FROM BEIJING TO SAIBERIA EP. 3/3 ทริปสุดท้ายก่อนโควิด (ไบคาล…ทะเลสาบอันเก่าแก่แห่งไซบีเรีย)
เรื่องเล่าต่อเนื่องจากครั้งที่แล้ว… > EP.1/3 FROM BEIJING TO SAIBERIA ทริปสุดท้ายก่อนโควิด >EP. 2/3 FROM BEIJING TO SAIBERIA ทริปสุดท้ายก่อนโควิด(มองโกเลีย…ดินแดนแห่งที่ราบ และความหนาว)
หลังจากตอนที่ 2 และ 3 ที่เราเดินทางผ่านปักกิ่ง มาจนถึงมองโกเลีย ได้เวลาออกเดินทางอีกครั้ง สถานีต่อไปและสถานีสุดท้าย ไซบีเรีย รัสเซีย ครั้งนี้จะเป็นของจริงแล้วกับการได้นั่งรถไฟเส้นทางในฝัน “ทรานไซบีเรีย” ซึ่งแม้ว่าเราจะไม่มีโอกาสเดินทางไปจนสุดทางรถไฟสายนี้ที่มอสโค แต่ก็ได้ชื่อว่านี่คือการนั่งรถไฟไกลที่สุดของชีวิตแล้ว….
แพลนคร่าวๆของเราคือนั่งรถไฟสายทรานไซบีเรีย 1 คืน จากอูลานบาตอร์ มองโกเลีย-เมืองอีร์คุตสค์ รัสเซีย > พักที่เมืองอีร์คุตสค์ (Irkutsk) 1 คืน > เที่ยวทะเลสาบไบคาล > พักที่เกาะโอลคอน (Olkhon Island) 2 คืน > กลับไปพักที่เมืองอีร์คุตสค์ 1 คืน > นั่งเครื่องกลับไทย
ได้เวลาโบกมือบ๊ายบายกับคุณไกด์มองโกเลียแล้ว ดูแลพวกเราได้ดีมากเสมือนพ่อ ซึ่งจนถึงวินาทีนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าไกด์ชื่ออะไร จากนั้นกลับมารุงรัง ทุลักทุเลอีกครั้งกับข้าวของที่เต็มไปหมด มากัน 8 คนเหมือนมาเป็นสิบ หลังจากที่จัดแจงข้าวของเสร็จ ก็ได้เวลาที่จะพักผ่อนไปกับการนั่งมองสองข้างทางแบบเรื่อยเปื่อย
ตู้รถไฟสายทรานไซบีเรียจากมองโกเลีย-ไซบีเรีย ไม่ต่างจากตู้รถไฟที่นั่งมาจากจีนเท่าไหร่นัก ขนาดพื้นที่ในการเก็บสัมภาระพอๆกันเลย คือเก็บใต้เตียงนอนของชั้นล่าง แต่มีความรู้สึกว่าตู้นอนของรัสเซียอันนี้จะกว้างกว่า และดูใหม่กว่านิดหน่อยค่ะ
มานั่งมองวิวข้างนอกแบบเรื่อยๆ…มองโน่นมองนี่ มองบรรยากาศที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ บ้านเรือนที่ต่างออกไปจากบ้านแบบปูน เป็นบ้านเรือนแบบไม้ และรั้วไม้แบบง่ายๆ แค่นั่งมองแบบนี้ก็เพลินตาแล้ว รู้ตัวอีกทีก็ใกล้มืดแล้ว
ระหว่างช่วงที่ต้องผ่านแดนจากมองโกเลียเข้าสู่รัสเซีย การผ่านแดนก็ไม่ได้ต่างจากที่ผ่านที่ปักกิ่งเข้ามองโกเลีย ก็คือจะมีเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจถึงหน้าประตูตู้ และขอพาสปอร์ตของทุกคน จากนั้นก็เช็คพาสปอร์ตรงหน้าประตูห้องเลย ซึ่งก่อนหน้าที่จะผ่านออกจากเขตมองโกเลียนั้นมีเจ้าหน้าที่นายสถานีเดินมาบอกก่อนว่าให้อยู่แต่ในห้องตัวเองและปิดประตูด้วย
ในระหว่างการผ่านออกจากมองโกเลียไม่ได้ตรวจเข้มมากเท่าไหร่ แต่…. ด่านต่อไปที่ต้องตรวจตอนผ่านแดนเพื่อที่จะเข้าสู่รัสเซียนั้น ตรวจเข้มมาก มีให้เปิดกระเป๋าสัมภาระที่อยู่ใต้เบาะนอนด้วย แต่เป็นการสุ่มตรวจ สิ่งรู้สึกได้ทันทีว่านี่แหละรัสเซียก็คือเจ้าหน้าที่ดุมาก หน้านี่ตึงสุดๆตามสไตล์ชาวรัสเซียที่ยิ้มยาก แถมดุเราด้วย แค่เพราะยกกระเป๋ามาให้ตรวจช้า ก็มันหนักนะใจเย็นสิคะ 555
หลังจากที่การตรวจเรียบร้อยผ่านไปแล้วระหว่างที่เจ้าหน้าที่ตรวจห้องอื่นๆอยู่นั้น มีเจ้าหน้าที่อีกทีมขึ้นมาเพื่อวัดอุณหภูมิร่างกายซึ่งตอนนั้นแน่นอนว่าไม่ปกติ นั่นก็เพราะตู้เราในระหว่างนั่งรถไฟมานั้นดื่มกันมาตลอดทางนั่นเอง ทำให้มีอุณภูมิร่างกายที่ไม่ปกติ ซึ่งไม่ว่าจะตรวจกี่ครั้งๆ อุณภูมิก็ไม่ปกติ จนเจ้าหน้าที่เริ่มมีการพูดคุยปรึกษากัน ในใจเราก็คิดว่าเอาแล้ว…เซอร์ไพรส์ชัวร์ แต่อยู่ๆเจ้าหน้าที่ๆดูแลรถไฟประจำตู้ของเราก็เหมือนพูดออกมาว่าพวกเค้าดื่มเบียร์ ดื่มเหล้ากัน ตม.ก็เลยเข้าใจแล้วก็เดินต่อไปที่ตู้อื่น แต่พวกเราก็สงสัยกันว่าทำไมต้องตรวจอุณหภูมิร่างกายด้วย แต่ก็ทิ้งความสงสัยไว้(หารู้ไม่ว่าอะไรรอเราอยู่หลังจากนี้)
หน้าตาของตั๋วรถไฟ จะมีรายละเอียดบอกประมาณนี้ค่ะ
ช่วงที่ตรวจ ตม.รัสเซียเนี้ยนานมาก นานจนปวดห้องน้ำ จนไม่ไหวเดินไปบอกเจ้าหน้าที่ประจำตู้นอนของเราว่าเราปวดห้องน้ำ แต่ถูกปฏิเสธกลับมาว่าระหว่างรถไฟจอดไม่สามารถใช้บริการห้องน้ำได้ แต่คือมันไม่ไหวแล้วค่าาาา… ท้ายที่สุดใช้ความกล้าเดินไปหาเค้าอีกทีแล้วบอกเค้าแค่คำเดียวว่า Please…. เจ้าหน้าที่ยิ้มออกมาทันทีและเดินทางเปิดห้องน้ำให้ เพราะเค้าล็อคไว้ตอนก่อนรถไฟจอด
วินาทีนั้นวิ่งสิคะรออะไร และเราก็ได้รู้ว่าไม่ใช่เรากลุ่มเราที่ปวดห้องน้ำ เจ้าหน้าที่ประจำตู้นี้เป็นผู้หญิง หน้าดุไม่ค่อยยิ้มตามสไตล์ชาวรัสเซีย แต่ใจดีมากกกก…
ยิ่งนั่งไปยิ่งมีแต่ความขาวโพลนของหิมะเต็มไปหมด
เช้าแล้วแต่หลายคนยังอยากซุกตัวในผ้าห่มอุ่นๆนั่น อันนี้เค้ามีให้นะคะสำหรับผ้าห่ม กับผ้าปูสีขาวๆสะอาดค่ะ แล้วก็เห็นเบาะนอนไหมคะขบวนนี้สามารถพับเบาะจากที่พิงเป็นเตียงนอนนุ่มๆได้ ค่อนข้างนุ่มกว่าที่นั่งมาจากจีนค่ะ แต่ถ้าไม่นอนก็สามารถพับขึ้นเป็นที่พิงข้างหลังได้ค่ะ
ถึงเวลาสำรวจตู้เสบียง ตู้เสบียงของรัสเซียค่อนข้างปกติไม่ได้มีอะไรแปลกแค่หน้าตาของเจ้าหน้าที่จะออกเป็นชาวผมทองแค่นั้นเอง ได้เวลาสั่งอาหารแล้ว อาหารมื้อนี้ค่อนข้างราคาสูงก็อาหารบนรถไฟอะนะ แต่ไม่มากนักอาจจะเพราะว่าเราเจอกับค่าครองชีพที่มองโกเลียมาก็เลยอาจจะยังไม่ชิน
สำหรับอาหารที่ตู้เสบียงนี้จะไม่สามารถสั่งได้ทุกเมนู เพราะเค้าจะทำเฉพาะบางเมนูเท่านั้น และที่สำคัญที่จะไม่มีใครลืมเด็ดขาดคือน้ำพริก น้ำจิ้มปลาดุกที่พกมาจากไทย
เห็นคุณพี่เจ้าหน้าที่เค้าดูสนใจเป็นพิเศษก็เลยแบ่งให้เค้าเอาไปลองทานเค้าดูอยากลองน้ำพริกของไทยอยู่ไม่น้อย ย้ำแล้วย้ำอีกว่าเผ็ดนะคะคุณ
หน้าตาอาหารบนรถไฟสายนี้ก็จะประมาณนี้ มาพร้อมกับน้ำอัดลมที่ไม่มีน้ำแข็ง จากนี้ไปเราจะไม่เจอน้ำแข็งแค่เฉพาะในแก้วน้ำอีกต่อไปแล้ว
อิ่มแล้วกลับตู้ได้ รถไฟขบวนนี้ก็เหมือนขบวนที่ผ่านมาคือเอาตู้อาหารไว้เกือบสุดขบวนกว่าจะมาถึงต้องผ่านความหนาวมาตั้งกี่รอบ ต้องบอกก่อนว่าบนรถไฟจะอุณภูมิอุ่นจนสามารถใส่เสื้อผ้าปกติเหมือนอยู่บ้านเราได้เลย
และที่สำคัญทุกตู้ก็จะมีที่กดน้ำร้อนให้บริการฟรีแบบนี้ จะมีไฟสีเขียวๆอยู่นั่นแปลว่าพร้อมสำหรับกดได้แล้วค่ะ ถ้าเป็นสีแดงแปลว่ายังไม่ร้อนค่ะ
เมื่อรถไฟผ่านเมืองต่างๆเราก็จะเห็นวิถีชีวิตของข้างทางที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ส่วนตัวชอบนะความรู้สึกนี้แม้จะไม่ได้ทำอะไรเป็นเรื่องเป็นราวระหว่างนั่งรถไฟเลยก็ตาม
ช่วงเวลาที่นั่งอยู่บนรถไฟเป็นวันๆมันเป็นความรู้สึกที่ทำให้เราคิดว่าเสมอว่าเรามาไกลขนาดนี้ได้ไงนะ
คนทำรถไฟสายนี้ก็เก่งนะ ผ่านผู้คน ผ่านดินแดนที่ต่างออกไป ผ่านภูเขาสูง ผ่านแม่น้ำ ผ่านอากาศที่แตกต่าง ผ่านผู้คนจากผมสีดำ เป็นผมสีทอง ตาสีฟ้า คิดๆแล้วก็สุขใจนะ
ถึงเวลาที่เราต้องเตรียมตัวบอกลาการนั่งรถไฟสายทรานไซบีเรียแล้ว เพราะเรากำลังจะเดินทางถึงสถานีที่เราปักหมุดไว้แล้ว สถานีเมืองอีร์คุตสค์ จริงๆเรียกได้ว่าปลายทางจุดมุ่งหมายของทริปนี้จะเป็นที่นี่เลย เพราะว่าพวกเราอยากที่จะมาเห็นทะเลสาบน้ำจืดที่ลึกที่สุดในโลกเป็นน้ำแข็งสักครั้ง นั่นคือทะเลสาบไบคาล
เก็บข้าวเก็บของ เตรียมตัวอัดเสื้อผ้าให้แน่น ใช้ประสบการณ์จากครั้งที่เราลงจากรถไฟที่มองโกเลียให้เป็นประโยชน์ ลงปุ๊บหนาวสะท้าน ครั้งนี้เราต้องรอด
แต่งตัวรอแล้วค่ะ อีกนิดเดียวก็จะถึงแล้วตื่นเต้นๆ …อากาศจะเป็นไงนะ นี่ไซบีเรียหรอ ตื่นเต้นไปหมดเลย
สวัสดีรัสเซีย สวัสดีอีร์คุตสค์ เมืองที่ได้ชื่อว่าประตูแห่งไซบีเรีย ก้าวขาลงมาปุ๊บเอ๊ะไม่ อากาศก็ไม่เท่าไหร่นะ -15 เอง สบายๆ ได้เวลาผจญภัยอีกแล้ว
ที่นี่เรานัดเอเจนท์ให้มารับเพื่อที่จะไปส่งเรายังที่พัก เนื่องจากว่าเรามาถึงช่วงบ่ายๆแล้ว ก็เลยต้องพักที่อีร์คุตสค์ก่อน 1 คืนแล้วค่อยไปทะเลสาบไบคาลในวันพรุ่งนี้
สถานีนี้รู้สึกว่ารถไฟจอดนานอยู่นะคะ เพราะพอพวกเราลงมาจากรถไฟแล้วก็วุ่นวายกันอยู่ตรงชานชลานี้พอสมควรค่ะ วุ่นวายกับกระเป๋า วุ่นวายกับเสื้อกันหนาว ตื่นเต้นอีกต่างหาก555
กว่าจะวุ่นวายเสร็จ อ้าวคืนอื่นๆเดินไปหมดแล้ว ไปทางไหล่ะเนี้ย เดินงงๆไปค่ะ
ด้านหน้าสถานีค่ะ นัดกันไว้แถวนี้ พอเดินมาเอเจนท์ที่นัดไว้ว่าจะมารับก็เดินเข้ามาหาเลย เอะรู้ได้ไงเนาะ
ที่พักที่เราเลือกจะเป็นที่พักแบบเกสเฮาส์ โอววว..บันได ตอนจองมาก็ลืมคิดถึงบันไดกับกระเป๋าเดินทางหนักกว่า 20 โล แต่ไม่เป็นไรเพราะผู้ชายเยอะ 5555
เช็คอินเสร็จ อะตกใจกันอีกรอบเพราะห้องที่เราได้เป็นห้องใต้หลังคา ต้องแบกกระเป๋าขึ้นบันไดวนแคบๆเพื่อขึ้นไปบนหลังคา อันนี้เราบอกเผื่อไว้เพราะถ้ามีโอกาสไปเส้นทางนี้จะได้คิดเผื่อเรื่องที่พัก แต่ที่นี้ข้อดีคือถูก และที่ชอบที่สุดคือ วิวดีมาก…อันนี้มองจากหน้าต่างห้องนะเนี้ย
และใกล้กับถนนคนเดินอยู่ด้านหลังเลย มีร้านอาหารเยอะแยะไปหมดด้วย มองจากมุมฝั่งนี้จะเห็นค่ะ มีถนนย่านร้านอาหาร ห้าง ร้านขนม เยอะแยะมากมาย
ห้องที่เราได้จะประมาณนี้เป็นห้องใต้หลังคา 2 ห้องหันหน้าเข้าหากันเดินหากันได้ มีห้องน้ำในตัวทั้ง 2 ห้องค่ะ อันนี้เป็นห้องฝั่งผู้ชาย 1 เตียง กับ 1 โซฟา สักพักก็จะมีมาดามที่ดูแลห้องพักที่นี่เข้ามาขอทำเตียงเสริมให้ทั้ง 2 ห้อง
ได้เวลาออกสำรวจเมืองอีร์คุตสค์กันแล้ว ก่อนออกจากที่พักอย่างแรกเลยทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอากาศที่นี่อุ่นกว่าที่มองโกเลียเยอะเลย แค่-15 เอง ดังนั้นบางคนในกลุ่มทำการลอกคราบเอาเสื้อกันหนาวออกไปบางชั้น แต่สำหรับเราคิดว่านี่ก็บ่ายกว่าๆแล้ว เผื่อว่าไปเดินจนมืดแล้วหนาวกว่าเดิม แต่ความจริงเป็นข้ออ้างของเราเองเพราะกว่าจะใส่ได้แต่ละชั้นก็เลยขี้เกียจไม่อยากถอดแล้วใส่เป็นแหนมต่อไป
เดินเล่นในเมืองเพลินๆ มีรถรางด้วย อย่างแรกเลยที่สะดุดตากับที่นี่คือ บรรยากาศเหมือนอยู่ยุโรปเลย
ทั้งผู้คน บรรยากาศ บ้านเรือน ร้านค้าต่างๆ และที่สำคัญผู้คนที่นี่หน้าตาดีมาก ผู้หญิงสวย สูงยาวเข่าดี ผู้ชายหล่อ เข้ม สูง หน้าตาดีกันหมดเลยค่ะ
ที่แรกโบสถ์ที่สะดุดตา ไม่ได้หาข้อมูลมาก่อน แต่เท่าที่ดูแล้วน่าสนใจ เลยชวนกันข้ามถนนไปดูกันค่ะ
คนที่นี่แต่งตัวสไตล์นี้ใช่เลย นี่เราอยู่รัสเซียจริงแล้ว บริเวณโบสถ์หิมะเต็มไปหมด
รู้ว่าอากาศจะไม่ได้หนาวเท่ากับที่มองโกเลีย ถามว่าหนาวมากไหม หนาวแต่ทนได้ ไม่ได้ถึงขั้นสั่นเท่าไหร่
เอะ….!! ต้นคริสมาสยังอยู่เลย
และเหมือนเดิมขนาดเอาน้ำแข็งมาตั้งไว้ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ไม่มีละลาย555
ในโบสถ์ต้องสงบนะคะ ห้ามเสียงดังโวยวาย เดี๋ยวโดนดุ เราโดนมาแล้วค่ะ
ช่วงนี้ก็เริ่มแดดน้อยลงไปแล้ว เหมาะกับการถ่ายรูป เดินเล่น
บ้านเรือนไม้แบบนี้ถือว่าเก่าแก่นะคะ สไตล์แบบโลวคอลเลย แม้อยู่ในเมืองนะเนี้ย
ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในยุโรปจริงๆนะคะ อยากอยู่เที่ยวในเมืองนี้ต่ออีกสัก 2-3 วันเลย มันน่าเดินเล่นเพลินๆ
มาถึงตรงรูปปั้น Babr Monument สัญลักษณ์ของเมืองค่ะ ตรงจุดนี้เป็นเสมือนจุดนัดพบที่ดีนะคะ เพราะว่าเด่นชัดเลยค่ะ อยู่ตรงกลางหัวมุมถนนพอดีเลยค่ะ ตรงจุดนี้ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองค่ะ เมืองอีร์คุตสค์ ถือว่าเป็นเมืองใหญ่ค่ะที่สามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้อย่างสบายๆ ที่นี่เรียกได้ว่าเป็นประตูของไซบีเรียเลยก็ว่าได้ สิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนจะเป็นทะเลสาบไบคาลที่มีชื่อเสียงระดับโลกค่ะ
เห็นถนนที่อยู่ข้างหลังนั่นไหมคะ ถนนที่ครึกครื้นนั่นแหละค่ะที่เราบอกว่าอยู่ข้างหลังที่พักเราเลย ไว้เดินเล่นเสร็จจะกลับมาหาอะไรกินแถวๆนี้ค่ะ
มาถึงตรงนี้ก็จะคิดละว่าเอาไงต่อดี ก่อนมาเราศึกษากันมาแล้วว่าเราอยากไปที่ไหนบ้างแต่ทั้งนี้เรามาถึงก็บ่ายเกือบเย็นแล้วเวลาอาจจะไม่พอที่จะเก็บทั้งหมดได้ และพรุ่งนี้เราก็จะต้องไปไบคาลแล้ว ดังนั้นพวกเราเลยทำการโหวตว่าจะไปที่ไหนดีระหว่าง ย่านบ้านเรือนไม้เก่าแก่สไตล์ไซบีเรียนที่เป็นสัญลักษณ์ของที่นี่ หรือริมแม่น้ำเพื่อไปดูแม่น้ำที่แข็งเป็นน้ำแข็ง คิดว่าเราจะไปที่ไหนคะ 555 ก็คนเมืองร้อนแบบเราๆอ่านะ เลือกเดินเล่นริมแม่น้ำค่ะ ไปกัน
ความสุขมันไม่ได้อยู่ที่ไหนเลยนะเราว่ามันอยู่ระหว่างทางที่เราจะเดินไป เดินเล่นคุยกัน มองโน่นนี่ ชี้ให้ดูความแปลกตาต่างๆแล้วมาตั้งคำถาม ถามกันว่า เธอว่านั่นอะไร เธอว่าที่นี่เป็นอะไร เธอว่าตึกนั้นเป็นตึกอะไร นี่ก็เป็นความสุขมากๆอย่างหนึ่งของการเดินทางของเรานะ
แค่การมองดูผู้คนแต่งตัวแฟชั่นฤดูหนาวของที่นี่ก็เพลินตาแล้วแหละ
มาถึงปุ๊บ…โหหหห แม่น้ำกลายเป็นน้ำแข็งทั้งหมดเลย ตื่นตาตื่นใจคนเมืองร้อนแบบเราสุดๆ สงสัยจังว่าอากาศมันก็ไม่ได้หนาวขนาดนั้น แม่น้ำทั้งแม่น้ำกลายเป็นน้ำแข็งได้ยังไงนะ แข็งแบบว่าคนที่นี่ใช้ในการสัญจรโดยการเดินข้ามไปฝั่งตรงข้ามโดยที่ไม่ต้องอ้อมไปขึ้นสะพานเลยค่ะ
และแล้วก็ได้รู้สาเหตุการแข็งของแม่น้ำ ที่นี่หนาวมาก หนาวที่สุด หนาวจนถึงขั้วหัวใจ
ไอ้ที่บ่นๆว่าหนาวที่มองโกเลียนั้นเล็กน้อยไปเลย นั่นก็เพราะตรงจุดนี้ลมแรงมาก เมื่อรวมกันกับความหนาวแล้วล่ะก็ อยู่ที่นี่ไม่น่าเกิน 10-15 นาที ตอนนี้ รู้แล้วว่าทำไมน้ำที่นี่เป็นน้ำแข็ง
ใกล้มืดแล้ว ไปหาอะไรกินกันตรงย่านหลังที่พักค่ะ กลับมาอีกทีมืดปุ๊บครึกครื้นกว่าเดิมอีก แล้วนี่ก็พึ่งรู้ว่าที่นี่เทศกาลคริสมาสจะช้ากว่าที่อื่นๆ
ดังนั้นที่นี่จะผ่านเทศกาลคริสมาสมาหมาดๆเลยไม่ใช่ช่วงปลาย ธ.ค. ถึงว่าตะกี้ที่โบสถ์ก็มีต้นคริสมาส และถนนเส้นนี้ก็ประดับประดาไฟสว่างสวยงามเต็มไปหมด
มาถึงไซบีเรียทั้งทีมื้อนี้ก็ต้องเป็นอาหารท้องถิ่นสินะ ร้านที่เราเลือกเป็นร้านอาหารท้องถิ่น เข้ามาในร้านอยู่ชั้นล่างค่ะ ลึกลับดี
เข้ามาแล้ว… ร้านแต่งได้สวยงามเพราะอย่างที่บอกว่าพึ่งจะผ่านเทศกาลคริสมาสมาหมาดๆ มาถึงร้านถามว่าจองไว้ไหม ตอบเลยว่าไม่ แล้วพนักงานก็คุยปรึกษากันเพราะเท่าที่ดูจากลูกค้าในร้านที่มองเราแปลกๆแล้วตอนแรกก็รู้สึกงง ว่าทำไมมีแต่คนมองเรา หรือเพราะเราเป็นนักท่องเที่ยว สุดท้ายก็จบตรงที่อาจจะต้องให้เราแยกโต๊ะเนื่องจากว่าส่วนใหญ่จะมีการจองโต๊ะไว้หมดแล้ว และที่นี่เมนูจะไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าไหร่ ดังนั้นสิ่งที่เราทำแค่สั่งอะไรที่คิดว่าจะกินได้ไม่ยาก เช่น ไก่ หมู ปลา
ระหว่างที่รอเมนูหลักที่เราสั่งไปบนโต๊ะก็จะมีขนมปัง และซุปอะไรซักอย่างให้ระหว่างรอ อันนี้อร่อยมากกก อร่อยกว่าเมนูที่สั่งทานอีก อร่อยจนไม่มีรูปถ่ายอะคิดดู 555
และมีอีกอย่างที่ทางร้านจะวางไว้ให้ทานได้ระหว่างรอคือเหมือนลูกอม รสชาติจะค่อนๆไปทางคาราเมลละลายในปากเลย อร่อยเพลินจนลืมเมนูที่สั่งเลย และนี่คือหน้าตาอาหารของโต๊ะเรา
เราตกลงกันว่าจะสั่งมาแชร์กันค่ะ หน้าตาเมนูแรก ตอนแรกน้องที่สั่งเมนูนี้ค่อนข้างทานยากหน่อย น้องเค้าน่ารักให้เหตุผลที่เลือกเมนูนี้ว่าเลือกปลาเซฟสุดยังไงก็กินได้ แต่ผลที่ออกมาคือ เซฟจริง เซฟไว้เลยอ่าค่ะ เพราะทานไม่ได้ ชื่อเมนูนี่รู้สึกว่าจะเป็น Baikal traditional fish อะไรสักอย่าง หน้าตาดีนะคะ แต่ด้านในเป็นแบบปลาที่ยังดิบอยู่เลยค่ะ
ต่างกันกับตากล้องของเราลิบลับที่ดันเลือกทานเมนูแปลกซะงั้น เป็นเมนูซุปลูกวัวอะไรซักอย่างนี่แหละค่ะ หน้าตาจะประมาณนี้ ข้างบนจะโป๊ะด้วยแป้งแผ่นบางๆทานคู่กันค่ะ อันนี้ก็ทานยากอยู่เหมือนกัน555
ส่วนอันนี้รอดค่ะ ไก่ย่างเสริฟพร้อมน้ำจิ้ม..หวานๆค่ะ แอบคล้ายน้ำจิ้มแจ่วของไทยอยู่นะ
หลังจากอิ่มอร่อยเรียบร้อยแล้วก็ต้องตามด้วยการช้อปปิ้ง เนื่องด้วยว่าทุกคนเจอกับสภาพอากาศที่โหดร้ายจากแม่น้ำกันมาทำให้แต่ละคนค่อนข้างเพลียค่ะ โดยเฉพาะสมาชิกคนที่บอกว่าเอาเสื้อผ้าออกสัก 1-2 ชั้นเพราะอากาศที่นี่แค่ -15 อุ่นกว่า เป็นไงล่ะ 555
เราพากันเดินทางซุปเปอร์มาร์เก็ตจนถอดใจ สุดท้ายจะกลับแล้วเลยแวะเข้าห้างซักหน่อย เอะข้างในมีซุปเปอร์มาร์เก็ตหนิ โอ๊ยให้หาตั้งนาน มาซ่อนอยู่ในห้างนี่เอง มาค่ะช้อปกัน ตู้นี้เหมาาาให้หมด …
กลับถึงที่พักอยากดื่มน้ำเย็นๆก็สามารถเปิดหน้าต่างเพื่อเอาเครื่องดื่มแช่เย็นได้เลยนะคะ ตามรูป แป๊บเดียวเท่านั้นเย็นจัดเลยค่ะ^^
เช้าวันใหม่ วันนี้เราต้องออกไปไบคาลแล้ว ไปพักที่เกาะโอคอลเกาะบนทะเลสาบไบคาล 2 คืน แล้วจะกลับมาพักที่นี่ต่ออีก 1 คืนก่อนกลับไทยค่ะ แต่จะไม่มีใครฝากของไว้เลยเพราะอะไรน่ะหรอ เพราะกลัวว่าที่เตรียมมาจะไม่พอดี เลยขนไปให้หมดสำหรับสัมภาระที่มี
และที่พักที่เราจองมารวมเรื่องของมื้อเช้าไว้แล้วหน้าตาจะประมาณนี้ค่ะ
ก่อนถึงเวลานัดไกด์ของเรา พร้อมรถก็มารอรับเราที่หน้าที่พักแล้ว บ๊ายบายอีร์คุตสค์
เจอหน้าไกด์ของเราก็บ่นเลยค่าาาา…ไกด์เค้าบอกว่าทำไม่ไม่ใส่หมวกกัน รู้ไหมว่าการใส่หมวกกันหนาวของเราไม่ใช่แค่กันหนาว แต่สามารถกันเชื้อแบคทีเรียต่างๆที่มีโอกาสมาได้ทางอากาศ เพราะฉะนั้นทุกคนเมื่อออกมาอยู่ข้างนอกอยากให้ใส่หมวกกันทุกคน แต่ไอ้เราๆก็คิดกันว่าแป๊บเดียวแค่ขนกระเป๋าลงมาเองเดี๋ยวก็ขึ้นรถแล้ว แต่คุณไกด์ก็ยังซีเรียสอยู่ดี ฟังดูแล้วก็แปลกๆนะคะ แต่ก็เอาเหอะเชื่อเค้าค่ะ เค้าหวังดี
นั่งรถชมวิวไปเพลินๆ แทบจะไม่ค่อยมีรถคันอื่นเลยนานๆทีจะมีรถสวนสักคัน มองออกไปนอกหน้าต่างขาวโพลนไปหมด เราคอยแต่เอามือทาบกับกระจกหน้าต่างรถเพื่อเช็คสภาพอากาศข้างนอกอยู่เรื่อย ระหว่างนั่งคิดอยู่ตลอดเลยว่าอากาศข้างนอกเป็นยังไงนะ ทำไมรถพวกนี้วิ่งได้ในสภาพอากาศขนาดนี้นะ
และแล้วก็ถึงจุดที่ดีใจละ เพราะไกด์บอกว่าเดี๋ยวเราจะแวะเข้าห้องน้ำ เรานี่ตื่นเต้นเลยเพราะนักงมาซักพักละ แล้วก็อากาศเย็น ดื่มน้ำเยอะก็ไม่ได้ ไม่ดื่มก็ไม่ดี เพราะเราไม่อยากป่วยเดี๋ยวจะเที่ยวไม่สนุก ปวดฉี่แต่ก็ต้องอดทนมาซักพักนี่ถ้าไม่มีน้องเค้าเดินไปบอกว่าปวดฉี่คุณไกด์จะแวะให้ไหมเนี่ย
แวะปั้มแรกก็เซอร์ไพรส์เลยค่ะ ปกติแล้วห้องน้ำจะมีตามร้านสะดวกซื้อในปั้มน้ำมันค่ะ แต่เพื่อไม่ให้เป็นการน่าเกลียดก็อาจจะซื้อของเค้านิดๆหน่อยๆ แล้วก็ค่อยเข้าห้องน้ำ ธรรมเนียมก็คล้ายๆกับโซนฝั่งยุโรปหลายๆประเทศนะคะแต่…ที่เราแวะเค้าไม่ให้เข้ายังไงก็ไม่ให้เข้า ไม่ว่าไกด์จะพูดยังไง คุณไกด์เองก็ออกอาการไม่พอใจว่าทำไม จนสุดท้ายเราก็ต้องเปลี่ยนที่ค่ะ ขับไปต่อเพื่อเข้าปั้มต่อไป เราแอบเห็นไกด์มีเขียนเอกสารใบคอมเพลนปั้มที่พนักงานไม่ให้เราเข้าด้วย คิดอยู่ในใจว่าสาเหตุที่แท้จริงเพราะเราเป็นเอเชียรึเปล่านะ แต่ก็ไม่กล้าถามไกด์ออกมาค่ะ
แต่ก็นะ เรามาเจอปั้มใหม่ที่น่าสนใจกว่าขนมเยอะแยะเลย
พนักงานที่นี่ก็ต้อนรับดีมาก และที่สำคัญที่นี่มีคอฟฟี่ช้อบบบ…คิดถึงกาแฟมาก พอเราสั่งกาแฟปุ็บ ไกด์ก็เริ่มทำงาน “กาแฟที่นี่อร่อยมากเธอคิดถูกแล้วที่ลอง” เราคิดในใจว่าขนาดนั้นน…ซดปุ๊บโอ้วเรื่องจริงค่ะ กาแฟดี หอมมากชอบๆ คิดแล้วอยากกินอีก^^
ระหว่างทางไกด์บอกว่าจะแวะสักที่แหละ แต่เราเอาแต่ถ่ายรูปถ่ายวีดีโอ เลยไม่ได้ตั้งใจฟังว่าที่นี่คืออะไร555
แต่ได้ยินแว่วๆว่าเหมือนตำนาน อะไรซักอย่างที่เมื่อก่อนเชื่อว่ามีนางเงือกในทะเลสาบไบคาลประมาณนี้มั่ง555 ไม่เอาความรู้เลยเราเนี้ย
นั่งไปซักพักก็เริ่มเห็นวิวเหมือนจะเป็นทะเลสาบไกลๆ เรื่มรู้สึกว่าใกล้ถึงแล้ว อันนี้ไกด์แวะให้ระหว่างทางค่ะ ข้างหลังนั่นคือไบคาลแล้วนะคะ
อากาศตอนนี้ไม่เท่าไหร่ค่ะ
ชอบตรงที่ไกด์แวะให้ถ่ายรูประหว่างทางนี่แหละ
มองไบคาลจากไกลๆ ลิบๆ
รถไม่มีซักคัน นานๆจะมาทีหนึ่ง
รู้สึกเองได้ว่าน่าจะใกล้ถึงท่าเรือแล้วค่ะ เพราะเริ่มมีหมู่บ้านแล้ว
โอ๊ยยยย…บรรยากาศแบบนี้ชอบบบบ….
พอรถจอดปุ๊บทุกคนก็คอยืดคอยาว มองข้างหน้าว่าถึงรึยัง ไกด์บอกโอเค ก็ตื่นเต้นกันใหญ่เลย เพราะว่านี่คือท่าเรือจากนี้เราจะนั่งเรือโฮเวอร์คราฟต์ ( Hovercraft) หน้าตาแบบนี้เลย เป็นเหมือนเรือที่ใช้วิ่งบนน้ำแข็งค่ะ จริงๆแล้วเรือแบบนี้สามารถวิ่งได้บนน้ำได้ด้วยนะคะ
เข้าไปนั่งกันได้ครบทุกคนเลย ระหว่างนี้ไม่ได้มีใครสนใจเรือเลย สนใจแต่พื้นน้ำแข็งใสๆที่ลงไปเดินได้นี่อย่างเดียวเลยค่ะ ไกด์ก็คงแบบงงๆว่าตื่นเต้นอะไรกันนักหนา
พอเรือพร้อมไกด์ก็เรียกพวกเราลงเรือ นั่งกันได้ครบทุกคนค่ะรวมไกด์แล้วก็เกือบเต็มคัน ขึ้นไปปุ๊บก็มีเรื่องให้ตกใจอีกแล้วเพราะเค้าเอากระเป๋าพวกเราทุกคนวางไว้ข้างนอกตรงข้างๆ นะคะ รูปนี้จะเห็นได้ชัดเห็นไหมคะเค้าวางกันแบบนี้เลย วางไว้เฉยๆเลยค่ะ ไม่มัดอะไรทั้งนั้น อย่างงี้ก็ได้หรอ
นั่งมาแป๊บเดียวก็มาถึงฝั่งแล้วค่ะ ถ้าให้เดาก็คงฝั่งเกาะโอลคอนค่ะ เกาะโอคอลเป็นเกาะใหญ่ที่ตั้งอยู่ในทะเลสาบไบคาลค่ะ ซึ่งเราจะพักที่นี่ 2 คืนค่ะ เราได้ทำการจองแพ็กเกจไว้กับเอเจนซี่ที่นี่โดยตรง โดยที่แพ็กเกจของเราเลือกว่าจะให้รวมที่พักบนเกาะ อาหารทุกมื้อ ไกด์พาเที่ยว และรถรับจากสถานีรถไฟมาที่พักเมื่อวาน พร้อมรถไปส่งสนามบินวันกลับค่ะ เอเจนซีที่คุยเค้าค่อนข้างโอเคค่ะ แนะนำดีมากแต่พวกเราก็ต่อรองค่อนข้างมากเหมือนกันค่ะ เอาเป็นว่าวันนี้และพรุ่งนี้เราจะเที่ยวไบคาลเต็มๆเลยค่ะ เห็นน้ำแข็งให้สะใจกันไปเลย
คุณไกด์ก็น่ารักนะ ทำทัวร์สไตล์เอเชียเลยค่ะ แจกน้ำดื่มด้วย555 สงสัยทำทัวร์เอเชียบ่อย เราได้ถามว่าส่วนใหญ่เป็นใครที่มาเที่ยวไบคาล ไกด์บอกเราว่าส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวจีนค่ะเยอะที่สุด
เมื่อถึงที่เกาะปุ๊บก็มีรถมารอรับเราแล้วค่ะ อันนี้เลยที่เราคิดไว้ รถแบบนี้เลยที่จะวิ่งบนน้ำแข็ง แบบที่เราเคยเห็นตามรีวิวต่างๆมันใช่เลย นี่แหละอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของที่นี่ แต่แอบคิดในใจว่าถ้าวิ่งบนน้ำแข็งมันจะปลอดภัยใช่ไหม555
นั่งรถมาถึงจุดแรกที่ไกด์พามาละ ไกด์บอกจุดนี้ค่อนข้างใสมาก และอยากแวะให้ อ้อเราลืมบอกไปว่าช่วงเวลาในการเที่ยวไบคาลของเราไม่ค่อยพอดีเท่าไหร่เพราะว่าเรามาค่อนข้างเร็ว(ปลายเดือน ม.ค.) ช่วงนี้หิมะยังตกเยอะอยู่ทำให้ไบคาลที่เราเจอจะยังไม่ใส มันจะออกขุ่นๆ โดยเฉพาะวันก่อนที่เราจะมาไกด์บอกว่าหิมะตกก็ยิ่งขุ่นไปอีก นี่ถ้าขยับไปอีกช่วง ก.พ. จะใสกว่านี้ แต่พวกเราก็เตรียมใจก่อนมาแล้วค่ะ แต่เราลางานกันไม่ได้แล้วได้แค่ช่วงนี้นี่หน่า
หลังจากปล่อยให้พวกเรานอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นน้ำแข็งกันอยู่ซักพักใหญ่ๆ อยู่ดีๆไกด์ก็เรียกทุกคนไปคุย… โดนดุอีกแล้ว ไกด์บอกว่าสิ่งแรกที่เราต้องทำหลังจากที่ลงจากรถคืออะไรรู้ไหม ปิดประตู 555 เพราะว่ามันจะส่งผลคืออากาศและความอบอุ่นภายในรถที่จะรักษาไว้ได้ รวมถึงพลังงานที่รถจะต้องใช้จะได้ไม่หนักมาก และจากนั้นก็ปลอบเราด้วยคำถามที่ว่า กินข้าวก่อนหรือไปที่ต่อไป พวกเราพร้อมใจกันตอบเลยว่ากินข้าวววววว…ไกด์บอกว่าปะไปกินข้าวเที่ยงกัน เตรียมไว้แล้ว อันนี้งง มองไปทางไหนก็ไม่มีร้านอะไรเลยกินที่ไหน
นีไงคะมื้อเที่ยงของเรา กินบนรถนี่แหละค่ะ อันนี้เป็นข้าวกล่องไก่อบอะไรซักอย่างยังอุ่นๆอยู่เลย
แล้วคนขับก็น่ารักแม้จะหน้าดุๆไม่ยิ้มก็ตาม คุณคนขับเปิดกระป๋องถั่วลันเตาบอกว่าให้ใส่ลงไปด้วยอร่อย ลองเลยสิคะ แต่สังเกตุอะไรไหมคะ ว่าอาหารที่ไซบีเรียนี้เกือบแทกทุกอย่างมักจะมีผักเขียวๆนี่อยู่โรยในทุกอย่างที่เรากินเลยค่ะ เหมือนผักชีลาวเลยค่ะ นอกจากข้าวแล้วยังมีนี่ค่ะกินคู่กับคุ๊กกี้ชินนามอน อร่อยเลิศศศ…
พออิ่มแล้วก็จิบชา กับคุกกี้ อากาศแบบนี้อร่อยลืมเลยค่ะ สังเกตุได้ว่าคนที่นี่ชอมกินชามาก เห็นมาหลายที่ละ นอกจากที่จีนแล้วเราก็เห็นที่นี่แหละที่คนกินชากันเยอะมาก
ไปต่อกันที่ Trident Rock เป็นเหมือนจุดชมวิวไบคาลได้จากเขามุมสูง
ที่นี่สวยจริงค่ะ สวยมาก ดูวิวข้างหลังสิยิ่งใหญ่มาก
รถจอดถึงข้างล่างแล้วเดินต่อไปนิดเดียวเองค่ะ นี่ขนาดวิวจุดจอดรถนะเนี้ย
มุมนี้นี่ดูเหมือนไม่สูงนะ พอปีนขึ้นไปแค่นั้นแหละยืนขาตรงไม่ได้เลย
มีคุณชุดส้มแสดมาเป็นแบบให้ด้วยแจ่มมากขอบคุณนะคะ
คุณชุดส้มมาด้วยรถคันนี้ค่ะ จากจุดนี้ไกด์ถามตรงใจอีกแล้วใครปวดห้องน้ำบ้างจะพาไปห้องน้ำนั่งรถไปไม่ไกลจากที่นี่
จอดรถแล้วเดินไปห้องน้ำกัน
นี่ค่ะ ห้องน้ำของที่นี่ ผลุบๆโผล่ๆ
ไม่เป็นไรให้อภัยเพราะเป็นห้องน้ำที่วิวสวยที่สุดที่เคยเจอมาแล้ว
และช่วงบ่ายทั้งบ่ายใช้คำว่าตะลอนถ้ำน้ำแข็งก็ว่าได้ เพราะไกด์พาไปจอดตามจุดต่างๆตามโพรงถ้ำที่มีน้ำแข็งเกาะ
ในหลายๆจุด แม้จะคล้ายๆกันแต่ความสวยงามไม่เหมือนกันเลย
พอดูใกล้ๆจะเห็นได้ว่าผนังหินแต่ละถ้ำมีเหมือนน้ำใสๆเคลือบอยู่หนามาก
นึกภาพช่วงฤดูที่ไม่มีน้ำแข็งไม่ออกเลยค่ะ
ไกด์เดินนำไปดูเป็นจุดเลยค่ะ แต่ละจุดใช้เวลาประมาณ 15-20 นาทีขึ้นอยู่กับเราอีกทีค่ะ เพราะมีแค่กลุ่มเรา
ก่อนมาเราคิดว่าจะลื่นนะคะ ถ้าเราเหยียบบนพื้นน้ำแข็งใสๆนี้ แต่เอาจริงมันไม่ได้ลื่นขนาดนั้น
อาจจะเป็นเพราะว่ายังเป็นช่วงต้นฤดูที่น้ำแข็งยังฟูๆอยู่ค่ะ แต่จะมีบางจุดที่ลื่นๆนิดหน่อยค่ะ
ความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติมันทำให้มนุษย์อย่างเราดูตัวเล็กนิดเดียว…….
ได้เวลากลับที่พักแล้วค่ะ เพราะใกล้มืดแล้ว หากเป็นการเดินทางมืดๆนี่คงน่ากลัวไม่น้อยนะ กับสภาพภูมิประเทศแบบนี้
ระหว่างทางไกด์ได้แวะจุดชมวิวให้ค่ะ เป็นมุมสูงที่สามารถเห็นวิวหมู่บ้านข้างล่างได้ค่ะ
เห็นหมู่บ้านอยู่ไกลๆเลยค่ะ ที่พักของเราคืนนี้อยู่บนเกาะโอลคอนเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในทะเลสาบไบคาล บนเกาะแห่งนี้จะมีชนพื้นเมืองอาศัยอยู่ชื่อว่าบูร์ยัต (Buryat)
ยังไงก็สวยไม่เท่ากับเห็นด้วยตาตัวเอง อันนี้เป็นเรื่องจริงค่ะ
ไม่ต้องทำอะไรเลยก็ได้นะ แค่นั่งอยู่เฉยๆมองภาพแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็สบายตา สบายใจแล้ว
ที่พักของเรา 2 คืนจากนี้เป็นที่นี่ค่ะ ลากกระเป๋าเข้าที่พักกันค่ะ เราอยากพักแบบนี้มานานแล้วบ้านพักแบบบ้านไม้สีส้มๆแดงๆ ข้างในเปิดไฟสีออกโทนส้มๆ ไปพร้อมกับอากาศที่ข้างนอกขาวโพลน นี่คืออีกหนึ่งฝันที่อยากได้มีโอกาสได้พักแบบนี้
ตรงหลังนี้คือเหมือนห้องที่เป็นพื้นที่ส่วนกลาง สำหรับนั่งสังสรรค์ และทานข้าวพร้อมกัน
รวมถึงมีซาวน่าด้วยนะ หลังจากที่ไกด์ส่งเราแล้วก็ก็ไปพักที่อื่นค่ะ โดยบอกว่าเค้าไปพักที่อื่นที่ถูกกว่านี้ และจะมารับเราอีกทีพรุ่งนี้เช้าค่ะ และบอกพวกเราว่าเตรียมอุปกรณ์กันหนาวกันให้ดีๆเพราะพรุ่งนี้น่าจะออกนอกรถนานๆหน่อย
ในห้องนี่แบบนี้เลยค่ะ ห้องนี้สำหรับพัก 2 คนค่ะ ห้องน้ำจะเล็กๆแคบๆ แต่อบอุ่น จนร้อนเลยค่ะด้านใน ขนาดห้องไม่ได้ใหญ่มากนักกางกระเป๋า 2 ใบก็เต็มแล้ว แต่ถือครบครันและสะดวกสบายดีค่ะ อุปกรณ์เครื่องใช้ในห้องน้ำก็มีให้ค่ะ
มื้อเย็นมื้อแรกที่เรียกได้ว่าเป็นมื้อที่อร่อยมากสำหรับเรา เพราะมีข้าวค่ะ เห็นตอนเค้ายกมานี่ตาตื่นเลยค่ะ ข้าว ที่นี่กินข้าวกันด้วยหรอ เหมือนข้าวบ้านเราเลยค่ะ แต่เค้าจะหุงใส่รวมกับพวกแครอทและธัญพืชอะไรซักอย่าง มาพร้อมกับปลาชุบแป้งผสมไข่ทอดมาเป็นก้อนโตๆเลยค่ะ ราดซอสสีดำๆออกเค็มๆหวานๆอร่อยดีค่ะ เมื่อมารวมกับน้ำพริกปลาดุกที่เราเตรียมมา จริงๆแล้วก่อนมีเมนูหลักที่นี่จะเสิร์ฟคล้ายกับเป็นแบบคอสเลยค่ะ แบบประมาณว่าสลัด หรือไม่ก็ซุปก่อน แล้วค่อยตามด้วยเมนคอส
ตบท้ายด้วยของหวานค่ะ มารู้ที่หลังจากไกด์ว่าปลาที่เรากินคือปลาโอมุลเป็นปลาพื้้นถิ่นที่มีเฉพาะไบคาลนี่เท่านั้นนะคะ รวมถึงปลาดิบชุปแป้งทอดที่เราได้กินกันเมื่อวานด้วยที่ร้านอาหารพื้นเมืองจำได้ไหมคะ อันนั้นก็เป็นปลาพื้นเมืองของทะลสาบไบคาลเช่นเดียวกันกับ ปลาโอมุลค่ะ
หลังจากมื้อเย็นนี่ก็มืดแล้ว ที่นี่คือมืดแบบมืดจริงๆนะคะ เดินออกไปหน้าที่พักนี่มืดจนมองไม่เห็นอะไรเลยมองออกไปอย่างไกลกว่าจะมีไฟ 1 ดวง พวกเรานัดกันว่าจะออกไปเดินเล่นที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต โดยสอบถามจากที่พักซึ่งคนที่พักพูดอังกฤษได้นิดหน่อย แต่แปลความได้ว่าไม่ไกล ยิ่งเดินยิ่งหนาว ยิ่งไม่เห็นแสงไฟทุกคนจึงตัดสินใจว่าไม่ไป 5555 ที่นี่พอมืดผู้คนจากที่ไม่ค่อยเจออยู่แล้วยิ่งมืดยิ่งไม่เจอใครเลย 555
มื้อเช้าวันนี้เป็นเหมือนข้าวโอ๊ตต้มใส่เนยโรยเกลือไปนิดหนึ่งอร่อยเลยค่ะ เรานี่ชอบมาก แต่ทำไมหลายๆคนไม่ชอบก็ไม่รู้ เราก็เลยกินจนหมดแถมไปไถ่คนอื่นกินอีก555 แปลกอร่อยมันๆหนึบๆดีเราชอบ^ ^
ไม่ได้มีแค่นี้นะมีพวกขนมปังปิ้งแล้วก็ไข่เจียวมาให้ด้วยน่ารักปุ๊กปิ๊กเลย
น้องหมาของที่พักค่ะ เมื่อคืนเห็นทีนึงแต่เป็นตอนมืดๆ แต่ด้วยความกลัวไง ยิ่งมืดยิ่งกลัวทุกอย่างแล้วดูหน้าน้องเหมือนจะดุแต่ไม่เลย น้องอยู่ได้ยังไงเนี้ยมีขนเท่าน้องหมาที่บ้านเราเลย ขนแค่นี้อุ่นไหมนะ
วันนี้คุณลุงคนขับสตาร์ทรถรอเลยค่ะ
สว่างแล้วบรรยากาศแถวที่พักดูมากอยู่ท่ามกลางต้นไม้แบบนี้เหมือนในหนังเลยค่ะ ที่นี่ไซบีเรีย 555
ก่อนออกไปท่องไบคาลวันนี้พวกเราได้บอกไกด์ว่าอยากแวะซุปเปอร์มาร์เก็ต ไกด์เลยจัดให้ค่ะ ใหญ่มาก มีทุกอย่างอะเหมือนพวกโลตัสเอ็กเพรสบ้านเราเลย ช้อปเพลินๆเลยขนมแปลกๆก็เยอะ เสื้อผ้าอุปกรณ์กันหนาว หมวก รองเท้ามีทุกอย่าง มีของสดของแห้ง
นี่ตู้ขายพวกของสด ราคาประมาณนี้ อ้อ…มาถึงขั้นนี้แล้วลืมบอกเรื่องค่าเงิน ที่ไซบีเรีย รวมถึงทั้งที่อีร์คุตค์ และที่เกาะโอลคอนนี้ใช้เงินรูเบิ้ลค่ะ ซึ่งวิธีคิดคำนวนแบบง่ายๆของเราคือเอาเงินรูเบิ้ลมาหาร 2 ก็จะเป็นราคาไทยโดยประมาณค่ะ บวกลบเล็กน้อย เช่น ซื้อผักดอง 60 รูเบิ้ลก็คิดเป็นบาทประมาณ 30 บาทค่ะ อันนี้เราประมาณเอานะ จะได้คิดง่ายๆตอนเที่ยวจะได้ไม่ต้องคิดเยอะ ก็มาเที่ยวอะนะ
ปะไปเที่ยวทัวร์ถ้ำต่อ ตอนแรกไกด์ของเราจะค่อนไปทางสายความรู้จ๋าเลย ลงรถปุ๊บภาคปั๊บ ทำงานได้อย่างเต็มที่จริงๆเลย แตกต่างกันกับกลุ่มพวกเรา 8 คน ลงรถปุ๊บพุ่งไปหามุมถ่ายรูป ลงรถปุ๊บพุ่งไปหาสิ่งที่ตัวเองสนใจ
นั่งๆนอนๆกลิ้งๆกับน้ำแข็งยังไงก็ไม่มีทางเปียก แล้วดีที่วันนี้เตรียมตัวมาดีข้างในตัวนี่แน่นใส่เต็ม ไม่มีทางยอมแพ้ความหนาวครั้งนี้หรอกประสบการณ์มันสอน
รถจอด วิ่งลงไปถ่ายรูปจนไกด์จับจุดได้ว่าพวกเรา 8 คนไม่ได้เป็นสายความรู้แต่เป็นสายบันเทิงชอบถ่ายรูป นางเลยเปลี่ยนแนวหามาแต่จุดให้ถ่ายรูปเลยที่นี้ จากที่ไกด์หน้าตึงๆซีเรียสหน่อยๆก็ผ่อนคลายขึ้น วิ่งไปวิ่งมาเหมือนพวกเราแล้ว เอะอะมุดถ้ำ 555
ไกด์บอกว่าเค้าเป็นคนมอสโคว ที่บ้านเค้ามีธุรกิจพวกเครื่องหนัง ดูจากการแต่งกายเค้าสิคะ ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่หนาวนะ แต่เค้าน่าจะชินมากกว่า เพราะที่รู้ๆมาอากาศที่มอสโควฤดูหนาวนี่ก็ไม่ธรรมดานะ
แต่ละจุดแม้จะคล้ายๆกันแต่ความสวยงามนั้นต่างกันมากค่ะ
หลายๆจุดไกด์บอกมีการไหลของน้ำข้างใต้ทำให้เกิดรอยแตก แล้วแผ่นน้ำแข็งด้านบนก็ถูกดันขึ้นมาทับกันเป็นชั้นๆแบบนี้ค่ะ
ถ้าโดนแดดเยอะๆแล้วจะทำให้น้ำแข็งใสขึ้นค่ะ
เราอยากให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างมีแดด กับไม่มีแดดค่ะ สวยต่างกันเลย
ขอแก้วอเมกาโน่ด่วนนนน…
นี่คือเหตุการณ์สำคัญ ทริปนี้มีน้องในกลุ่มเอาโดรนไปบิน แต่เจ้าโดรนดันไม่อยากไปต่อชนเขาตกจ้าาา…นั้นคือเจ้าของโดรนที่ลุยไปเก็บซากโดรน ซากคือซากจริงๆนะคะ นี่มันโดรนพลีชีพชัดๆ เจ้าของโดรนเฟลไปเลยหนึ่งวัน แต่ก็ไม่น่าเป็นไรนะ เพราะได้คลิปสุดท้ายจากกล่องดำมา555
ถึงเวลาที่ต้องเข้าห้องน้ำไกด์พาเรามาเข้าห้องน้ำค่ะ อันนี้เป็นห้องน้ำจริงๆค่ะ
แต่ที่ต่างออกไปคือมีหลังคาประตูปิดมิดชิด 5555 ก็คือส้วมหลุมบ้านเรานี่แหละค่ะ อันนี้ถือว่าเป็นอีกประสบการณ์หนึ่งเลยค่ะ จะอั้นก็คงไม่ไหวไหนขอลองหน่อยห้องน้ำของไบคาล หืมเย็นตูดใช้ได้เลยนะคะ ลองแล้วแปลกใจเลยค่ะ เพราะที่รู้สึกได้คือไม่มีกลิ่นเลยแม้แต่นิดเดียวทั้งที่สภาพยังไงก็ต้องมีกลิ่นแน่ๆ อาจจะเพราะอากาศที่เย็นขนาดนี้เลยทำให้ไม่มีกลิ่นถือว่าผ่าน อันนี้โอเคค่ะ
พวกเราทั้ง 8 คน พร้อมไกด์และคนขับรถอีก 2 คันตะลอนๆกันไปตามจุดต่างๆ ตามซอกตามมุมถ้ำแต่ละจุดจนเริ่มสงสัยว่าเอะ มันเริ่มเหมือนกันหมดแล้วนะ หรือเราคิดเอง
อ ะเอาความรู้ซะหน่อย ทะเลสาบไบคาลเป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ได้ชื่อว่าลึกที่สุดในโลก และมีอายุเก่าแก่มากที่สุดในโลก แถมยังเป็นทะเลสาบที่มีน้ำใสเป็นอันดับ 1 ของโลกอีกด้วย ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ไบคาลแห่งนี้เป็นจุดมุ่งหมายของหลายๆคน
และที่สำคัญที่นี่ยังมีแมวน้ำน้ำจืดอีกด้วย ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่เล็กที่สุดในโลก เอะแปลกๆนะ ใช่ค่ะ ฟังไม่ผิดว่าแมวน้ำ น้ำจืด ตอนเด็กๆน้องแมวน้ำจะเป็นสีขาวน่ารัก นึกภาพก็คือเจ้าอุ๋งอุ๋งตัวปุยๆนั้นแหละค่ะ พอเริ่มโตน้องจะเปลี่ยนสีออกเข้มขึ้นเหมือนที่เราเห็น แต่ฤดูหนาวเราจะไม่เจอน้องนะคะเพราะน้องๆแมวน้ำจะจำศีลค่ะ
เอะๆนั่นแมวน้ำรึเปล่าาา…อ่ออ ไม่ใช่นั่นไกด์เราเอง ^^
จุดไหนพื้นใส ต่อคิวกันเข้ามาค่ะ ถ่ายรูป
ถุงมือนี่ขาดไม่ได้นะคะบอกเลย หายไปนี่รู้เรื่อง
เหนื่อยแล้วก็ต้องกินข้าวครั้งนี้รู้เลยว่าต้องกิน้าวบนรถเหมือนเดิมไม่ได้มีอะไรเซอร์ไพรส์เท่าไหร่
คนขับไปรอที่ด้านบนฝั่งแล้วค่ะ มาถึงตอนนี้อาจจะยังแยกไม่ออกนะว่าอันไหนแผ่นดิน อันไหนน้ำในทะเลสาบ พวกเราบางคนบอกไกด์ว่าขอไปเข้าห้องน้ำก่อน
ไกด์ชี้ไปที่ห้องน้ำหน้าตาแบบที่เราเคยเจอเมื่อก่อนเที่ยงไกลๆแนวชายป่า ได้เดินไปแป๊บเดียว ตอนแรกคิดแบบนี้กันค่ะ แต่พอไกด์เห็นว่าเราไปกันครบทุกคนเค้าก็เสนอตัวจะไปส่งแต่ด้วยความที่เค้ากางโต๊ะสำหรับกินข้าวบนรถแล้วเราเลยปฏิเสธไป และจะเดินไปเอง
นี่แหละเหมือนเดิมเป๊ะ ความรู้สึกเดิมเลย 555 เย็นตูดอีกแล้ว จริงๆเรามีรูปที่ถ่ายเห็นข้างในนะแต่เกรงใจทุกคนเอาเป็นว่ามันเป็นส้วมหลุมที่มีหลังคาและประตูแหละ เห็นข้างหลังไกลๆนั่นไหมนั่นแหละที่รถจอดเพื่อกินข้าว
ระหว่างเดินกลับมาที่รถหิมะปุกปุยมากเหยียบลงไปจมถึงเข่า เลยเป็นเรื่องเลยค่ะ ตากล้องของเราหิมะเข้าไปในรองเท้า มันจะไม่เป็นไรถ้าเราไม่ต้องขึ้นรถไปเจออากาศอุ่นๆในรถ 555 หิมะละลายเปียกค่ะ ทีนี้ช่วงบ่ายเป็นต้นไปเท้าหายแน่นอน
ข้าวมื้อนี้อร่อยนะเราชอบ เป็นปลาโอมุลเจ้าเดิม กินให้เบื่อไปเลย กินกับขนมปังแล้วก็มันบด โรยเกลือนิดหน่อยอร่อยเลย
คุณคนขับมีเปิดกระป๋องข้าวโพดให้ตักทานด้วยกันด้วย อร่อยกว่าเดิมอีก สังเกตุได้ว่าพวกธัญพืช ผักต่างๆทีนี่จะไม่ค่อยมีส่วนใหญ่จะเป็นแบบกระป๋องแบบพร้อมทานค่ะ และก็เหมือนเดิมมีคุกกี้กับชาค่ะ
ช่วงบ่ายทั้งบ่ายก็ตะลอนถ้า และจุดต่างๆค่ะ ก็เดินเล่นเพลินๆนะ โดยรวมๆแล้วก็พวก หินจระเข้ และอีกมากมาย เวลาอยู่แต่ละจุดก็แล้วแต่เราเลย เพราะมีแค่เรา เซอร์ไพรส์เราด้วยอยู่ดีๆคนขับก็เร่งๆให้พวกเราขึ้นรถแล้วก็รีบขับออกไปแบบรวดเร็วเลย ตอนแรกไม่รู้หรอกมารู้ทีหลัง ว่าการขับรถบนน้ำแข็งเนี้ย โดยเฉพาะการพานักท่องเที่ยวมาแบบนี้ในบางจุดจะไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องซะทีเดียว อาจจะโดนจับได้เลย
เพราะการใช้รถวิ่งบนน้ำแข็งในบ างจุดที่ไม่ปลอดภัยเนี้ยเป็นเรื่องได้เลยนะ ถึงว่าๆทำไมเค้าถึงใช้เรือโฮเวอร์คราฟรับเราจากท่าเรือที่ฝั่งก่อนแล้วค่อยมาต่อด้วยรถ พวกเราก็แบบอ้าว….. นี่เราเที่ยวกันแบบผิดกฏหมายหรอ ต่างทิ้งความสงสัยไว้555
ช่วงบ่ายเกือบเย็นๆ เป็นช่วงที่แสงกำลังสวยเลย ถ่ายรูปออกมาสวยมาก
เริ่มมีเพื่อนเที่ยวแล้วเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีนหลายกลุ่มเลยค่ะ
อาจเป็นเพราะใกล้จะเป็นจุดสุดท้ายในทริปวันนี้แล้ว หลายๆกลุ่มที่มาก็จะมาจบทริปบริเวณนี้ค่ะ
แสงดีมาก และอากาศเริ่มเย็นขึ้นแล้ว
อันนี้เราเรียกว่าน้ำแข็งงอก น้ำแข็งย้อยค่ะ ^^
จุดสุดท้ายของวันนี้คือไฮไลท์ของไบคาลเลยคือ ชามานร็อค (Shaman Rock) ซึ่งไกด์เล่าว่า ที่แห่งนี้ถูกเรียกว่าเป็น Rock แต่ที่จริงแล้วเมื่อก่อนมันเคยเป็น Cave มาก่อนนะ ตรงจุดนี้รถจะจอดให้เราลงเดินจากข้างล่างขึ้นมาเพื่อชมวิวด้านบน
และจากนั้นเราจะเดินกลับที่พัก 555 ออกกำลังว่างั้น จุดนี้นอกจากจะสวยสุดพีคแล้วยังหนาวสุดพีคอีกด้วย คือลมแรงมาก
แต่นักท่องเที่ยวหลายๆคนที่ไม่ได้เจอกันตามจุดต่างๆของวันนี้มารวมตัวกันที่นี่ทั้งหมดในเวลานี้เพื่อชมพระอาทิตย์ตกด้วยกัน
เวลานี้เป็นอะไรที่ดีมาก สบายใจมาก มีความสุขอย่างบอกไม่ถูกเลย สิ่งที่แว๊บเข้ามาในหัวตอนนั้นคือพรุ่งนี้เราต้องกลับออกไปจากที่นี่แล้วหรือ แล้วอีกวันเราต้องกลับไทยแล้วหรอ ใจหายเลย ระยะเวลา 11-12 วัน มันผ่านไปไวจริงๆ แต่ตรงจุดนี้อยู่ได้ไม่นานนะคะ เพราะหนาวเกิ้นนนน…
รอพระอาทิตย์ตกนานกว่านี้ไม่ได้แล้ว มันหนาว
หนาวชนิดที่กระเป๋าเป้ที่ใส่ขวดน้ำดิ่มไว้ข้างๆหยิบออกมาดูเป็นน้ำแข็งอะ แล้วเราล่ะจะอยู่ตรงนี้กันทำไม
เดินกลับที่พักค่ะ เห็นหมู่บ้านข้างหน้าไหมคะ ตั้งแต่เรามาที่นี้เราไม่ได้มีโอกาสเดินเล่นในหมู่บ้านเลยอยู่แค่ที่พัก กับในทะเลสาบ ถือว่าการเดินผ่านหมู่บ้านเพื่อกลับที่พักนี่เป็นการเดินเล่นชมเมืองไปอีกแบบนะคะ
อันนี้เป็น Baikal Spirit ค่ะ จะอยู่ตรง (Shaman Rock) ค่ะ
ไม่ได้มีแค่กลุ่มเรานะคะ มีเพื่อเดินด้วยกันเยอะเลยค่ะ
บรรยากาศก่อนพระอาทิตย์ตกสำหรับคนที่ไหวก็ไปต่อ ส่วนพวกเราไม่ 555
ตอนไกด์พาเดินนี่งงเลย พาเดินผ่านบ้านคน ผ่านประตูรั้ว เปิดประตูรั้ว มาหลายบ้านเลย เห้ยแบบนี้ก็ได้หรอ บ้านทุกหลังเป็นบ้านไม้ รั้วไม้หมดเลยค่ะ เราชอบนะบรรากาศแบบนี้ แต่จังหวะนั้นมีน้องคนหนึ่งที่มาด้วยหนาวมากจนไม่ไหว ไกด์ก็เลยบอกว่าเราแวะคาเฟ่กันดีไหม
คาเฟ่ข้างในอุ่นมาก คนเต็มเลย ยืนรอสักพักก็มีโต๊ะว่าง เราเลยได้นั่งพอดีเลยค่ะ สั่งอะไรร้อนๆมาแบ่งๆกันสบายขึ้นเยอะเลย
ร้านนี้ขายโฟสการ์ดด้วยนะ จากที่เราได้โต๊ะก็มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเรื่อยๆ แต่ไม่มีโต๊ะว่างเลยเรา 8 คนกับไกด์ถือว่าโชคดีมากๆค่ะ ไม่งั้นคงหนาวแข็งไปพร้อมกับขวดน้ำที่กระเป๋าเป้ละ
ก่อนกลับที่พักแวะช้อปปิ้งอีกเล็กน้อยจากซุปเปอร์เมื่อเช้า เดินมาไกลมากกกก…..
พอเดินทางถึงที่พักปุ๊บมีความสุขขึ้นมาทันทีอบอุ่นมากในห้อง พออาบน้ำห็นร่องรอยแดงๆเป็นจ้ำๆเต็มไปหมดอาจจะเพราะอากาศหนาวมากเวลาเสื้อผ้าครูดเราจะไม่รู้สึกหรือแม้กระทั้งการที่ลมแรงๆกระทบร่างกายเรา ขณะที่อยู่ข้างนอกอากาศเย็นๆเราไม่รู้ตัว มารู้ก็ตอนที่เจออากาศอุ่นๆ หรือตอนอาบน้ำอุ่นๆนี่แหละ
มื้อเย็นวันนี้ น่ากินเหมือนเช่นเคย ได้ซุปมันร้อนๆอย่างฟิน
และที่เรียกได้ว่าชอบที่สุดคือของหวานนี่ก็อร่อยมากๆๆๆๆ
อย่างที่เคยบอกว่าห้องที่เราทานข้าวนี้มีห้องซาวน่าด้วย ถ้าจะใช้ต้องบอกที่พักก่อนนะ อันนี้จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
สวัสดีเช้าวันสุดท้ายของไบคาล มีไข่ดาวพร้อมปังปิ้งเป็นมื้อเช้า
และที่ขาดไม่ได้ก็ยังมีชาให้เหมือนเดิม วันนี้เราต้องบอกลาทะเลสาบไบคาลและเกาะโอลคอนกันแล้ว แอบใจหายนะ พรุ่งนี้ก็ต้องกลับไทยแล้วสินะ
ตรงจุดนี้พื้นใสที่สุดเลยค่ะ เพราะว่าจุดนี้เป็นท่าเรือ เรือโฮเวอร์คราฟวิ่งไปมาอยู่ตลอดเลยใสเชียว
ไปค่ะ นั่งเรือกลับกัน
พอมาถึงฝั่งมองกลับไปที่เกาะก็ใจหายนะ ได้เวลาบอกลาไบคาลแล้วจริงๆ
บ๊ายบายไบคาลลลลล….ฉันจะคิดถึงเธอ
วันนี้เราจะนั่งรถกลับอีร์คุตสค์ แต่ก่อนกลับเราจะเลยขึ้นไปอีกเมืองหนึ่งเพื่อจะไปนั่งน้องอัสกี้ลากเลื่อนกัน ตอนแรกแพลนไว้ว่าจะแยกเป็น 2 ทีม เพราะมีทั้งคนที่สนใจเล่นลากเลื่อนน้องฮัสกี้ กับคนที่สนใจเดินเล่นในเมือง แต่ดูจากการเดินทางในวันนี้ที่ออกจากเกาะสายๆหน่อย แล้วไปส่งทีมเดินเล่นในเมือง และตีรถกลับไปเพื่อเล่นลากเลื่อนก็เกรงว่าจะไม่ทัน เลยตัดสินใจไปเล่นลากเลื่อนฮัสกี้กันหมดเลย
ตอนแรกเราไม่อินนะกับการนั่งรถลากเลื่อน อีกใจก็สงสารน้องฮัสกี้(อีกแล้ว555) เราอยากเดินเล่นในเมือง ไปพวกตลาดท้องถิ่นมากกว่า แต่ก็ไหนๆก็ไหนๆละ
ไกด์บอกว่าน้องฮีสกี้ที่นี่เป็นฮัสกี้แท้เลยนะ กว่าจะไปถึงที่นี่ไกลพอสมควร ผ่านหมู่บ้านเล็กๆด้วย เมื่อมาถึงมีน้องๆฮัสกี้เยอะมากในรั้ว น้องพากันเห่าใหญ่เลย ชุลมุนไปหมด ไอ้เราก็พลอยตื่นเต้นกันไปด้วยเลยทีนี้
ที่นี่กิจกรรมจะมี 2 อย่างคือนั่งลากเลื่อนน้องฮัสกี้ กับขับสโนโมบิล
จังหวะที่เจ้าของฟาร์มไปเลือกน้องนี่เราชอบมาก ด้วยความที่น้องเยอะมากการที่เค้าจะไปเลือกเอามาทีละตัวนี่ยากยิ่งกว่าเพราะอะไรน่ะหรอ เปิดประตูรั้วปุ๊บทุกตัวพร้อมที่จะเสนอตัวออกมาข้างนอกอย่างรุนแรง ซึ่งเจ้าของต้องค่อยๆลากแกมอุ้มออกมาทีละตัว เราเห็นแล้วก็อดอมยิ้มตามไม่ได้ คงอยากออกมาทุกตัวอะ
เมื่อเลือกน้องสำหรับลากเลื่อน 2 คัน แล้วเค้าจะเอาน้องมาผูกประจำแต่ละจุดตามหน้าที่ของน้อง สังเกตุได้ว่าทุกตัวที่เป็นลูกทีมเค้าจะผูกไว้ทุกตัว แล้วแต่ละตัวนี่ดื้อมาก
คึกสุดๆจะพุ่งๆตัวอยู่อย่างเดียวเลย ส่วนน้องฮัสกี้ผู้นำน่ะ เจ้าของเค้าปล่อยให้ออกมาเดินเล่นสบายใจไม่ผูกกับอะไรทั้งนั้น ปล่อยให้ตัวอื่นๆที่อยู่ในรั้วแหกปากด้วยความอิจฉากันใหญ่เลย
น้องพร้อมสุดๆไปเลยค่ะ
เริ่มจากเราคนแรกที่เล่นลากเลื่อน บอกเลยว่าโอโหหหห…..น้องกำลังคึก ลงหลุม ลงเนิน ทางต่างระดับอะไรน้องไม่สนใจทั้งนั้น กระโจนพุ่งทะยานออกไปแบบมีอะไรมากั้น ก็เอาไม่อยู่แล้วววว ฟิ้วววววว……..
เราคนนั่งจากที่ตอนแรกก่อนเล่นสงสารน้องเป็นไงล่ะ อย่างที่ไกด์บอกน้องเป็นสายพันธุ์ที่ต้องได้รับการปลดปล่อยพลังออกมา ซึ่งไม่ได้เป็นการทรมานน้อง
กลับกันน้องออกจะชอบ สมใจเค้าล่ะ เรานี่อยากได้โช้คเลย ลงเนิน ลงหลุมป๊าบๆเลย
ช่วงที่ให้น้องหยุดพักเห็นน้องไหมคะ น้องลงไปนอนกลิ้งๆๆๆ เลยค่ะ น่าจะคันหลัง555
หลังจากคิวเราเสร็จเราก็ไปนั่งรอที่กระโจมที่หน้าตาเหมือนเกอร์ที่มองโกเลียเลย ข้างในอุ่นหน่อยมีชาให้จิบเหมือนเคย ไกด์พยายามบอกให้เรามารอข้างในนี้แต่ไอ้เราประมาณว่าก็พรุ่งนี้จะกลับแล้วขอหนาวต่ออีกนิดได้ไหม อย่าห้ามฉันเลย555
เล่นกันจนครบทั้ง 8 คน สภาพน้องเป็นแบบที่เห็น เป็นไงล่ะ
คนละเรื่องเลยสินะ เหี่ยวเชียว
น้องไม่ดุเลยจับได้ทุกตัวค่ะ
ในรูปนี้มีน้องหมากี่ตัวน้าาาา …. หยอกๆ นะคะ ^^
กิจกรรมจบแล้วสภาพน้องที่ถูกเรียกขึ้นรถอาจจะพาน้องไปที่ไหนสักแห่ง อาจจะพากลับบ้านชั่วคราว
ใกล้มืดแล้วกลับเมืองอีร์คุตสค์กันดีกว่าค่ะ ไกด์พาเรามาส่งที่พักที่เดิมเลย ลากกระเป๋าขึ้นบันไดกันอีกแล้ว แต่รอบนี้ได้กันคนละชั้นค่ะ ห้องผู้หญิงได้ห้องเดิมใต้หลังคา ส่วนผู้ชายได้ห้องข้างล่างค่ะ สบายหน่อยเรื่องกระเป๋า
มื้อเย็นมื้อสุดท้ายของไซบีเรีย ต้องกินอะไรที่สมฐานะกันหน่อย555 มาลองร้านใกล้ๆกับที่พักค่ะ พอดเินเข้ามาในร้านปุ๊บให้ความรู้สึกเดิมอีก และแล้วความว่าความรู้สึกนี้คืออะไรสภาพที่นักท่องเที่ยวที่เหมือนผ่านสงครามมาแบบเรา เมื่อมองร้านดีๆแล้วล่ะก็เราน่าจะไม่เหมาะกับร้านแบบนี้เท่าไหร่ แต่จะทำไงได้เราเป็นนักท่องเที่ยวนะไม่มีมาเตรียมชุดหรูสำหรับดินเนอร์หรอกเราว่าเค้าคงเข้าใจ เพราดูจากที่ๆเราไปมาแต่ละที่สไตล์แอดเวนเจอร์ทั้งนั้น
ภายในร้านหรูหรามาก เราสั่งมาแชร์กันเหมือนเดิม ถ่ายรูปมาทันแค่ซุปที่เหลือไม่ทันจริงๆน่าจะหิวกันจัด 555 เพราะมื้อเที่ยงเราแวะกินระหว่างทางกันมาแบบไม่เต็มอิ่มกันเท่าไหร่
แล้วตามสไตล์ที่นี่เค้ามีว๊อดก้าให้ดื่มด้วยคนละช้อต 555 อันนี้เราลืมบอกไปว่าอาจจะเพราะเจ้านี่แหละที่ทำให้พวกเรารอดมาได้จากความหนาวของไซบีเรียตลอดหลายวันที่ผ่านมา555
ณ เวลานี้ร้านของฝากที่เราคิดได้ก็คงเป็นที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตที่เราเคยไป เพราะเรียกได้ว่ามี ทุกอย่างจริงๆ ขนม ช็อคโกแล็ต ชา กาแฟ เยอะแยะเลย เราหอบหิ้วของฝากกลับเต็มไม้เต็มมือกันทุกคนเลยค่ะ จากซุปเปอร์นะ 555
ก่อนกลับเช็คข่าวที่ไทยตอนนี้ก็ได้รู้ว่าที่ไทยมีการตรวจเข้มสำหรับคนที่เดินทางเข้าไทย โดยเฉพาะคนที่เดินทางมาจากจีน เพราะมีข่าวว่ามีเชื้อไวรัสมาจากอู่ฮั่น ซึ่งพวกเราทั้ง 8 คนระหว่างเดินทาง ที่บ้านแต่ละคนก็มีโทรมาถามเรื่อยๆนะว่าโอเครึเปล่า พวกเราก็บอกกันอยู่บ่อยๆคำเดียวว่าก็ปกติดีทุกอย่าง ทั้งที่แปลกใจตั้งแต่กำแพงเมืองจีนช่วงตรุษจีนแท้ๆแต่ไม่มีคน บนรถไฟกังวลว่าจะพลาดเรื่องตั๋วเต็มเพราะเป็นช่วงเทศกาลตรุษจีนที่ชาวจีบชอบมาเที่ยวไบคาลเส้นทางเดียวกัน แต่ไม่เลยทุกอย่างราบลื่นผ่านไปด้วยดีทุกอย่างเลย…..
พวกเราทั้ง 8 ต่างบอกคนที่ไทยว่าไม่เป็นไรหรอกเรามาจากปักกิ่งไม่ใช่อู่ฮั่น แล้วขากลับเราก็กลับจากรัสเซียไม่น่ามีปัญหาอะไร แต่หารู้ไม่ว่าไวรัสมันรุนแรงกว่าที่คิดไว้ ทำให้น้องในทีมบางคนเริ่มกังวลเรื่องการเข้าไทย
วันนี้เราตื่นกันแต่เช้าเพราะนัดรถมารับไปสนามบิน แต่เช้ามืด มาถึงสนามบินอีร์คุตสค์เป็นสนามบินเล็กๆมี 2 เทอร์มินเนอล ด้วยความที่มีถึงเร็วกว่ากำหนดเราเลยต้องรอ แต่ประเด็นคือเมื่อเรามาถึงสนามบิน เราไม่สามารถข้าไปบริเวณที่เช็คอินได้เลย ต้องรอให้ป้ายโชว์ไฟล์ที่เราจะไปขึ้นบอร์ดก่อนจึงจสามารถเข้าไปด้านในเพื่อเช็คอินได้
ระหว่างรอในสนามบินมีร้านอาหารง่ายๆอยู่ 1 ร้าน และข้างๆเป็นร้านคอฟฟี่ช้อบ มีพวกแซนวิสต่างๆ เราได้ทำการละลายเหรียญที่นี่ไปพร้อมกับแซนวิสเรียบร้อยแล้ว รวมถึงพวกของที่ระลึกก็มีร้านเล็กๆอยู่ 1 ร้านถ้วน
ระหว่างที่เรารอเราก็พึ่งรู้ว่ามีไฟล์บินตรงจากอีร์คุตสค์ไปภูเก็ตด้วยนะเนี้ย ไม่ธรรมดา พอถึงเวลาเค้าประกาศเรียก แบงคอก พวกเราก็ไปต่อแถวเพื่อที่จะผ่านประตูเข้าไปข้างในตรงจุดเช็คอิน แต่ต้องสแกนกระเป๋าก่อนนะคะ จากนั้นก็ไปเช็คอินที่เค้าเตอร์ พร้อมผ่าน ตม. และสแกนกระเป๋าถืออีกครั้ง
ตรงจุดนี้เราเอาขวดน้ำดื่มจากไบคาลกลับมาด้วยซึ่งในนั้นมีน้ำเปล่าอยู่เล็กน้อย เจ้าหน้าที่สแกนกระเป๋าหน้าดุมากบอกกับเราว่าในกระเป๋ามีขวดน้ำ เราเลยเปิดกระเป๋าแล้วเทน้ำทิ้งในถังขยะเพื่อจะเก็บขวดไว้ เพราะขวดเป็นที่ระลึกจากไบคาล มาถึงจุดนี้เจ้าหน้าที่ดุเราแล้วบอกว่า No ซึ่งไอ้เราก็แบบจะเอากลับให้ได้เพราะเป็นของที่ระลึก ของเหลวก็เททิ้งแล้วทำไม่ไม่ได้ล่ะ ก็เลยทำตาบริบๆออดอ้อนเจ้าหน้าที่พร้อมกับบอกเค้าว่ามันมาจากไบคาลเลยนะ ขอร้องล่ะ เจ้าหน้าที่จากหน้าดุๆก็อมยิ้มแล้วก็ให้เราผ่าน ในใจเค้าคงคิดว่าแค่ขวดน้ำดื่มธรรมดาต้องทำขนาดนี้หรอ555
ด้านในเกทจะมีแค่เท่าที่เห็นนี่แหละค่ะ เพราะสนามบินไม่ได้ใหญ่เลย ตรงนี้มีร้านขายของที่ระลึกร้านกาแฟ ร้านขายขนมด้วย รอซักพักก็ถึงเวลาเรียกขึ้นเครื่อง กะดูจากสายตาแล้วคิดว่าทั้งหมดที่นั่งอยู่ตรงนี้จุดหมายปลายทางของเค้าน่าจะแบงคอก
ออกมาจากประตูก็มีรถบัสเกทมารับไปส่งตรงเครื่องค่ะ แล้วก็เดินขึ้นเครื่องเลย
ขากลับนี่ออกจะสบายหน่อยเพราะเรานั่งสายการบิน S7 หรือ Siberia Airlines เป็นสายการบินแบบ Full Service
รวมอาหารด้วย ปลาอีกแล้วจ้า…และที่สำคัญบินตรงจากอีร์คุตสค์-กรุงเทพค่ะ แตกต่างจากขามาลิบลับเลย
ไฟล์ว่างมาก…ว่างจนนอนราบได้ยาวๆถึงไทยเลย^^
มาถึงจุดนี้ก็บอกตัวเองว่าหมดเวลาสนุกแล้วสิ หลายวันที่ผ่านมาความรู้สึกไม่เหมือนกันเลย ผ่านมา 3 ประเทศให้ความรู้สึกที่ไม่เหมือนกันซักที่ ผู้คนแตกต่าง อาหารแตกต่าง ทุกครั้งจะคิดขึ้นมาได้ว่า “เรามาไกลขนาดนี้ได้ยังไงนะ ดูจากแผนที่ก่อนมาเส้นทางนี้ยาวไกลมาเลยนะคะ ทรานไซบีเรีย ต่อให้เราไปจะถึงปลายสถานีก็เถอะ เรานี่ก็เก่งนะที่มาไกลได้ขนาดนี้ ตอนนี้ถึงเวลาไปเจอกับความจริงที่ไทยแล้ว ทิ้งความสุขไว้กับเราในใจ เพราะมีงานรอเราอยู่ แล้วฉันจะออกมาท่องโลกอีกครั้งที่ไกลกว่าเดิม แปลกกว่าเดิม อึดกว่าเดิม ถึกว่าเดิมในที่ๆฉันอยากไป ขนาดทรานไซบีเรียที่ไม่เคยคิดว่าจะได้มีโอกาส ยังสามารถเป็นไปได้เลย”
มองจากตรงนี้สนามบินเล็กนิดเดียวเอง น่าร๊ากกก
บ๊ายบายไซบีเรีย….ระหว่างที่บินขึ้นไม่นานมองลงไปเราก็จะเห็นทะเลสาบไบคาลอยู่ข้างล่าง จากมุมนี้ก็สวยไปอีกแบบนะคะ
แต่หารู้ไม่ว่าไวรัสจากอู่ฮั่น ที่เรารู้ว่ามีตั้งแต่ที่เราอยู่ปักกิ่ง รู้ตั้งแต่ก่อนที่เราจะออกทริป มันไม่ใช่แค่ข้ามมณฑล ข้ามเมือง ข้ามประเทศ ตอนนี้สามารถข้ามทวีป ข้ามโลกมาหาเราและทุกคนถึงที่แล้ว…
….ไม่น่าเชื่อว่านี่จะเป็นการท่องต่างประเทศครั้งสุดท้ายของเรา จนถึงวันนี้ก็ปีกว่าแล้วที่เราไม่สามารถออกไปไหนต่อไหนดีอย่างอิสระเสรี เหมือนที่เคยๆเป็น ไม่น่าเชื่อว่าไวรัสนี้มันทำให้หลายๆคนไกลจากคนที่รัก ไกลจากความฝันมากขึ้น หลายๆคนออกจากงานที่รัก มาจนถึงตอนนี้นี่คงเป็นรีวิวทริปสุดท้ายของเราแล้ว จนถึงวันนี้ เรายังเชื่อว่าวันหนึ่งทุกอย่างจะค่อยๆดีขึ้น แล้วเราจะได้พบกันใหม่นะ…
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามการท่องเที่ยวของเรามาจนถึงตอนนี้ค่ะ
21 Jun 2021