดตั๋ว Fast Pass, ร้านอาหาร La Taverne de Gaston และร้านขายของที่ระลึก Village Shoppes เป็นต้น

นอกจากโซนเครื่องเล่นแล้ว ยังมีโรงละครในร่มแห่งแรกของโตเกียวดิสนีย์แลนด์ (Fantasyland Forest Theatre) ที่ทุกคนจะได้เพลิดเพลินไปกับการแสดงร้องเล่นเต้นรำจากเหล่าตัวการ์ตูนดิสนีย์อีกด้วย

รายละเอียดเพิ่มเติม : www.tokyodisneyresort.jp


(3) เครื่องเล่นเดอะ แฮปปี้ ไรด์ วิท เบย์แม๊กซ์ (โตเกียวดิสนีย์รีสอร์ท)

เปิดให้บริการ : 15 เมษายน 2020

 

© Disney

 

© Disney

 

ฝั่งโซนทูมอร์โรว์แลนด์ (Tomorrowland) ได้เตรียมนำเครื่องเล่นสุดระทึกตัวใหม่ชื่อ เดอะ แฮปปี้ ไรด์ วิท เบย์แม๊กซ์ (The Happy Ride with Baymax) จากธีมภาพยนตร์ Big Hero 6 มาเพิ่มความสนุก โดยผู้เล่นจะได้ขึ้นนั่งบนยานพาหนะรูปทรงคล้ายรถลาก ที่ด้านหน้าจะมีหุ่นยนตร์เบย์แม๊กซ์ตัวใหญ่นั่งประจำการพร้อมขับพาคุณหมุนวนไปรอบ ๆ ในแบบที่ไม่สามารถคาดเดาเส้นทางได้

นอกจากนี้ ภายในฝั่งโซนทูมอร์โรว์แลนด์ (Tomorrowland) ยังเพิ่มร้าน The Big Pop ร้านขายป๊อบคอร์นโดยเฉพาะ ที่ขนเอาความอร่อยของป๊อปคอร์นรสใหม่ในราคา 500 เยน ได้แก่รสคาราเมลชีส รสนมสตอเบอร์รี่ และรสคุกกี้ครีม มาไว้ที่นี่ที่เดียว ภายในร้านได้ตกแต่งสไตล์อวกาศ ให้นักท่องเที่ยวได้รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังท่องอยู่ในโลกแห่งจักวาล รวมถึงยังมีร้านขายของที่ระลึกที่มีสินค้ามากมาย โดยพื้นที่โซนใหม่เหล่านี้จะเปิดให้บริการในวันที่ 15 เมษายน ปี 2020 นี้ เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 37 ปีของสวนสนุกโตเกียวดิสนีย์แลนด์ (Tokyo Disneyland)

รายละเอียดเพิ่มเติม : www.tokyodisneyresort.jp


(4) โซนแสดงแมงกะพรุน (พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำซุมิดะ)

เปิดให้บริการ : ปลายเดือนเมษายน 2020

 

© Sumida Aquarium

 

© Sumida Aquarium

 

ช่วงปลายเดือนเมษายน ปี 2020 นี้ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำซุมิดะ (Sumida Aquarium) แห่งโตเกียวสกายทรี (Tokyo Sky Tree) ได้กลับมาให้บริการอีกครั้ง พร้อม 3 โซนใหม่อย่างอควาแล๊บ (Aqualab) และโซนอควาแกลอรี่ (Aqua Gallery) ที่เป็นโซนแท๊งค์น้ำขนาดใหญ่ 7 เมตร สามารถรับชมการเพาะพันธุ์ของแมงกะพรุนมากกว่า 500 ตัวได้อย่างใกล้ชิด โดยมีไฮไลท์คือพื้นกระจกใสที่ยื่นออกมาเหนือน้ำ ให้ความรู้สึกราวกับกำลังยืนอยู่บนผิวน้ำจริงๆ และโซนซุมิดะเสตจ (Sumida Stage) ที่เปิดเป็นพื้นที่เรียนรู้วิถีกระบวนการเพาะเลี้ยง และขยายพันธุ์ของแมงกะพรุนจากเจ้าหน้าที่ที่มีความเชี่ยวชาญ

รายละเอียดเพิ่มเติม : www.sumida-aquarium.com


ที่มา : www.jnto.or.th

เทศกาลประจำฤดูใบไม้ผลิ “โจซังเคออนเซ็น เคริวโคอิโนโบริ”

เข้าสู่ปีที่ 33 แล้วสำหรับเทศกาลประจำฤดูใบไม้ผลิ “โจซังเคออนเซ็น เคริวโคอิโนโบริ”

ย้อนไปเมื่อปีโชวะที่ 62 (ค.ศ. 1987) เทศกาล “เคริวโคอิโนโบริ” นี้เริ่มต้นขึ้นเพื่อให้เป็นหนึ่งในความทรงจำของเมืองออนเซ็น โดยจะจัดในช่วงโกลเด้นวีคหรือช่วงวันเด็กผู้ชาย ที่ยังคงมีหิมะหลงเหลืออยู่และเป็นช่วงที่ซากุระกำลังเข้าสู่ช่วงบานเต็มที่

เราจะได้เห็นธงปลาคาร์พทั้งขนาดเล็กและขาดใหญ่สุดตระการตามากกว่า 400 ตัวแหวกว่ายด้วยสายลมที่พัดผ่านอยู่เหนือแม่น้ำโทโยฮิระ

อย่าลืมมาชมใบไม้เปลี่ยนสีและซากุระสวย ๆ ที่บานสะพรั่งที่โจซังเคกันนะ

รายละเอียดเพิ่มเติม คลิ๊ก >

มาทำความรู้จักกับตุ๊กตาแม่ลูกดก..ของฝากสุดฮิตจากรัสเซีย


“ตุ๊กตาแม่ลูกดก หรือที่เราเรียกว่า Matryoshkas ของฝากสุดฮิตจากรัสเซีย ซึ่งหลายๆคนที่ซื้อกลับมาจากรัสเซียก็มักพอรู้จักกับความหมายของตุ๊กตาแม่ลูกดกกันไปบ้างแล้ว วันนี้เราเลยจะพาทุกคนมารู้จักกับประวัติความเป็นมาของตุ๊กตาแม่ลูกดกกันบ้าง เผื่อเวลาซื้อไปฝากผู้หลักผู้ใหญ่เราจะได้อธิบายได้ครบถ้วน ว่าแต่เจ้าตุ๊กตานี้มันมีประวัติความเป็นมายังไงบ้างลองไปดูกันเลย”

ตุ๊กตาแม่ลูกดก เป็นตุ๊กตาที่ซ้อนกันหลายๆชั้น ทำจากไม้เนื้อนิ่ม เช่น ไม้เบิร์ช โดยตัวสุดท้ายของตุ๊กจะมีขนาดเล็กสุด และจะตัน ไม่มีแขน ขา แต่ช่างจะใช้วิธีการวาดแขน ขา ลงไปบนตัวของตุ๊กตา และเคลือบเงาให้มีความสวยงาม ส่วนความปราณีตของลวดลายและวิธีการทำตุ๊กตานั้นก็จะมีผลต่อราคาอีกด้วย ซึ่งจะมีตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักหมื่นรูเบิลเลยทีเดียว

ส่วนลวดลายที่เรามักเห็นบ่อยๆก็จะเป็นผู้หญิงรัสเซียใส่ผ้าคลุม เป็นเด็กผู้หญิงหน้าตากลมๆ น่ารักๆ แววตาดูสดใส สวมชุดที่สวมจะเรียกว่า “ซาราฟัน” มีทรงผมที่งดงามและทับด้วยผ้าคลุมผมอีกรอบ หรือแม้กระทั่งลวดลายที่ทำล้อเลียนนักการเมืองต่างๆก็มีด้วยเช่นกัน

ตามตำนานเชื่อกันว่าพระชาวรัสเซียเป็นคนนำวิชาทำตุ๊กตาไม้มาจากเกาะฮอนชูของญี่ปุ่น มื่อมาถึงรัสเซียแล้วจึงผสมผสานวิชาศิลปะท้องถิ่นเข้าไป เช่น แนวคิดการซ่อนตุ๊กตาของชาวรัสเซีย จนกระทั่งมีการผลิตในหลายพื้นที่ และลวดลายที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งชาวรัสเซียเชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์และความมีชีวิตยืนยาว และเครื่องหมายอันเป็นมงคลนั่นเอง

10 จุดเช็คอินไม่ควรพลาด..ในจอร์เจีย


หลายคนที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวคงรู้จักกับ ประเทศจอร์เจีย กันไปบ้างแล้ว แต่ก็เชื่อว่ามีหลายคนที่ยังไม่ค่อยคุ้นหูเท่าไหร่ รอบนี้เลยอยากมาแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในจอร์เจีย ให้ทุกคนได้รู้จักมากขึ้นว่าสวยงามแค่ไหน และมีสถานที่ตรงไหนที่ไม่ควรพลาดบ้าง หากได้แพลนเดินทางไปเที่ยว

(1) Gergeti Trinity Church

โบสถ์เกอร์เกติ

โบสถ์เก่าแก่และมีชื่อเสียงมากของประเทศจอร์เจีย ที่เป็นเหมือนหนึ่งในสัญลักษณ์ของประเทศจอเจียร์ไปแล้ว หากใครมาก็ต้องเดินทางมาถ่ายภาพที่โบสถ์แห่งนี้ ซึ่งตั้งอยู่บนเทือกเขาคัสเบกิ (Kazbegi) ใกล้ๆ กับเมืองคัสเบกิ (Kazbegi) ทางขวามือของแม่น้ำ Chkheri และด้านหลังของโบสถ์นั้นเป็นวิวเทือกเขาขนาดใหญ่ที่สวยงามมาก โบสถ์เกอร์เกตินี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อศตวรรษที่ 14 พร้อมกับหอระฆังที่อยู่ด้านข้าง และยังเป็นโบสถ์ที่สามารถมองเห็นเมืองคัสเบกิที่สวยงามมากๆได้ด้วย


(2) Gelati Monastery

อารามจีลาติ

อดีตอารามหลวงเก่าของเมือง Kutaisi ซึ่งถูกค้นพบในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 12 และได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี ค.ศ.1994 ภายในบริเวณอารามแบ่งเป็นสองส่วนคือโบสถ์เซนต์ นิโคลาส (St. Nicholas) และโบสถ์เซนต์ จอร์จ (St.George) โดยในโบสถ์เซนต์นิโคลัสนั้น มีภาพเขียนสีเฟรสโกที่สวยงามตระการตามากมายหลายภาพ บอกเล่าถึงเรื่องราวเกี่ยวกับคริสต์ศาสนา บริเวณโดมขนาดใหญ่ของโบสถ์เป็นภาพพระแม่มารีที่ใช้กระเบื้องโมเสกสีทองประดับตกแต่งกว่า 2 ล้านชิ้น ถือว่าเป็นภาพที่สวยงามมาก


(3) Uplistsikhe

เมืองเก่าอัพลิสต์ชิเคห์

เมืองถ้ำเก่าแก่ของจอร์เจียที่มีอายุมากกว่า 3,000 ปี ที่สร้างตั้งแต่ช่วงแรกๆของยุคหิน โดยเจาะหินภูเขาและใช้เป็นที่อยู่อาศัย และเป็นสถานที่สำคัญต่างๆในชุมชน ในอดีตใช้เป็นเส้นทางการค้าขายสินค้าจากอินเดียไปยังทะเลดำ และต่อไปถึงทางตะวันตก ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้แบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ ส่วนเหนือ ส่วนกลาง และส่วนใต้


(4) Ananuri Fortress

ป้อมอนานูรี

เป็นสถานที่เก่าแก่ที่มีความสวยงามมากอีกแห่งของจอร์เจียโดยสันนิษฐานกันว่าที่นี่ได้ ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 13 ภายในสถานที่แห่งนี้ประกอบไปด้วยปราสาท โบสถ์และ ป้อมปราการที่สวยงาม รวมทั้งล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติทั้งแม่น้ำ ภูเขาที่สวยงามเช่นกัน


(5) Memorial of Friendship

อนุสรณ์สถานรัสเซีย-จอร์เจีย

อนุสรณ์สถานที่สร้างขึ้นมาในปี ค.ศ. 1983 เพื่อเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความสัมพันธ์อันดีของประเทศจอร์เจียและประเทศรัสเซีย โดยอนุสรณ์สถานนี้ตั้งอยู่บน Devil’s Valley ระหว่างเมืองกูดาอูรีและคาซเบกี เป็นอนุสรณ์สถานขนาดใหญ่ที่มีความสวยงาม ภายในมีการวาดภาพประวัติศาสตร์ของประเทศจอร์เจียและประเทศรัสเซียไว้ ซึ่งหอนุสรณ์สถานนี้ตั้งอยู่บนเทือกเขาที่มีความสวยงามอย่าง คอเคซัส อีกด้วย


(6) Ali and Nino Monument

อนุสาวรีย์อาลีและนีโน่

งานสถาปัตยกรรมโลหะสมัยใหม่รูปคู่รักชายชาวอาเซอร์ไบจานและหญิงสาวชาวจอร์เจียในนวนิยายท้องถิ่น มีขนาดสูง 8 เมตร ตั้งอยู่ริมทะเลดำ เมืองบาทูมี ถูกสร้างขึ้นเพื่อแสดงถึงความรักของหนุ่มสาวต่างเชื้อชาติและศาสนา และยังแสดงถึงสันติภาพระหว่างประเทศจอร์เจีย และอาร์เซอไบจานด้วย ถือว่าเป็นงานสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจเลยทีเดียว


(7) Svetikhoveli Cathedral

วิหารสเวติสเคอเวรี

เป็นวิหารที่สร้างราวศตวรรษที่ 11 เป็นศูนย์กลางทางศาสนาที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของจอร์เจียร มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศ รวมทั้งยังเป็นศูนย์กลางที่ทำให้ชาวจอร์เจียเปลี่ยนความเชื่อ หันมานับถือศาสนาคริสต์ และให้ศาสนาคริสต์มาเป็นศาสนาประจำชาติของจอร์เจียเมื่อปี ค.ศ.337 รวมทั้งยังเป็นสิ่งก่อสร้างโบราณที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของจอร์เจีย


(8) Bagradi Cathedral

มหาวิหารบากราติ

มหาวิหารที่ตั้งตามชื่อของพระเจ้าบากราติที่ 3 กษัตริย์ผู้ทรงรวมจอร์เจีย สร้างขึ้นในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 10 ตั้งอยู่ที่เมืองคูไตซี เป็นมหาวิหารที่สวยงามมากแห่งหนึ่ง ซึ่งสะท้อนถึงสถาปัตยกรรมของยุคกลางได้อย่างชัดเจน


(9) Peace Bridge

สะพานสันติภาพ

สะพานหลังคาโค้งสวย โดดเด่นด้วยกระจกสีเขียว ตัวสะพานมีความยาว 150 เมตร เป็นสะพานคนเดินที่ข้ามแม่น้ำคูราเพื่อเชื่อมระหว่างตัวเมืองเก่า และตัวเมืองใหม่ทบิลิซี โครงสร้างหลักของสะพานทำมาจากเหล็กและกระจกใส เปิดใช้งานครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2010 เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ไม่ควรพลาดเลย ถ้ามีโอกาสเดินทางไปประเทศจอร์เจีย


(10) Narikala Fortress

ป้อมปราการนาริกาลา

ที่นี่เป็นป้อมปราการที่ถูกสร้างขึ้นในช่วงคริสต์วรรษที่ 4 มีการเปลี่ยนมือผู้ปกครองมากมาย ทั้งช่วงอาหรับ มองโกล เปอร์เซีย เติร์ก รัสเซีย ภายในมีโบสถ์นักบุญนิโคลาสให้ได้ชมความสวยงามอีกด้วย ซึ่งที่นี่จะมีบริการกระเช้าไฟฟ้าจากด้านล่างขึ้นสู่ด้านบน และระหว่างนั่งกระเช้าก็ยังไม่ชมวิวทิวทัศน์ของเมืองทบิลิซีอีกด้วย

 

มาทำความรู้จักกับ “จอร์เจีย” ดินแดนสุดขอบทวีปเอเชียกับวิวธรรมชาติสุดอลัง


มาทำความรู้จักกับจอร์เจีย

“จอร์เจีย” เป็นประเทศเล็กๆที่น่ารักมีความผสมผสานระหว่างเอเชีย และยุโรปเข้าด้วยกัน เพราะ “จอร์เจีย” นั้นเป็นประเทศที่อยู่เกือบสุดพรมแดนของทวีปเอเชีย และอยู่ใกล้กันกับทวีปยุโรป โดยทิศเหนือจะติดกับประเทศรัสเซีย มีเทือกเขาคอเคซัสเป็นตัวแบ่งพรมแดนระหว่างทวีปยุโรปและทวีปเอเชีย ทิศใต้ติดกับประเทศอาร์มีเนียและตุรกี ทิศตะวันออกติดกับประเทศอาเซอร์ไบจาน ส่วนทิศตะวันตกติดกับชายฝั่งทะเลดำ

แผนที่ประเทศจอร์เจีย

จอร์เจีย ประเทศนี้นับว่ามีประวัติศาสตร์ยาวนานมากว่า 2500 ปี มีวัฒนธรรมที่เก่าแก่ มีเอกลักษณ์ และเต็มไปด้วยธรรมชาติที่งดงาม ที่สำคัญคนไทยสามารถเที่ยวได้โดยไม่ต้องขอวีซ่าได้ถึง 365 วัน รวมทั้งค่าครองชีพยังถูกเหมือนบ้านเรา จึงไม่แปลกที่เราจะสามารถแพลนเที่ยวได้สบายๆ

ค่าเงินของ จอร์เจีย

ประเทศจอร์เจียใช้สกุลเงินที่ชื่อว่า ลารีจอร์เจีย (GEL) 1 ลารีจอร์เจีย (GEL) = ประมาณ 11.21 (เรทแล้วแต่ช่วง) ที่สำคัญไม่มีร้านแลกเงินในไทยเปิดแลกสกุลเงิน ลารีจอร์เจีย หากจะเดินทางไปท่องเที่ยวที่จอร์เจียนั้นแนะนำให้แลกสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) และหรือยูโร (EUR) ไปจากเมืองไทยก่อน และเมื่อเดินทางไปถึงจอร์เจียแล้วค่อยไปแลกเป็นสกุลเงิน ลารีจอร์เจีย

เที่ยว “จอร์เจีย” เดือนไหนดี

เราสามารถเลือกท่องเที่ยว จอร์เจียได้ 4 ฤดู ซึ่งแต่ละช่วงฤดูก็มีความสวยงามที่แตกต่างกันออกไป

ฤดูใบไม้ผลิ (เดือนมีนาคม-พฤษภาคม) อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 10-24 องศาเซลเซียส เป็นช่วงที่อากาศเย็นสบายเหมาะกับการออกเดินทางท่องเที่ยวมากที่สุด ต้นไม้ใบไม้จะมีสีเขียว สามารถแต่งตัวชิวๆใส่แค่เสื้อกันหนาวแขนยาวก็อยู่ได้แล้ว ถือว่าเป็นช่วงที่เหมาะกับการท่องเที่ยวมากๆ

ฤดูร้อน (เดือนมิถุนายน-สิงหาคม) อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 16-31 องศาเซลเซียส อุณหภูมิจะสูงขึ้นมาอีกหน่อย หากใครที่ขี้หนาว หรือไม่ชอบอากาศเย็นๆสามารถมาเที่ยวช่วงนี้แทนได้ วิวก็สวยงามไปอีกแบบหนึ่ง

ฤดูใบไม้ร่วง (เดือนกันยายน-พฤศจิกายน) อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 4-20 องศาเซลเซียส ช่วงนี้ที่จอร์เจียจะเข้าสู่ฤดูใบไม้เปลี่ยนสี บรรยากาศจะเหลืองๆ ส้มๆ แต่งแต้มเมืองให้มีสีสันดูสวยงามมากขึ้น แต่อากาศก็จะเย็นนิดนึง หรืออาจจะมีลมแรงๆหากอยู่ที่สูงๆ หากใครขี้หนาวควรเตรียมเสื้อกันลมไปด้วย

ฤดูหนาว (เดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์) อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ -3 ถึง 8 องศาเซลเซียส ช่วงนี้อากาศก็จะหนาวมากๆ และมีหิมะตกจนขาวโพลนไปหมด ใครที่ชอบหิมะและสภาพอากาศแบบนี้ก็แนะนำฤดูหนาวเลย แต่อาจจะต้องเตรียมเสื้อผ้าเยอะหน่อย และหากขึ้นเขาหรืออยู่ที่สูงๆอาจจะหนาวและลมแรงมากๆ แต่บอกเลยว่าฤดูหนาวจอร์เจียก็สวยงามไม่แพ้ยุโรปประเทศอื่นๆเลย

สายหวานห้ามพลาด รวมของหวานขึ้นชื่อที่”อิตาลี”


เอาใจสายหวานกันบ้าง พอพูดถึงของหวานก็ต้องเป็นที่โปรดปรานของหลายๆ คนแน่นอน ครั้งนี้เลยอยากมาแนะนำของหวานขึ้นชื่อที่ “อิตาลี” ว่ามีอะไรบ้างที่น่าทาน และอร่อยบ้าง หากเพื่อนๆคนไหนมีโอกาสได้ไปเที่ยว จะได้ลองกันชิมกันว่าอร่อยสมคำร่ำลือแบบที่หลายๆคนพูดกันจริงไหม และถือว่าเป็นการสัมผัสรสชาติสุดแปลกที่ต่างแดนอีกด้วย

(1) Gelato ไอศครีมอิตาเลี่ยน

ไอศครีมสุดโด่งดังของอิตาลี มีหลากหลายรสชาติให้เลือกเลย ไม่ว่าจะเป็นรสชาติแบบดั้งเดิม ทั้งวนิลา ช็อคโกแล็ต หรือรสผลไม้ เช่น เชอร์รี่ เมล่อน องุ่น หรือแม้กระทั่งรสที่เราไม่เคยได้ยิน และไม่ว่าจะมุมไหนๆของอิตาลีก็มักจะมีร้านขายไอศรีมอิตาเลียนเต็มไปหมด หาลองแบบไม่ยากเลย หากไปเจอต้องลองชิมรสชาติแบบที่บ้านเราไม่มีขายนะ ลองดูสิว่าอร่อย ฟิน แค่ไหน

(2) Tiramisu เค้กทีรามิสุ

เป็นเค้กที่หลายคนพูดว่าไม่มีเค้กอะไรที่อร่อยเท่าเค้กทีร่ามิสุนุ่มๆอีกแล้ว เพราะเนื้อเค้กชุ่มฉ่ำไปด้วยกาแฟสลับกับครีมสด และผสมด้วยชีสสลับไปมาหลายๆชั้น โรยหน้าด้วยผงโกโก้สุดเข้มข้น แค่นึกถึงก็ฟินสุดๆแล้ว และเค้กทีรามิสุนี้ถือว่าเป็นของหวานสุดอร่อยประจำชาติของอิตาลีเลย ชื่อเสียงขนาดนี้ไม่ลองไม่ได้แล้วว

(3) Panna Cotta เพนนา คอตตา

ขนมหวานนี้ คือ พุดดิ้งที่ทำจากครีม ที่มักจะเสิร์ฟพร้อมกับคาราเมล ซอสช็อคโกแลต หรือผลไม้พวกเบอร์รี่ หรือบางร้านอาจจะดัดแปรงให้มีความน่าทานมากขึ้น โดยดัดแปลงเนื้อพุดดิ้งให้มีความหลากหลาย เพิ่มความแปลกใหม่และน่าทานขึ้นไปอีก เป็นอีกหนึ่งขนมหวานที่น่าลองสุดๆ

(4) Tart ทาร์ต


ขนมอบหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับพายทำด้วยแป้งบางๆ กรอบๆ มีรสชาติหลากหลาย ส่วนรสชาติที่ฮิตที่สุดก็คือ ผลไม้ โดยเฉพาะมะนาว รสครีม และตกแต่งด้วยสตรอว์เบอร์รี่ด้านบน แบบน่าทานมากๆ

(5) Cookie คุกกี้

อิตาลีนอกจากจะมีขนมหวานอร่อยๆหลายอย่างแล้ว ยังมีคุกกี้อีกที่อร่อยไม่แพ้กัน โดยเฉพาะคุกกี้ชิ้นเล็กๆที่ขายตามคาเฟ่ ทานคู่กับกาแฟ หรือโกโก้ร้อนจะอร่อยมากๆ ขอแนะนำรสชาติ คานโนลี เป็นครีมนุ่มๆ รสวนิลา ห่อด้วยแป้งกรอบๆ หรือจะเป็นคุกกี้กลมๆรสอัลมอนด์ก็อร่อยมากๆ

ทัวร์ญี่ปุ่น 2566 แนะนำ 15 จุดชมซากุระถ่ายรูปสวยทั่วญี่ปุ่น

61 Hanami Festival Rev 2 M

Sakura Japan แนะนำ 15 จุดชมซากุระถ่ายรูปสวยทั่วญี่ปุ่น


Sakura Japan – เมื่อใกล้ถึงช่วงฤดูกาลของเทศกาลซากุระ มันก็เป็นธรรมดาที่จะต้องตื่นเต้นกับเทศกาลนี้ เพราะทั่วทั้งญี่ปุ่นจะกลายเป็นสีชมพู สวยสดใสมากๆ รวมทั้งอากาศที่เย็นสบายในช่วงเดือนมีนาคม – พฤษภาคม ก็เหมาะกับการไปเที่ยวญี่ปุ่นในวันหยุดยาวอย่างช่วงสงกรานต์ และหลายๆครอบครัวคงเริ่มแพลนเที่ยวช่วงเทศกาลนี้กันแล้ว ครั้งนี้เลยอยากมาแนะนำจุดชมซากุระทั่วญี่ปุ่นตั้งแต่ใต้ ไล่ขึ้นมาทางเหนือสุดของญี่ปุ่นว่ามีที่ไหนน่าสนใจบ้าง พร้อมช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการ ทัวร์ญี่ปุ่น 2566 ลองไปชมกันเลยค่ะ

 

(1) สะพานคินไตเคียว ยามางุชิ

ช่วงเวลา : ต้นเมษายน – กลางเมษายน

 

Cherry Blossom Full Bloom At Kintaikyo Bridge

ด้วยลักษณะความสวยงามของสะพานที่ไม่เหมือนใคร สะพานคินไตเคียวจึงถูกจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 3 สะพานที่สวยที่สุดในญี่ปุ่นเลย และเมื่อบริเวณนี้เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ เดือนเมษายน บริเวณรอบๆสะพานจะเต็มไปด้วยดอกซากุระ ซึ่งเทศกาลชมซากุระจะถูกจัดขึ้นในช่วงต้นเดือนเมษายนของทุกปี รวมทั้งในช่วงกลางคืนก็จะมีการประดับตกแต่งไปด้วยแสงไฟ ส่วนกิจกรรมที่พลาดไม่ได้ของที่นี่คือ การล่องเรือชมสะพานที่ถูกล้อมรอบไปด้วยดอกซากุระที่บานสะพรั่ง


(2) ปราสาทฮิเมจิ เฮียวโงะ

ช่วงเวลา : ต้นเมษายน – กลางเมษายน

36 Himeji Castle Sakura

ปราสาทฮิเมจินี้เป็นสถานที่ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลกแห่งแรกของญี่ปุ่น และยังได้ชื่อว่าเป็นปราสาทที่สวยที่สุดของญี่ปุ่นอีกด้วย ในช่วงต้นเดือนเมษายนของทุกปี จะมีการจัดเทศกาลชมซากุระ พร้อมกับการบรรเลงเครื่องคนดนตรีโกโตะ และกลองไทโคะของคนญี่ปุ่น ไปพร้อมกับดอกซากุระที่กำลังเบ่งบานอย่างงดงามเลยทีเดียว


(3) โรงกษาปณ์ญี่ปุ่น โอซาก้า

ช่วงเวลา : กลางเมษายน

30 Osaka Japan Mint Sakura

โรงกษาปณ์นี้ทำหน้าที่ดูแลเรื่องการผลิตเหรียญและเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างๆ ซึ่งด้านในมีพิธภัณฑ์เหรียญต่างๆเปิดให้เข้าชมฟรี แต่สิ่งที่ทำให้ที่นี่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวมากๆกลับไม่ใช่ด้านในอาคารแต่เป็นด้านนอกอาคาร เพราะมีต้นซากุระกว่า 300 ต้นหลากหลายสายพันธุ์แข่งกันบาน และเมื่อบานเต็มที่แล้วจะมีลักษณะเหมือนอุโมงค์ซากุระอย่างงดงาม โรงกษาปณ์แห่งนี้จึงกลายเป็นสถานที่ถูกจัดอันดับให้เป็น 1 ในจุดชมซากุระสวยที่สุดแห่งหนึ่งของโอซาก้า


(4) ปราสาทโอซาก้า โอซาก้า

ช่วงเวลา : ปลายมีนาคม – ต้นเมษายน

Osaka Castle With Sakura Blossom In Osaka, Japan

ปราสาทโอซาก้าแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมามากถึง 400 กว่าปีแล้ว ซึ่งภายในปราสาทเต็มไปด้วยต้นซากุระกว่า 600 ต้น และเมื่อเข้าสู่เทศกาลชมซากุระคนญี่ปุ่นจะชอบพาครอบครัวลูกหลานออกมาเที่ยวในบริเวณนี้กันอย่างมาก ส่วนในตอนกลางคืนที่นี่ก็จะมีการตกแต่งด้วยโคมไฟกระดาษ เพื่อให้นักท่องเที่ยวอย่างเราได้ชมทั้งตัวปราสาทและซากุระในยามค่ำคืนอย่างงดงาม เรียกได้ว่าดูซากุระไปพร้อมปราสาท อีกทั้งยังได้ชื่นชมวัฒนธรรมอันน่ารักของคนญี่ปุ่นไปพรางๆอีกด้วย


(5) วัดคิโยมิสึ เกียวโต

ช่วงเวลา : ปลายมีนาคม – ต้นเมษายน

Kiyomizu Dera Temple And Cherry Blossom Season (sakura) Spring T

ที่นี่เป็นวัดเก่าแก่ถึง 1,200 ปีก่อน เป็นสัญลักษณ์สำคัญของเกียวโต เมืองหลวงเก่าแก่ของญี่ปุ่น ปัจจุบันได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกด้วยนะ ในบริเวณวัดนี้มีต้นซากุระมากถึง 1,000 ต้น ในช่วงซากุระบานทางวัดจะประดับไฟในตอนกลางคืนให้เข้ากับเทศกาลซากุระนี้เป็นเวลา 1 เดือน ซึ่งทุกคนสามารถเดินชมซากุระในบริเวณวัดได้อย่างเพลิดเพลิน ส่วนหอคอยชั้น 3 นั้นยังซ่อมอยู่แต่ก็สามารถเข้าชมได้ตามปกติค่ะ


(6) ภูเขาโยชิโนะ นารา

ช่วงเวลา : ต้นเมษายน – ปลายเมษายน

24 Yoshinoyama Sakura

ภูเขานี้มีซากุระ 3,000 ต้น และมากถึง 200 สายพันธุ์ ถือว่าเป็นสถานที่ๆมีต้นซากุระเยอะที่สุดในญี่ปุ่นเลย เราสามารถชมความสวยงามของดอกซากุระที่บานสลับสีกันอย่างสวยงามบนภูเขาแห่งนี้ได้ตลอดทั้งเดือนเมษายนของทุกปี และพื้นที่ของภูเขาโยชิโนะนั้นจะถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วน ตามระดับความสูง คือ (ชิโมะ เซ็นบง, นากะ เซ็นบง, คามิ เซ็นบง, โอคุ เซ็นบง) ซึ่งแต่ละส่วนนั้นซากุระจะบานไม่พร้อมกัน แต่จะบานไล่ตั้งแต่ตีนเขาไปถึงยอดเขาตามระดับความสูง


(7) ชิราคาวาโกะ กิฟุ

ช่วงเวลา : ปลายเมษายน – ต้นพฤษภาคม

36 Shirakawago Sakura

หม่บ้านชิราคาวาโกะ หมู่บ้านมรดกโลกแห่งที่ 6 ของญี่ปุ่นที่สวยงาม และมีเสน่ห์มากๆ เพราะด้วยเอกลักษณ์การสร้างบ้านให้มีรูปทรง กัสโช่ ที่สามารถรองรับน้ำหนักหิมะได้ในช่วงฤดูหนาว ถึงที่นี่จะไม่ได้มีดอกซากุระเยอะมาก แต่ด้วยบรรยากาศของหมู่บ้านที่จุดชมวิวชิโรยาม่า และดอกซากุระที่กำลังบ้านนั้น ดูเข้ากันกับหมู่บ้านอย่างน่ารัก และสวยงาม


(8) เจดีย์ชูเรโตะ ยามานาชิ

ช่วงเวลา : ปลายมีนาคม – ต้นเมษายน

33 Chureito Sakura

เจดีย์ชูเรโตะ เจดีย์สีแดงสุดฮิตที่มีความสูง 5 ชั้น และเป็นหนึ่งในเขตพื้นที่ของ ศาลเจ้าอาราคุระ เซ็นเก็น ศาลเจ้าเก่าแก่ที่คนญี่ปุ่นนิยมไปกราบไหว้ขอพรกัน จากตัวศาลเจ้าต้องเดินขึ้นบันไดไปอีกประมาณ 400 ขั้น ถึงจะเจอจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้ และตลอดทางเดินทางศาลเจ้าไปด้านบนเจดีย์นั้นก็จะเต็มไปด้วยดอกซากุระที่แข่งกันบานสะพรั่งอย่างสวยงาม


(9) แม่น้ำเมกุโระ โตเกียว

ช่วงเวลา : ปลายมีนาคม – ต้นเมษายน

Maguro River

เมกุโระ แม่น้ำเล็กๆ ที่ไหลลงสู่อ่าวโตเกียว และมีความยาวราว 8 กิโลเมตร อยู่ใกล้กับย่านชิบูย่า เป็นอีกหนึ่งจุดชมซากุระยอดฮิตในโตเกียวเลย โดยริมสองฝั่งแม่น้ำจะเรียงรายไปด้วยต้นซากุระกว่า 830 ต้น เมื่อดอกซากุระริมสองฝั่งแม่น้ำบานก็จะโค้งเข้าหากันเหมือนกับอุโมงค์ซากุระอยู่เหนือแม่น้ำ ส่วนในตอนกลางคืนก็จะมีการประดับไปด้วยโคมไฟอย่างสวยงาม ถือว่าเป็นจุดชมซากุระ ที่โรแมนติกที่สุดแห่งหนึ่งของโตเกียวเลย


(10) ชิโดริงะฟุชิเรียวคุโด โตเกียว

ช่วงเวลา : ปลายมีนาคม – ต้นเมษายน

69 Chidorigafuchi Tokyo Tower Sakura

อีกหนึ่งจุดชมซากุระที่สวยที่สุดอีกแห่งของโตเกียว ซึ่งอยู่ใกล้กับพระราชวังอิมพีเรียล ในช่วงเทศกาลซากุระที่นี่จะมีการประดับไฟ และสะท้อนกับดอกซากุระอย่างสวยงาม ส่วนกิจกรรมที่ไม่ควรพลาด คือ การล่องเรือชมซากุระ หรือชมซากุระในช่วงกลางคืนที่ประดับไปด้วยแสงไฟก็โรแมนติกแบบสุดๆ


(11) หมู่บ้านซามูไรคาคุโนะดาเตะ อะคิตะ

ช่วงเวลา : กลางเมษายน – ปลายเมษายน

97818154 Building In Kakunodate

หมู่บ้านซามูไรแห่งนี้มีซากุระที่ชื่อว่า ซากุระพันธุ์ดอกย้อย ให้เราได้เดินเที่ยวชมกัน ซึ่งตามริมถนนเราจะเห็นซากุระย้อยห้อยกิ่งลงมาอวดอย่างสวยงาม ว่ากันว่าในสมัยเอโดะ ตระกูลของซามูไรเมืองนี้ได้นำต้นซากุระดอกย้อยหลายต้นจากเกียวโตมาปลูก เพื่อแข่งกันว่าซากุระของใครจะออกดอกสวยงามกว่ากัน ปัจจุบันเลยกลายเป็นต้นซากุระที่ออกดอกอย่างสวยงามให้เราได้ชื่นชม


(12) สวนฟุนะโอกะ มิยางิ

ช่วงเวลา : กลางเมษายน – ปลายเมษายน

23 Funaoka Castle Sakura

สวนฟุนะโอกะแห่งนี้ได้รับการโหวตให้เป็น 1 ใน 100 จุดชมซากุระที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น และช่วงกลางเดือนเมษายนของทุกปีที่สวนนี้จะมีการจัดเทศกาลชมซากุระ (Shibata Sakura Matsuri) ซึ่งไฮไลท์ที่นิยมมากๆของช่วงซากุระ คือการนั่งรถราง ลอดผ่านอุโมงค์ซากุระระหว่างทางขึ้นไปไหว้เจ้าแม่กวนอิมที่อยู่บนยอดเขาด้วยระยะทางราว 300 เมตร ซึ่งเราจะได้เจอกับบรรยากาศที่รายล้อมไปด้วยดอกซากุระอย่างสวยงาม รวมทั้งบนยอดเขายังสามารถชมวิวแม่น้ำชิโรอิชิงะวะ ที่มีต้นซากุระเรียงรายตลอดริมสองฝั่งแม่น้ำอย่างสวยงาม


(13) ฮิโตะเมะเซ็มบงซากุระ มิยางิ

ช่วงเวลา : ต้นเมษายน – ปลายเมษายน

64 Hitome Senbonzakura

หรือที่เรียกว่า “ซากุระ 1,000 ต้น” นั่นเอง ซึ่งอยู่บริเวณริมแม่น้ำชิโรอิชิซึ่งไม่ไกลกับสวนฟุนะโอกะ ความพิเศษของซากุระที่นี่จะอยู่ที่ต้นซากุระกว่า 1,200 ต้น ทอดตัวเป็นแนวยาวประมาณ 8 กิโลเมตร บริเวณริมแม่น้ำชิโรอิชิ และยิ่งในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสเรายังสามารถมองเห็นเทือกเขาซาโอที่ปกคลุมไปด้วยหิมะอยู่ด้านหลังตัดกันกับสีสันของดอกซากุระ ซึ่งให้วิวที่งดงามมากๆ และในตอนกลางคืนที่นี่ก็จะมีการประดับไฟให้เราชมความสวยงามในบรรยากาศที่ดูแตกต่างในช่วงกลางวันอีกด้วยนะ ในช่วงเดือนเมษานี้หากใครมีแพลนเที่ยวชมซากุระ ที่นี่ก็เป็นอีก 1 สถานที่ที่สวยงามอยากแนะนำให้ลองไปชมสักครั้ง


(14) สวนฮิโรซากิ อาโอโมริ

ช่วงเวลา : ปลายเมษายน – ต้นพฤษภาคม

54241519 Aomori Hirosaki Cherry Blossom Festival

ภายในสวนแห่งนี้นอกจากจะมีปราสาทฮิโรซากิที่เปิดให้ชมแล้ว ในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่นี่ยังเป็นจุดชมซากุระที่สวยที่สุดในญี่ปุ่นอีกด้วย ซึ่งจะมีการจัดเทศกาล Hirosaki Cherry Blossom Festival เป็นประจำทุกปี ซึ่งดอกซากุระภายในสวนล้อมรอบตัวปราสาทฮิโรซากิอย่างงดงาม รวมทั้งดอกซากุระภายในสวนนี้ที่ล่วงโรยลงผืนน้ำทำให้ทำให้กลีบซากุระปกคลุมแม่น้ำอย่างสวยงาม เหมือนแม่น้ำเป็นสีชมพูเลย


(15) ป้อมดาวโกะเรียวคะคุ ฮอกไกโด

ช่วงเวลา : ปลายเมษายน – ต้นพฤษภาคม

Cherry Blossom Hakodate Garden Near Goryokaku Tower .

หรือที่เราเรียกกันว่า “ป้อมดาว 5 แฉก” 1 ในสถานที่ชมซากุระสุดฮิตของเมืองฮาโกดาเตะ ซึ่งไอไลท์อยู่ที่ จุดชมวิวบนหอคอยเมื่อเรามองลงมาด้านล่างจะเห็นสวนสาธารณะเป็นรูปดาว 5 แฉก และเมื่อถึงฤดูชมซากุระก็จะให้วิวทิวทัศน์อย่างงดงาม และในตอนกลางคืนที่นี่ก็มีการประดับไฟให้สวยงามมากขึ้นอีกด้วย

โปรแกรมชมซากุระทั่วญี่ปุ่น คลิก >> https://siamorchardgroup.com/program-home-4/

Gifu แหล่งท่องเที่ยว..ใจกลางเกาะญี่ปุ่น

Gifu แหล่งท่องเที่ยว..ใจกลางเกาะญี่ปุ่น

เรื่องน่ารู้ก่อนเลือกทัวร์ญี่ปุ่น

Gifu แหล่งท่องเที่ยว..ใจกลางเกาะญี่ปุ่น


มาทำความรู้จักกับจังหวัดกิฟุ

ถ้าพูดถึงกิฟุแล้วอาจจะยังไม่ได้เป็นที่รู้จักของหลายคนเท่าไรนัก แต่ถ้าบอกว่า หมู่บ้านชิราคาวาโกะ หลายคนต้องรู้จักอย่างแน่นอนเพราะว่าเป็น 1 ในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง ซึ่งจริงๆ แล้วหมู่บ้านชิราคาวาโกะนี้ อยู่ในเขตพื้นที่ของจังหวัดกิฟุซึ่งมีสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากมาย รวมถึงกิจกรรม และวัฒนธรรมที่บ่งบอกถึงเอกลักษณ์ความเป็นญี่ปุ่นได้อย่างน่าสนใจเลยทีเดียว

วันนี้เราเลยอยากมาแนะนำจังหวัดกิฟุ ให้ทุกคนได้รู้จักกันว่าอยู่ตรงไหนของญี่ปุ่น และมีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรที่น่าสนใจบ้าง

แผนที่จังหวัดกิฟุ

Gifu แหล่งท่องเที่ยว..ใจกลางเกาะญี่ปุ่น

กิฟุเป็นจังหวัดที่อยู่ใจกลางของญี่ปุ่น เมื่อเราดูจากแผนที่จะแบ่งออกเป็นเขต กิฟุ ตอนเหนือ พื้นที่จะเต็มไปด้วยภูเขาสูงใหญ่กว่า 3,000 ม. เป็นพื้นที่ที่มีหิมะทับถมสูงในช่วงฤดูหนาว และเขต กิฟุ ทางตอนใต้ เป็นแถบที่ราบมีแม่น้ำใสสะอาดไหลผ่าน และอากาศจะค่อนข้างเย็นน้อยกว่าทางภาคเหนือ ด้วยความแตกต่างนี้จึงทำให้กิฟุมีสถานที่ท่องเที่ยวสวยงามแตกต่างกันออกไปในแต่ละพื้นที่ แต่ละฤดูกาล รวมถึงเป็นแหล่งรวบรวมวัฒนธรรม และประเพณีที่น่าสนใจไว้อย่างมากมาย


แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดกิฟุ

Gifu แหล่งท่องเที่ยว..ใจกลางเกาะญี่ปุ่น

หมู่บ้านชิราคาวาโกะ

หมู่บ้านนี้ตั้งอยู่ในหุบเขาสร้างด้วยสถาปัตยกรรมรูปแบบ “กัสโช” (กัสโช หมายถึง การพนมมือ) ตัวบ้านทำด้วยไม้ และหลังคาที่ทำด้วยฟางข้าวหนาหลายชั้นเพื่อรองรับน้ำหนักช่วงหิมะตกในฤดูหนาวตามสไตล์ภูมิปัญญาของคนท้องถิ่น ที่นี่เป็นหมู่บ้านที่เงียบสงบและได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลก มีบ้านเรือนกว่า 110 หลังคา เรียงรายกันอย่างเป็นเอกลักษณ์ สวยงาม เป็นหมู่บ้านที่มีวิถีชีวิตของคนญี่ปุ่นหลงเหลือไว้ให้ชมกันอีกด้วย จากจุดชมวิวชิโรยาม่าเราสามารถมองวิวทั้งหมดของหมู่บ้านได้อย่างสวยงามราวในฝัน และยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมสูงมากๆ จากนักท่องเที่ยวในบ้านเรา

กระเช้าลอยฟ้าชินโฮทากะ

ชินโฮทากะกระเช้าไฟฟ้า 2 ชั้น 1 เดียวของญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากๆ เราจะได้เห็นวิวเทือกเขาแอลป์ตอนเหนืออย่างงดงาม ในขณะที่กระเช้ากำลังแล่นอยู่บนหุบเขา ที่สำคัญที่นี่ยังสวยในทุกฤดูและเป็น 1 ในสถานที่ไฮไลท์ของกิฟุที่พลาดไม่ได้เลย


Gifu แหล่งท่องเที่ยว..ใจกลางเกาะญี่ปุ่น

เกโระ ออนเซ็น

1 ใน 3 ออนเซ็นขึ้นชื่อของญี่ปุ่น ซึ่งอยู่ใจกลางเมืองเกโระ ส่วนเอกลักษณ์อันโดดเด่นของออนเซ็นนี้ก็คือ น้ำบริสุทธิ์มีคุณสมบัติเป็นด่าง มีความอ่อนโยนต่อผิว ช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น, ฟื้นฟูความเหนื่อยล้า และช่วยให้สุขภาพดี รวมทั้งผิวพรรณก็จะนุ่มลื่นหลังจากการแช่ออนเซ็นแล้ว คนญี่ปุ่นจึงยกให้เป็น ออนเซ็นแห่งความงาม

เทศกาลทาคายาม่าฤดูใบไม้ผลิ

เทศกาลที่จัดขึ้นในฤดูใบไม้ผลิ (ช่วงซากุระ) ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 14 -15 เมษายน ของทุกปีที่ศาลเจ้าฮิเอะ ในงานจะมีซุ้มเทศกาล 12 หลัง ที่ได้รับการแกะสลักสุดหรูพร้อมลวดลายอันสวยงาม ที่สำคัญซุ้มแห่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมเชิงคติชนวิทยาชิ้นสำคัญแห่งชาติ ซึ่งชาวญี่ปุ่นจะแห่ซุ้มนี้วนรอบเมืองอย่างมีเอกลักษณ์ให้เราได้ชมกัน และเทศกาลนี้ยังงดงามจนได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 3 เทศกาลงดงามที่สุดในญี่ปุ่น


Gifu แหล่งท่องเที่ยว..ใจกลางเกาะญี่ปุ่น

น้ำตกโอซะกะ

น้ำตกที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นซึ่งมีน้ำตกเล็กใหญ่กว่า 200 แห่งอยู่บริเวณล้อมรอบเชิงเขาองตาเกะ และในฤดูใบไม้ผลิที่นี่ยังเป็นแหล่งชมซากุระที่สวยงามที่สุดเพราะมีต้นซากุระกว่า 3,000 ต้น รวมถึงในฤดูใบไม้เปลี่ยนสีต้นไม้ก็ยังแข่งกันเปลี่ยนสีอย่างงดงามเช่นกัน

ฮิดะ ทาคายาม่า

เมืองเก่าแห่งทาคายาม่าที่ยังคงอนุรักษ์บ้านเรือนในสมัยเอโดะไว้เป็นอย่างดี ซึ่งในเมืองเก่านี้ยังเป็นที่ตั้งของสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆของทาคายาม่าที่น่าจะสนใจอีก เช่น ย่านเมืองเก่าซันมะจิ ซึ่งเป็นย่านที่เต็มไปด้วยบ้านเรือนของเหล่าพ่อค้าที่มีอายุเก่าแก่ยาวนานกว่า 100 ปี และตามข้างถนนยังเรียงรายไปด้วยร้านขายของอีกมากมาย รวมทั้งบ้านที่นำมาดัดแปลงเป็นทั้งคาเฟ่ร้านอาหารให้เราได้เลือกใช้บริการ เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ยังคงอนุรักษ์กลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่นยุคโบราณไว้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว


Gifu แหล่งท่องเที่ยว..ใจกลางเกาะญี่ปุ่น

Gujo Snow Resort

ถึงกิฟุจะเป็นจังหวัดที่อยู่ใจกลางประเทศญี่ปุ่นก็ตาม แต่ก็มีพื้นที่ที่เต็มไปด้วยภูเขามากมายพอเข้าสู่ฤดูหนาวตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคมถึงปลายเดือนมีนาคมเป็นต้นไปเราก็สามารถเพลิดเพลินไปกับกิจกรรมที่ลานสกีได้โดยเฉพาะที่เมือง “ลานสกีฮิรุกาโนะ” ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองกูโจมีกิจกรรมหลากหลาย เช่น การทดลองเล่นสกี, สไลด์เดอร์, บานาน่าโบ๊ท, ราฟติ้ง และเครื่องเล่นอื่นๆอีกหลากหลาย นอกจากนี้ยังมีลานสกีอื่นๆที่เราสามารถเข้าใช้บริการได้เช่น “ไดน่าแลนด์” และ “ทะคะสุ สโนว์พาร์ค” เป็นต้น

ปราสาทกิฟุ

1 ในสัญลักษณ์ที่สวยงามของจังหวัดกิฟุ มีประวัติความเป็นมาราว 800 ปี จากจุดชมวิว เราสามารถชมความสวยงามของบริเวณรอบๆปราสาทได้ รวมถึงแม่น้ำนะงะระที่อยู่ด้านล่างตัดกับทิวภูเขาที่อยู่ด้านหลังอ่าวอิเซะทางทิศใต้อย่างสวยงาม นับว่าเป็นปราสาทที่สวยงาม และมีวิวทิวทัศน์ที่น่าชื่นชมอีกมากๆ อีกแห่งในกิฟุ


Gifu แหล่งท่องเที่ยว..ใจกลางเกาะญี่ปุ่น

ประเพณีจับปลาด้วยนกกาน้ำที่แม่น้ำนาการะ

ประเพณีนี้เป็น 1 ในประเพณีที่ดั้งเดิมและน่าสนใจมากๆของจังหวัดกิฟุตอนใต้ที่สืบทอดกันมายาวนานกว่า 1,300 ปี และยังเป็นประเพณีดั้งเดิมที่หาดูได้ยากในปัจจุบัน ทุกคนสามารถชมการสาธิตการจับปลาด้วยนกกาน้ำของชาวประมง โดยจะมีการออกเรือ 6 ลำไปด้วยกันโดยมีการจุดโคมไฟเพื่อนำทาง พร้อมกับควบคุมนกกาน้ำ 10 – 12 ตัวในการหาปลา

ถนนนะกะเซ็นโด

เป็นถนนสมัยเก่าที่สร้างขึ้นเพื่อเชื่อมต่อระหว่างเมืองเอโดะ และเมืองเกียวโตตั้งแต่ยุคสมัยเอโดะ ถนนสายนี้สร้างอยู่ทางลาดบนภูเขานะกะเซ็นโด ถือว่าเป็นถนนที่หาดูได้ยากในญี่ปุ่นเลย และตลอดทางเดินยังมีบ้านเรือน ร้านน้ำชา ร้านขายของที่ระลึก ที่เรียงรายอยู่ตลอดสองข้างทางให้เราได้แวะกันอีกด้วย


Gifu แหล่งท่องเที่ยว..ใจกลางเกาะญี่ปุ่น

หุบเขาเอนะเคียว

อีก 1 ในสถานที่ที่มีวิวอันสวยงามของกิฟุตอนใต้ วิวสองฝั่งเต็มไปด้วยหน้าผาสูง และรูปร่างหินที่ดูแปลกตา แต่ละฤดูที่นี่ก็จะให้วิวทิวทัศน์สวยงามแตกต่างกันออกไป เราสามารถชมวิวที่หุบเขานี้อย่างใกล้ชิดได้จากการล่องเรือไปตามหุบเขา

พิพิธภัณฑ์การตีดาบเซกิ

เมืองเซกิเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงเรื่องการตีดาบระดับโลก ดาบญี่ปุ่นจะใช้วิธีการตีดาบแบบโบราณ พิพิธภัณฑ์การตีดาบเซกินี้มีการจัดแสดงให้เห็นถึงเทคนิคการตีดาบของช่างโบราณที่มีมานานกว่า 700 ปี ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่น่าสนใจของเมืองกิฟุ


จริงๆแล้วกิฟุมีสถานที่ท่องเที่ยวอันสวยงามมากมายที่บ่งบอกความเป็นเอกลักษณ์ของญี่ปุ่นซ่อนอยู่ หากเพื่อนๆคนไหนสนใจเดินทางเที่ยวญี่ปุ่นในเร็วๆนี้ กิฟุ ก็เป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่น่าสนใจไม่แพ้สถานที่อื่นๆในญี่ปุ่นเลย

ดูข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวเพิ่มเติม คลิก http://travel.kankou-gifu.jp/th/

ดูทัวร์ญี่ปุ่นทุกเส้นทาง คลิก www.siamorchardgroup.com/ทัวร์ญี่ปุ่น

 

 

Kawazu Sakura Festival สัมผัสเสน่ห์ซากุระแรกแห่งฤดูหนาวที่ญี่ปุ่น

M 100

ทัวร์ญี่ปุ่น Kawazu Sakura สัมผัสเสน่ห์...ซากุระแห่งแรกแห่งฤดูหนาวญี่ปุ่น


การเดินทางท่องเที่ยวทัวร์ญี่ปุ่นในช่วงซากุระนับเป็นช่วงเวลาที่หลายคนอยากเดินทางไปเห็นด้วยตัวเองสักครั้ง นับเป็น Seasons ที่หมายปองของบรรดานักท่องเที่ยวชาวไทยเลยทีเดียว ปกติแล้วทัวร์ต่างๆ ก็จะขายเรื่องการชมซากุระในช่วงหน้าร้อน เพราะที่ประเทศญี่ปุ่นซากุระจะเริ่มบานในฤดูใบไม้ผลิ ไล่เรียงเริ่มมาจากทางเกาะใต้สุดของญี่ปุ่น ขึ้นไปยังเกาะเหนือสุดของญี่ปุ่น

แต่ซากุระแห่งเมือง Kawazu นี้พิเศษกว่าใคร เพราะเค้าจะเริ่มบานเป็นที่แรกๆ ของญี่ปุ่น ตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – ต้นเดือนมีนาคม ของทุกปี

ทัวร์ญี่ปุ่น Kawazu Sakura สัมผัสเสน่ห์...ซากุระแห่งแรกแห่งฤดูหนาวญี่ปุ่น

เพราะว่าซากุระแห่งเมืองนี้เป็นซากุระสายพันธ์ุพิเศษที่มีลักษณะการบานเร็วกว่าพันธุ์อื่นๆประมาณ 1 เดือน นั่นเอง

ทัวร์ญี่ปุ่น Kawazu Sakura สัมผัสเสน่ห์...ซากุระแห่งแรกแห่งฤดูหนาวญี่ปุ่น

ซึ่งไฮไลท์ของที่เมืองนี้จะอยู่ที่ต้นซากุระขนาดใหญ่อายุกว่า 60 ปี รวมถึงทั่วทั้งเมืองก็จะปกคลุมไปด้วยต้นซากุระกว่า 8,000 ต้น ที่แข่งกันผลิดอกสร้างความสวยงามให้กับเมืองแห่งนี้กลายเป็นสีชมพูสดใส

ทัวร์ญี่ปุ่น Kawazu Sakura สัมผัสเสน่ห์...ซากุระแห่งแรกแห่งฤดูหนาวญี่ปุ่น

โดยเฉพาะความสวยงามของซุ้มดอกไม้กว่า 800 ต้น ที่เป็นแนวยาวเรียงรายกันบริเวณเลียบแม่น้ำ Kawazu ในช่วงนั้นเค้าก็จะมีการจัดเทศกาลชมดอกซากุระที่ชื่อว่า Kawazu Sakura Festival ซึ่งเป็นเทศกาลที่มีชื่อเสียง และดึงดูดนักทั่วเที่ยวให้มาเยี่ยมชมที่นี่อย่างไม่ขาดสายในทุกปี

ทัวร์ญี่ปุ่น Kawazu Sakura สัมผัสเสน่ห์...ซากุระแห่งแรกแห่งฤดูหนาวญี่ปุ่น

นอกจากนี้แล้วในช่วงเวลากลางคืนที่นี่ยังมีการเปิดไฟประดับที่ต้นซากุระให้ได้บรรยากาศที่สวยงามไปอีกแบบด้วย (18.00-21.00 น.)

ทัวร์ญี่ปุ่น Kawazu Sakura สัมผัสเสน่ห์...ซากุระแห่งแรกแห่งฤดูหนาวญี่ปุ่น


เมือง Kawazu, จังหวัด Shizuoka, ภูมิภาค Chubu (เข้าชมฟรี)

รวม 10 ที่เที่ยวสุดมหัศจรรย์ ต้องไปให้ได้ใน Iceland

52 Iceland L

52 Iceland Header


การที่เราจะตัดสินใจออกเดินทางไปเที่ยวที่ไหนสักแห่ง เชื่อว่าแรงบัลดาลใจของแต่ละคนนั้นเกิดขึ้นไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะเห็นจากรีวิว รูปถ่าย หรือบางคนอาจเกิดจากการดูหนัง แต่เชื่อเถอะไม่ว่าจะเกิดจากอะไร แต่จุดหมายปลายทางของแต่ละคนนั้นจะไม่ต่างกันเท่าไร..เพราะแค่ได้ก้าวออกไปในประเทศที่เราอยากไปเชื่อว่าทุกคนก็แฮปปีัสุดๆ แล้ว

วันนี้เลยอยากมาแนะนำ 1 ใน ประเทศแถบยุโรปที่เชื่อว่าต้องเป็น Destination ของคนที่อยากจะไปดูแสงเหนือสักครั้งในชีวิต นั่นก็คือ “Ice Land” ดินแดนของนักล่าแสงเหนือ รวมถึงธารน้ำแข็งที่งดงาม ทะเลสาบ น้ำตก และธรรมชาติสุดแปลกที่ดูน่าสนใจ แบบสุดๆไปเลย

ส่วนเดือนที่เหมาะสมสำหรับการชมแสงเหนือของ Iceland ขอแนะนำในช่วง เดือน ตุลาคม – มีนาคม ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เราสามารถเห็นแสงเหนือได้ดีที่สุด เพราะเป็นช่วงฤดูหนาวนั่นเอง เพราะจะมีช่วงกลางคืนยาวนานกว่ากลางวัน

ไปเที่ยว Iceland กับ Siam Orchard คลิกเลย ▷ https://siamorchardgroup.com/Iceland

Crystal Ice Cave (ถ้ำน้ำแข็งคริสตัล)

107 Iceland 2

ถ้ำน้ำแข็งที่เกิดจากการก่อตัวของหิมะทับถมกันจนเป็นภูเขาน้ำแข็งเป็นเวลานาน ว่ากันว่าที่นี่เป็นถ้ำน้ำแข็งที่สวยและใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของไอซ์แลนด์เลย น้ำแข็งในถ้ำจะมีสีฟ้าใสดุจคริสตัล ซึ่งถือว่าเป็นความสวยงามที่มหัศจรรย์ และบรรยากาศน่าถ่ายรูปมากๆ


Blue lagoon Springs (บลูลากูนหรือทะเลสาบสีฟ้า)

107 Iceland 2 Copy

น้ำพุร้อนที่มีชื่อเสียงที่สุดของไอซ์แลนด์ นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวไอซ์แลนด์จะต้องไม่พลาดกับการมาแช่บ่อน้ำร้อนแห่งนี้ เพราะเป็นสถานที่เพื่อสุขภาพระดับโลก และโด่งดังที่สุดของไอซ์แลนด์เลย และในวันที่บรรยากาศเป็นใจเราอาจเห็นแสงเหนือไปพร้อมกับการแช่น้ำแร่ที่นี่อีกด้วย แค่คิดก็ฟินแล้ว แช่ไปดูแสงเหนือไป อะไรจะดีขนาดนี้ทุกคนนน


Jokulsarlon (ธารน้ำแข็งโจกุลซาลอน)

107 Iceland 2 Copy 2

ทะเลสาบน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดของไอซ์แลนด์ เกิดจากการสระสมของธารน้ำแข็งที่ละลายจากภูเขาน้ำแข็ง และไหลลงสู่ทะเล จึงทำให้พื้นที่ถูกขยายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และยังเป็นอีกหนึ่งทำเลถ่ายทำภาพยนตร์ดังๆระดับโลก เช่น Game of Thrones รวมทั้งที่นี่ยังนับว่าเป็นธรรมชาติที่มีอยู่เพียงไม่กี่แห่งในโลก


Reynisfjara Beach (หาดทรายสีดำ)

107 Iceland 2 Copy 3

หาดทรายสีดำที่สวยที่สุดในโลก ซึ่งเกิดจากการสึกกร่อนของหินลาวาและแนวหินบะซอลต์ ที่ถูกพัดพาไปสะสมตัวบริเวณชายหาด ซึ่งบนหาดเต็มไปด้วยกรวดและทรายสีดำที่ดูสวยแปลกตามากๆ


Skogafoss (น้ำตกสโคคาร์ฟอสส์)

107 Iceland 2 Copy 4

ที่นี่เป็นอีก 1 น้ำตกที่มีชื่อเสียงที่สุดของไอซ์แลนด์ ก็ด้วยบรรยากาศที่งดงามของน้ำตก ปนกับแสงแดด และสายรุ้ง ทำให้ได้บรรยากาศที่สวยจับใจมากๆ และด้วยความสวยงามน้ำตกแห่งนี้จึงกลายเป็นทำเลหลักในการถ่ายทำภาพยนตร์หลายเรื่องเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น Thor 2, The Secret Life of Walter Mitty เป็นต้น


Myrdalsjokull Glacier (ทุ่งน้ำแข็งเมียร์ดาลส์โจกูล)

107 Iceland 2 Copy 5 (1)

ทุ่งน้ำแข็งเมียร์ดาลส์โจกูล เป็นดินแดนที่อยู่จุดสูงสุดของโลก มีความกว้างใหญ่เป็นอันดับ 4 มีพื้นที่กว่า 596 ตารางกิโลเมตร ซึ่งมีกิจกรรมให้เราเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ มากมายไม่ว่าจะเป็น ขับรถสโนว์โมบิลตะลุยไปในทุ่งน้ำแข็ง หรือชมถ้ำน้ำแข็งสีสันสดใส


Svartifoss (น้ำตกสวาร์ติฟอส หรือน้ำตกดำ)

107 Iceland 2 Copy 6

น้ำตกที่อยู่ในอุทยานแห่งชาติสกาฟตาเฟลล์ (Skaftafell National Park) เป็นอีกหนึ่งน้ำตกที่สวยงาม แปลกตา และไม่เหมือนที่ใด


Gullfoss (น้ำตกกุลล์ฟอสส์)

107 Iceland 2 Copy 7

หรือไนแองการ่าแห่งไอซ์แลนด์ อีกหนึ่งน้ำตกที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆของไอซ์แลนด์ 1 ใน 3 ของเส้นทาง “วงแหวนทองคำ” และ 1 ในความมหัศจรรย์ของธรรมชาติระดับโลกที่เกิดจากการละลายของธารน้ำแข็ง ซึ่งเป็นความสวยงามที่หาดูได้ยากมากๆ เหมือนกัน


Diamond Beach (หาดไดมอนด์บีช)

107 Iceland 2 Copy 8

หาดทรายสีดำที่มีก้อนน้ำแข็งน้อย ใหญ่ ลอยจากธารน้ำแข็งมาเกยบนชายหาด เมื่อน้ำแข็งบนหาดแห่งนี้ตกกระทบกับแสงก็จะสะท้อนแวววาวเหมือนเพชรที่วางเรียงรายอยู่เต็มชายหาด เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่งดงามแปลกตาที่สุดในไอซ์แลนด์ ซึ่งหาดทรายแห่งนี้อยู่ในบริเวณของธารน้ำแข็งโจกุลซาลอน


Hallgrimskirkja (โบสถ์ฮัลล์กรีมสคิร์คยา)

107 Iceland 2 Copy 9

โบสถ์ที่สูงที่สุดในไอซ์แลนด์ ซึ่งสร้างตามแบบสถาปัตยกรรมแนวอิมพราสชั่นนิส ซึ่งใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างถึง 38 ปี ถือว่าเป็นจุดชมวิวที่งดงามแห่งหนึ่ง ซึ่งด้านล่างเราสามารถชมวิวเมืองเรกยาวิคได้อีกด้วย